โรงน้ำชาอวิ๋นเซียงมีชื่อเสียงโด่งดังมากในเมืองหลวงเมื่อกู้เจิงเข้าไปก็รู้แล้วว่าเหตุใดที่นี่ถึงมีชื่อเสียงขนาดนี้
คานไม้ของโรงน้ำชาทำมาจากต้นอวี๋* บนคานมีภาพวาดทาด้วยสีงดงามช่องหน้าต่างแกะสลักลวดลายอย่างประณีตเป็ชั้นๆขอบทางเดินเท้าประดับประดาด้วยลายเมฆา แม้แต่โต๊ะและเก้าอี้ทั่วไปก็ยังทำมาจากไม้จันทน์แเื่ที่มาล้วนแต่งกายด้วยชุดหรูหรา กลิ่นหอมของชาฟุ้งขจรขจายอยู่ในอากาศแม้กู้เจิงจะไม่สันทัดเื่ชาแต่แค่ได้กลิ่นก็รู้ได้ว่าเป็ชาที่มีคุณภาพยอดเยี่ยม
(* เป็ไม้ที่ใช้ในการก่อสร้างหรือทำเครื่องใช้ในสมัยจีนโบราณ)
เมื่อนางก้าวเข้ามาในโรงน้ำชา สายตาของผู้คนล้วนจับจ้องมาที่นางแต่ทว่าก็มองเพียงไม่นานเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรในเยว่เฉิงก็มีสาวงามอยู่มากมาย
แม่นมชราพานางขึ้นไปที่ชั้นสอง และพามาที่ห้องเล็กๆ ชื่อว่า ‘ิเซียงหย่า’ ภายในห้องฟู่ผิงเซียงกำลังนั่งเท้าคางพิงหน้าต่างมองออกไปด้านนอก
“คุณหนู ฮูหยินน้อยมาแล้วเ้าค่ะ” แม่นมกล่าวบอกคุณหนูของนาง
ฟู่ผิงเซียงไม่ได้หันกลับมา นางทำราวกับไม่ได้ยินคำพูดของแม่นม
ดูเหมือนแม่นมจะเคยชินกับการกระทำเช่นนี้นางทำเพียงหันหลังเดินออกจากห้องไป
คุณหนูฟู่รู้อยู่แก่ใจว่านางมาแล้วแต่กลับทำเหมือนนางไม่มีตัวตนนี่อยากให้นางอึดอัดใจหรือ? สำหรับกู้เจิงแล้วพฤติกรรมแบบนี้ดูเป็เด็กน้อยมาก นางรออยู่ครู่หนึ่งก็ไม่เห็นคุณหนูใหญ่ฟู่จะหันมาสนใจนางเสียทีกู้เจิงจึงนั่งลงแล้วรินน้ำชาให้ตัวเอง
นางชอบดื่มชา โดยเฉพาะชาดีเช่นนี้ ทว่าน้อยครั้งนักที่จะได้ดื่มนอกจากรินให้ตัวเองแล้วนางยังรินให้ฟู่ผิงเซียงด้วยการรักษามารยาทไว้ก่อนถือเป็สิ่งดี “ดื่มชาไหม?”
ฟู่ผิงเซียงหันมามองนางช้าๆดวงตาเมล็ดซิ่งมองกู้เจิงด้วยสายตาเ็าและแค้นเคือง “กู้เจิง ดูท่าเ้าจะใช้ชีวิตได้ไม่เลวเลย”
กู้เจิงทอดสายตามองนางถ้อยคำนี้ยากที่จะรับได้
“ข้าทนเห็นเ้ามีชีวิตที่ดีไม่ได้” ดวงตาเ็ากวาดมองใบหน้างดงามของกู้เจิง
ฟู่ผิงเซียงกำมือที่วางอยู่ข้างกายแน่น “เห็นเ้ามีชีวิตที่ดี ในใจข้าก็ยิ่งเป็ทุกข์”
กู้เจิงกล่าวเสียงเบา “เื่ที่ดึงกระโปรงเ้า ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
“หนูตายแมวร้องไห้ แสร้งมีเมตตาจิต* ” ฟู่ผิงเซียงยิ้มเยาะ “จุดจบของหนิงซิ่วหลัน เ้าคงรู้แล้วกระมัง? เ้าโชคดีกว่านางมาก ที่ได้แต่งงานไปแล้ว”
(* หมายถึงไม่มีความจริงใจ มีเจตนาไม่ดี)
กู้เจิงเลิกคิ้วขึ้นนางมองเข้าไปในดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังของฟู่ผิงเซียง
“ไม่อย่างนั้น ป่านนี้เ้าคงอยู่ในสภาพเป็คนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิง* ไปแล้ว”
(* ถูกทรมานอย่างทารุณหรืออยู่ในสภาพที่เลวร้าย)
ความกลัวโฉบผ่านหัวใจกู้เจิงแววตาที่ฟู่ผิงเซียงมองนางนั้นช่างเต็มไปด้วยความอาฆาตเกลียดชังความแค้นที่ท่วมท้นออกมาทำให้นางตื่นกลัว
“ฟู่ผิงเซียง เ้าอย่าโทษคนอื่นเลยถ้าไม่ใช่เพราะเ้าจงใจยั่วยุหนิงซิ่วหลัน เื่คงไม่กลายเป็เช่นนี้เ้าทำตัวของเ้าเอง ข้าก็แค่คนที่ถูกพวกเ้าดึงเข้าไปเกี่ยวด้วยเท่านั้น” กู้เจิงกล่าวเสียงเย็น
“ แต่ที่เื่กลายมาเป็เช่นนี้ นั่นเป็ความผิดของพวกเ้า” ฟู่ผิงเซียงพูดอย่างเจ็บแค้น “พวกเ้าทำลายชีวิตข้า ทำลายชีวิตท่านแม่ของข้า”
ทำลายชีวิตแม่ของนาง กล่าวเช่นนี้จะไม่มากไปหน่อยหรือ? กู้เจิงมองฟู่ผิงเซียง “เ้าแก้แค้นข้าไปครั้งหนึ่งแล้ว เ้ายังคิดจะทำอะไรอีกเล่า?”
“เฮอะ เ้ายังพอมีโชค เลยทำให้หนีรอดไปได้” ฟู่ผิงเซียงยิ้มเย็น “ถ้ารู้แต่แรก ข้าน่าจะให้พวกเขาถอดเสื้อผ้าเ้าออกให้หมดดูสิว่าเ้าจะรอดไปได้ยังไง”
กู้เจิงเริ่มโกรธ นางผุดลุกขึ้น
สายตาดูแคลนที่แฝงไว้ด้วยความเย้ยหยันของฟู่ผิงเซียงยิ่งมากขึ้น
กู้เจิงสูดลมหายใจเข้าปอดให้ไอเย็นเข้าสู่ร่างกายเพื่อระงับความโกรธลง“ฟู่ผิงเซียง เ้าก็แค่อาศัยอำนาจท่านน้าที่เป็แม่ทัพให้ลูกน้องมาลักพาตัวข้ากับชุนหงไป หากไม่ใช่เพราะข้าดวงดีเ้าคงได้แก้แค้นอย่างสุขสบายใจ แต่เ้าอย่านึกว่าข้าไม่รู้ที่หนิงซิ่วหลันมีสภาพเช่นนี้ ไม่ได้เป็ฝีมือของเ้าแต่เป็เพราะพระสนมซูต่างหากเล่าเื่นี้เ้าเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจถึงสาเหตุที่พระสนมทรงลงโทษหนิงซิ่วหลัน”
สีหน้าของฟู่ผิงเซียงบึ้งตึงขึ้นนี่นางรู้เื่ราวทั้งหมดแล้วหรือ?
กู้เจิงแค่นเสียงเย็น “ฝีมือเ้ายังอ่อนด้อยนักเ้าคิดจะจัดการข้าด้วยวิธีอ่อนหัดของเ้าหรือจะให้คนคุ้มกันของจวนฟู่ทำเื่อะไรอีก แต่สุดท้ายก็คงไม่พ้นไปขอร้องท่านน้าของเ้าที่เป็แม่ทัพกระมัง”
สีหน้าของฟู่ผิงเซียงยิ่งดูไม่ได้ขึ้นเรื่อยๆ
“อ้อ มีอีกเื่ที่เ้าลืมไป ข้าแต่งงานแล้ว สามีของข้าเสิ่นเยี่ยนเป็ที่ปรึกษาของตวนอ๋องตอนนี้เขากำลังเข้าสอบเพื่อเข้ารับราชการเมื่อครู่ตวนอ๋องยังเอาเสื้อกันหนาวมามอบให้เขาด้วยตัวเอง หากข้าเป็อะไรไปตวนอ๋องคงไม่อยู่เฉยแน่ เ้าอยากให้ท่านน้าของเ้าเป็ศัตรูกับตวนอ๋องหรือ?”
ฟู่ผิงเซียงกัดฟันมองนาง
กู้เจิงก้าวเข้าไปหาฟู่ผิงเซียงด้วยสีหน้าเยือกเย็น
“จะ เ้าจะทำอะไร?” ฟู่ผิงเซียงไหวอย่างตื่นตระหนก
เฮอะ นางก็กลัวเป็ด้วยหรือ? ดูท่าชื่อของตวนอ๋องจะมีประโยชน์ยิ่ง “ฟู่ผิงเซียง เ้าไม่ได้เก่งกาจอย่างที่ตัวเ้าคิดเ้าสามารถจัดการข้าได้ก็แค่ในคืนนั้นเท่านั้นแหละ แต่ตอนนี้เ้าพลาดแล้ว”
ฟู่ผิงเซียงหน้าซีดเผือดลงทันที
กู้เจิงนิ่งเงียบไป นางพูดมาเยอะขนาดนี้ก็ควรจะพอได้แล้วนางรับคำเชิญมาที่โรงน้ำชาแห่งนี้ก็เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาไม่ได้อยากจะมายั่วโมโหฟู่ผิงเซียงให้เคียดแค้นนางยิ่งขึ้นแต่ทว่าปัญหานี้ก็จัดการยากเหลือเกิน
ตอนนี้นางก็ไม่รู้แล้วว่าควรจะทำเช่นไรอีก ช่างน่าปวดหัวจริงๆ
กู้เจิงนั่งลงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบช้าๆนางยังคงมองเห็นความแค้นอันขมขื่นในดวงตาของฟู่ผิงเซียง จึงเอ่ยถามขึ้น “เ้ายังคิดจะทำอะไรอีก?”
“ข้าจะไม่ปล่อยให้เ้าได้มีชีวิตที่สุขสบายแบบนี้หรอก”
“พวกเราแก้ปัญหากันดีๆ ไม่ได้หรือ?”
ฟู่ผิงเซียงเหมือนจะได้ยินเื่น่าขันเข้า นางกล่าวเสียงแหลมว่า “ชีวิตข้าถูกทําลายไปแล้ว เ้ายังคิดจะจัดการยังไงอีกหรือ? เ้ารู้ไหม เดิมทีท่านแม่อยากให้ข้าแต่งงานกับบุตรชายของเซี่ยกงเจวี๋ย”
คนหนึ่งเป็บุตรชายอนุของจวนป๋อเจวี๋ยส่วนอีกคนเป็บุตรชายภรรยาเอกของจวนกงเจวี๋ยความแตกต่างนี้ช่างไม่ธรรมดาเลยทีเดียว กู้เจิงนิ่งอึ้งไป
“เ้าว่ามาสิ ถ้าเป็เ้า เ้าจะจัดการเื่นี้ยังไง?” ฟู่ผิงเซียงชี้หน้ากู้เจิง เอ่ยถามเสียงแหลม “เ้าพูดมาสิ”
“ข้ารู้แค่ว่าเป็สุขก็หนึ่งวัน เป็ทุกข์ก็หนึ่งวันแล้วทำไมถึงไม่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเล่า?” ประโยคจิติญญาซุปไก่* นี้คงเหมาะกับสถานการณ์นี้กระมัง?
(* เป็ภาษาใหม่ทางอินเทอร์เน็ตของคนจีน หมายถึง คำพูดหรือประโยคที่เต็มไปด้วยแง่คิดและพลังบวก)
ฟู่ผิงเซียงมองนางอย่างงุนงง ทันใดนั้นก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “เ้ามันไร้ยางอายจริงๆ”
กู้เจิงยืนขึ้น มองนางด้วยสายตาเ็า “ข้าไม่ได้ไร้ยางอาย ข้าแค่รู้สึกว่าข้าไม่ได้รับความเป็ธรรมข้าไม่ผิด หนิงซิ่วหลันสวมรอยเป็บุตรสาวภรรยาเอกมาตีสนิทกับน้องสามของข้าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเ้า? ต้องให้เ้ามายุ่งเกี่ยวอะไรด้วยหรือ? สุดท้ายเื่ยิ่งวุ่นวายจนกลายเป็เช่นนี้ แล้วยังมาทำให้ข้าต้องลำบากไปด้วยอีกในใจเ้าไม่รู้สึกละอายบ้างเลยหรือ?”
ฟู่ผิงเซียงไม่อยากจะเชื่อเลยว่ากู้เจิงจะกล้าพูดเช่นนี้
“ใช่ ชีวิตของเ้าต้องเปลี่ยนไป ฟังแล้วก็น่าเห็นใจแต่เื่ราวทั้งหมดจะมาโทษข้าได้หรือ” กู้เจิงมองอีกฝ่ายอย่างขุ่นเคือง พอนางพูดจบก็ลุกขึ้นเดินมาที่หน้าประตูเพื่อจะออกไปแต่ก่อนไปนางหันมองฟู่ผิงเซียงแล้วทิ้งคำพูดไว้อีกว่า “บนโลกนี้ไม่ได้มีแค่ชีวิตของเ้าที่ถูกบีบบังคับจนหมดหนทาง” กล่าวจบนางก็เดินออกไป
หิมะข้างนอกยังคงตกลงมาไม่หยุด พื้นดินถูกปกคลุมด้วยหิมะหนากว่าตอนที่นางเข้าไปในโรงน้ำชา
กู้เจิงยืนเป่าปากอยู่หน้าประตูโรงน้ำชาเมื่อครู่นางมอบร่มให้ชุนหงไปด้วย ตอนนี้นางคงต้องฝ่าหิมะกลับบ้านแล้ว บ้านตระกูลเสิ่นอยู่ทางประตูทิศใต้กว่าจะถึงบ้านต้องใช้เวลาหนึ่งก้านธูป เสื้อผ้าของนางคงเปียกโชกไปหมด
กู้เจิงออกเดินท่ามกลางหิมะโปรยปรายความหนาวเย็นทำให้นางสั่นสะท้าน เมื่อนึกถึงบทสนทนาเมื่อครู่กับฟู่ผิงเซียงนางก็เหนื่อยใจเพราะสุดท้ายก็ยังไม่อาจจัดการปัญหานี้ได้
“คุณหนู คุณหนูเ้าคะ” เสียงของชุนหงดังขึ้น
กู้เจิงเห็นชุนหงถือถุงผ้าและร่มวิ่งมาหานาง
“เ้ายังไม่กลับไปหรือ?”
“ยังเ้าค่ะ บ่าวกังวลกลัวคุณหนูจะเกิดเื่อะไรขึ้น”
เห็นใบหน้าเล็กๆ ของชุนหงที่ตากลมจนแดงก่ำ กู้เจิงก็รู้สึกอบอุ่นใจความเครียดจากฟู่ผิงเซียงหายวับไปในพริบตา นางรับร่มในมือชุนหงมาถือไว้ “ไป พวกเรากลับบ้านกันเถอะ”