ในเมื่อผู้ชมไปกันแล้ว ถึงละครจะเล่นต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไรมากนัก เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วถอนหายใจเบาๆ แล้วจึงแหวกม่านเดินไปข้างเตียง นางยกขาถีบเตียงสองสามทีโดยที่เอวไม่โค้งงอเลย การพูดจาเองก็ไม่เหมือนคนป่วยสักนิด “พอแล้วๆ คนไปหมดแล้ว เ้าลุกขึ้นมาเถอะ”
เมื่อเอ่ยเช่นนั้นจบ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็เดินไปนั่งลงอีกด้านหนึ่ง นางแกว่งขาสองข้างไปมา พลางมองดูเยวี่ยเจาหรานลุกขึ้นมานั่งบนเตียงอย่างอ้อยอิ่ง เหมือนกับยังไม่รู้ว่ารอบตัวนั้นเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกันแน่ “เอ๊ะ แม่เ้าไปแล้วหรือ? สวี่ชิวเยวี่ยล่ะ? นางก็ไปแล้วเหมือนกันหรือ?”
“แน่นอนสิ” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วตอบกลับทันที “ถ้าพวกนางไม่ไปข้าจะกล้าให้เ้าลุกขึ้นมาหรือ?” เมื่อเอ่ยเช่นนั้นจบ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ไม่เอ่ยอะไรอื่นอีก นางเพียงก้มหน้าลงหมุนสิ่งของอะไรบางอย่างในมือไปมาโดยไม่สนใจรอบข้าง ตกอยู่ในภวังค์
ความจริงแล้วอารมณ์ของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ไม่ได้ดีอะไรนัก ถึงอย่างไรการแสดงของตนและเยวี่ยเจาหรานก็ถูกเปิดโปงไปแล้ว ไม่เพียงชดใช้ด้วยเงินส่วนตัวของตน ยังต้องไปคุกเข่ารับโทษที่ศาลบรรพชนด้วยกันกับเยวี่ยเจาหรานอีก เื่นี้สำหรับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วผู้ ‘ร่าเริงสดใส’ การลงโทษคุกเข่าหนึ่งชั่วยามนั้น แทบจะทำให้นางอึดอัดยิ่งกว่าให้คัดหนังสือร้อยรอบเสียอีก
เอาเถอะๆ แค่เหนือกว่าการคัดหนังสือร้อยรอบนิดหน่อยเอง ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เื่ที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเชี่ยวชาญ ส่วนการลงโทษให้คุกเข่านั้น ถูกลงโทษมากเข้า ก็พอถูไถไปได้ แม้ไม่นับว่าช่ำชอง แต่อย่างน้อยก็คุ้นเคยก็แล้วกัน!
“ข้าเล่นได้ไม่เลวเลยใช่หรือไม่?” เยวี่ยเจาหรานเดินลงมาจากเตียง พลางยกถ้วยชาขึ้นประคองไว้ในมือ น้ำเสียงที่เอ่ยคำพูดนั้นเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในตัวเองอย่างชัดเจน แม้ว่านี่จะเป็เพราะเขายังไม่รู้ว่าการแสดงของตนนั้นถูกมองออกแล้วก็ตาม “ั้แ่เด็ก ข้าก็ใช้เคล็ดลับแกล้งป่วยเช่นนี้หลอกท่านพ่อท่านแม่มาหลายครั้งแล้ว ทุกครั้งล้วนสะดวกราบรื่น ยังไม่เคยถูกใครจับได้มาก่อน!”
เยวี่ยเจาหรานแหงนหน้าซดชาเย็นๆ ทั้งหมดในถ้วยเข้าไป แล้วเอ่ยทอดถอนใจ “เย็นชะมัดเลย นี่มันชาั้แ่เมื่อไรกันเนี่ย!” พูดจบเขาก็วางถ้วยในมือกลับด้วยความหงุดหงิด ยามนี้เยวี่ยเจาหรานเดินมาถึงเก้าอี้อีกตัวหนึ่งเบื้องหน้าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแล้วนั่งลง เมื่อเห็นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ไร้ปฏิกิริยากับการยกยอตัวเองของตนเลย จึงยกมือขึ้นโบกไปมาตรงหน้าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว “ข้าพูดกับเ้าอยู่นะ เ้าไม่ได้ยินหรือ?”
“เ้าว่า ข้าแสดงได้ยอดเยี่ยมหรือไม่!” เยวี่ยเจาหรานหัวเราะอย่างทึ่มๆ และยังคิดว่าที่ยามนี้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วดูไม่ค่อยคึกคักนั้นต้องเป็เพราะอิจฉาในพร์การแสดงของตน ที่แย่งความโดดเด่นของนางไปแน่ๆ เลย!
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วขมวดคิ้ว พยักหน้าอย่างเอือมระอายิ่ง “ใช่ ใช่ๆ ทักษะที่เ้าฝึกฝนตลอดสองสามทศวรรษที่ผ่านมานี้น่ะ ยังไม่อาจรอดพ้นสายตาของท่านแม่ข้าไปได้เลย เฮ้อ...”
พร้อมกับเสียงถอนใจของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วดังขึ้น เยวี่ยเจาหรานก็สับสนงุนงง ในหัวขบคิดความหมายในคำพูดของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วซ้ำไปซ้ำมา แต่กลับไม่เข้าใจอย่างยิ่ง จึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ “คำพูดนี้ของเ้าหมายความว่าอะไร? ข้าจะบอกให้ เ้าจะมาพูดจามั่วซั่วใส่ร้ายศิลปินเช่นนี้ไม่ได้นะ! การแสดงนี้ของข้าเป็แบบมืออาชีพ!”
“หมายความว่าอะไร? ก็หมายความว่าการแสดงของเ้ามันก็ไม่เท่าไร แค่พริบตาเดียวก็ถูกแม่ข้ามองทะลุหมดแล้วน่ะสิ! ท่านศิลปินเก่าแก่เยวี่ยเจาหราน เ้าเตรียมตัวกลับศาลบรรพชนเสียเถอะ!” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วหัวเราะอย่างดูแคลน แล้วเอ่ยเช่นนั้นไปทางเยวี่ยเจาหราน เยวี่ยเจาหรานที่ขุ่นเคืองนั้น จะนั่งก็นั่งไม่ติด จะยืนก็ยืนไม่มั่น
“เป็ไปไม่ได้! ข้าบอกเ้าเลยว่ามันเป็ไปไม่ได้แน่นอน! เป็เื่ที่เป็ไปไม่ได้!” เยวี่ยเจาหรานลุกขึ้นยืนทันที แล้วพูดว่าเป็ไปไม่ได้ไม่หยุด ดูท่าทางเขาคงไม่เชื่อจริงๆ ว่าทักษะการแสดงของตนได้ถูกคนอื่นเขาจับพิรุธได้ “เยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว ข้าว่าเพราะเ้ากับข้าไม่เข้ากันหรือเปล่า ต้องเป็เพราะทักษะการแสดงของเ้าไม่ดี ก็เลยถูกแม่ของเ้าจับได้แน่นอน!”
แม้ว่าการแสดงของเยวี่ยเจาหรานจะไม่เท่าไรจริงๆ แต่ความล้มเหลวในการอาชีพการแสดงในครั้งนี้นั้น ก็ไม่สามารถโทษเยวี่ยเจาหรานทั้งหมดคนเดียวได้ ถึงอย่างไรเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่อำพรางให้เยวี่ยเจาหรานอยู่ภายนอกนั้นแค่พริบตาก็ลืมไปแล้วว่าบทในตอนนี้คือสามีของภรรยาผู้กำลังป่วยที่ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น แถมยังร้องไห้หนักเกินไป
ผลพวงจากการพยายามมากเกินไปนี้นั้น แน่นอนก็คือถูกฮูหยินเยี่ยนจับได้อย่างไรล่ะ!
ทว่าคนหวงหน้าตาอย่างเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้น จะยอมรับว่าต้นเหตุที่การแสดงใหญ่ในครั้งนี้เจ๊งไม่เป็ท่าเพราะตนเองได้อย่างไรกัน? ดังนั้นนางจึงปัดมือที่โบกไปมาตรงหน้าตนไม่หยุดของเยวี่ยเจาหรานออกอย่างแรง แล้วเอ่ย “ข้าไม่ได้ทำให้เ้าตกม้าตายเสียหน่อย เพราะเ้าแสดงไม่ดีเองชัดๆ เ้าหุบปากไปเลย!”
เพื่อปิดบังความไม่สบายใจ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจึงหันหน้าหนีเสียเลย ไม่มองเยวี่ยเจาหรานอีก นางยกมือขึ้นเท้าคางกับโต๊ะ มุ่ยปากอย่างไม่พอใจ
เยวี่ยเจาหรานเองก็ไม่ใช่พวกชอบเอาชนะคะคานมากมายนัก ตอนนี้ในเมื่อเื่ราวมาถึงจุดนี้แล้ว จะมามัวคิดว่าใครทำเสียเื่ตรงไหนมันก็ไม่มีความหมายอะไรแล้วไม่ใช่หรือ? สู้ไตร่ตรองว่าต่อจากนี้ควรจะทำอย่างไรเสียยังดีกว่า
คิดถึงตรงนี้ เยวี่ยเจาหรานก็เดินนวยนาดเข้ามา แล้วเอ่ยปลอบเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว “พอแล้วๆ ไม่เื่ใหญ่โตอะไรหรอก สี่ตีนยังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง พลาดพลั้งขึ้นมาก็ไม่ใช่เื่ใหญ่ บอกมาเถอะว่าแม่เ้าคิดจะจัดการเื่ของเราอย่างไร? สวี่ชิวเยวี่ยผู้นั้น... ไม่ได้ใส่ไฟอะไรใช่หรือไม่?”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วส่ายหน้า เอ่ย “ถึงอย่างไรท่านแม่ก็ยังไว้หน้าข้าอยู่บ้าง ไม่ได้เปิดโปงการแสดงปาหี่ของเราต่อหน้าสวี่ชิวเยวี่ย นางอ้างเื่ผึ่งหนังสือส่งสวี่ชิวเยวี่ยออกไปแล้ว” ฟังถึงตรงนี้ เยวี่ยเจาหรานถึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแล้วจึงพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยอะไรอื่น
“ส่วนจะจัดการเื่ของพวกเราอย่างไร... นั่นก็ไม่ได้ลำบากนัก แค่ให้เราสองคนไปคุกเข่าที่ศาลบรรพชนด้วยกัน คุกเข่าหนึ่งชั่วยามก็พอแล้ว” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วรำพึงในใจ ศาลบรรพชนตระกูลเยี่ยนนี่ช่างเป็สถานที่ที่ดีจริงๆ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วคุกเข่า เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วคุกเข่า เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วคุกเข่าเสร็จแล้วก็เป็เยวี่ยเจาหรานคุกเข่าต่อ
เยวี่ยเจาหรานคุกเข่า เยวี่ยเจาหรานคุกเข่า เยวี่ยเจาหรานคุกเข่าเสร็จแล้ว เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกับเยวี่ยเจาหรานก็คุกเข่าด้วยกัน! โดยรวมแล้ว นี่นับว่าเป็การได้ฟันฝ่าความทุกข์ยากไปด้วยกันกับเยวี่ยเจาหรานจริงๆ แล้วใช่หรือไม่?
“เอาสิ เช่นนั้นก็รับไปด้วยกันเถอะ รีบคุกเข่า เสร็จแล้วจะได้ไปกินข้าวกัน เฮ้อ… ไปเถอะ!” เยวี่ยเจาหรานถอนหายใจ ลุกขึ้นตบไหล่ของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเบาๆ แล้วดึงเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไปคุกเข่าที่ศาลบรรพชนด้วยกัน
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก่อนหน้านี้นางทนทุกข์ ต้องหนาวเหน็บอยู่ตลอดทั้งคืนที่ศาลบรรพชน ครั้งนี้นางมีประสบการณ์แล้ว ย่อมไม่อยากทนหนาวอีกรอบ จึงรีบดึงข้อมือของเยวี่ยเจาหรานที่กำลังจะเดินไปข้างหน้าเอาไว้ เอ่ยขึ้นอย่างลึกลับ “รอข้าสักเดี๋ยว ข้าจะไปเอาของอย่างหนึ่ง”
แม้เยวี่ยเจาหรานจะไม่เข้าใจ แต่ก็ยังพยักหน้าเป็สัญญาณให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไป เยี่ยนอวิ๋นหลิ่ววิ่งหายวับไปทันที ผ่านไปพักหนึ่งก็หอบเอาผ้าห่มสองผืนเดินกลับมาอย่างยากลำบาก พูดจาเสียงอู้อี้ “ได้แล้วๆ พวกเราไปได้ ไปกันเถอะ!” เยวี่ยเจาหรานมองผ้าห่มในมือของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอย่างงุนงง แล้วเอ่ยถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “เ้าเอานี่มาทำอะไร? เ้าจะไปคุกเข่าหรือว่าจะไปนอนที่ศาลบรรพชนกันแน่?”
ใบหน้าของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแย้มยิ้มเ้าเล่ห์ เอ่ย “เ้าไม่รู้หรอกว่าศาลบรรพชนนั่นตอนกลางคืนหนาวขนาดไหน! ห่มผ้าไว้จะไม่สบายกว่าหรือ เ้าไม่อยากหนาวจนล้มป่วยให้เป็ประสบการณ์ชีวิตหรอก!”
เยวี่ยเจาหรานตอบกลับด้วยรอยยิ้มพริ้ม “โธ่เอ๊ย เ้าจะไปเข้าใจอะไร นักแสดงก็ต้องฟังจริง เห็นจริง รู้สึกจริงสิ!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้