สวี่ต้าซานไม่อยากให้ที่บ้านทะเลาะกันทุกวี่ทุกวันจนเป็ที่หัวเราะของเพื่อนบ้าน จึงพยักหน้าตกลง
แต่เขาก็อดถามไม่ได้ว่า “อาซิ่ว เธอได้เอาเงินพันหยวนของฮุ่ยฮุ่ยไปจริง ๆ หรือเปล่า?”
สวี่รั่วเฉินก็จ้องมองแม่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย
กู่ซิ่วพูดด้วยอารมณ์ที่ทั้งน้อยใจทั้งโกรธ “ฉันอธิบายตั้งนานก่อนไปทำงานเมื่อเช้า พวกคุณยังไม่เชื่อฉัน แล้วเชื่อยัยเด็กเวรนั่นน่ะเหรอ!”
สองพ่อลูกเงียบกริบไม่พูดอะไร
สวี่ฮุ่ยพูดจาหนักแน่นจนพวกเขาอดเชื่อไม่ได้
ตรงกันข้ามกับกู่ซิ่ว เธอเจอใครก็มักจะบอกคนอื่นว่าสวี่ฮุ่ยเรียนไม่เก่งเสมอ ทำแบบนี้มาหลายปีแล้ว
แต่ปีนี้สวี่ฮุ่ยสอบได้อันดับหนึ่งในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ย่อมมองออกไม่ยากว่าปกติเธอเป็คนเรียนเก่ง พิสูจน์ได้ว่าที่กู่ซิ่วบอกว่าเธอเรียนไม่เก่งนั้นเป็เื่โกหกทั้งเพ
คำพูดของคนที่ชอบโกหก สวี่ต้าซานกับลูกชายไม่เชื่อง่าย ๆ อยู่แล้ว
สวี่เยว่พูดเบา ๆ ว่า “พ่อ ตอนนั้นแม่ยอมทะเลาะกับตายายเพื่อที่จะแต่งงานกับพ่อ แม่ตั้งใจจะใช้ชีวิตกับพ่อ แบบนี้แม่จะไปหลอกพ่อได้ยังไง? อีกอย่างแม่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องหลอกพ่อ หรือว่าถ้าแม่เอาเงินพันหยวนจากพี่ไป พ่อจะโกรธแม่เหรอคะ? พ่อก็คงไม่โกรธแม่ แล้วแม่จะปิดบังพ่อไปทำไมกัน?”
สวี่ต้าซานกับลูกชายเหมือนได้สติ เลิกสงสัยกู่ซิ่วทันทีและคิดว่าสวี่ฮุ่ยช่างร้ายกาจยิ่งนัก
…
ทันทีที่ย่าหลานสกุลลู่กลับถึงบ้าน คุณย่าลู่ก็โทรหาหลานชายคนโต ลู่ฉี่เสียน โทรติดต่อกันหลายสายกว่าจะรับ
คุณย่าลู่ถามตรง ๆ ไม่อ้อมค้อมว่า “อาเสียน วันมะรืนนี้แกหยุดไหม?”
ปลายสาย ลู่ฉี่เสียนมองสำนวนคดีไปพลางตอบแบบขอไปทีว่า “ครับ”
“งั้นก็ดีเลย วันมะรืนนี้ย่าจะลงมือทำเค้กเนื้อ[1] ที่แกชอบกิน อย่าลืมกลับมากินนะ”
ย่าทำเค้กเนื้อเป็ที่ไหน? คงจะนัดดูตัวให้เขาอีกแล้วแน่ ๆ
ลู่ฉี่เสียนอยากปฏิเสธมาก แต่พอคิดถึงคุณปู่ที่เสียไปแล้ว เขาก็พูดบ่ายเบี่ยงไม่ออก
ถ้าตอนนั้นเขาไม่ยืนกรานจะไปทำภารกิจ ก็คงพลาดโอกาสได้พบหน้าคุณปู่เป็ครั้งสุดท้ายเหรอ?
คนแก่มีชีวิตอยู่น้อยลงทุกวัน ๆ ถ้ามีเวลาปรนนิบัติพัดวีท่าน ก็ควรทำให้เต็มที่ อย่ารอให้ต้องมานั่งเสียเอาเอาทีหลัง
ลู่ฉี่เสียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบตกลง
คุณย่าลู่วางสายด้วยความพึงพอใจ เห็นลู่ฉี่โหย่วมองตนเองด้วยสายตารู้ทัน
จึงทำหน้าบึ้งทันที “มองอะไร? แกยังติด F ตั้งสองวิชา ตอนเปิดเทอมก็ต้องสอบซ่อม ไสหัวไปอ่านหนังสือได้แล้ว!”
ลู่ฉี่โหย่วไม่ขยับเขยื้อน ถามว่า “คุณย่า ไม่ใช่ว่าย่าจะให้พี่ชายไปดูตัวกับสวี่…สวี่เยว่คนนั้นหรือ?”
คุณย่าลู่ยอมรับตรง ๆ “พี่ชายแกอายุยี่สิบเจ็ดแล้ว ย่าต้องห่วงเื่แต่งงานของเขาสิ”
“แต่ย่าก็ไม่ควรจับคู่มั่ว ๆ สิ สวี่เยว่คนนั้นจะไปคู่ควรกับพี่ชายได้ยังไง? ผมว่าผู้หญิงที่พี่ชายให้เกี๊ยวจีกวนนั่นเหมาะกับพี่ชายมากกว่าอีก”
ลู่ฉี่โหย่วนับถือพี่ชายมาก เลยคิดว่ามีแต่ผู้หญิงที่งดงามหยาดเยิ้มเท่านั้นถึงจะคู่ควรกับพี่ชาย
รูปลักษณ์สวี่เยว่คนนั้น ไม่เข้าตาเขาสักนิด
ยิ่งไปกว่านั้น เขารู้สึกว่าสวี่เยว่เสแสร้งมาก อากัปกิริยาดูดัดจริตไปหมด เขาจึงไม่อยากให้เธอมาเกี่ยวข้องกับพี่ชายที่ตนเคารพ
คุณย่าลู่ยักไหล่ “แกคิดว่าเหมาะสมแล้วยังไง? พี่ชายแกต้องคิดว่าเหมาะสมด้วยสิ ย่าก็แค่ลองดูเผื่อฟลุก พี่ชายแกจะชอบหรือเปล่ายังไม่รู้เลย ตอนนี้ย่าไม่มีเงื่อนไขอะไรแล้ว ขอแค่ได้แต่งงานและเป็ผู้หญิงก็พอ”
ลู่ฉี่โหย่วส่ายหัว “คงยาก ยกเว้นพี่ชายจะลืมเถาเถาได้”
…
สวี่ฮุ่ยใช้เวลาทั้งบ่ายไปเยี่ยมหมอและพยาบาลที่ทำคลอดให้กู่ซิ่ว แต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไรเลยสักอย่าง
ทุกคนต่างบอกว่าเธอเป็ลูกแท้ ๆ ของกู่ซิ่ว
สวี่ฮุ่ยกลับมาที่บ้านพักด้วยความกังวลใจ เวลาก็ล่วงเลยมาจนห้าโมงเย็นกว่าแล้ว
วังจิ้งกำลังเล่นเกมกับน้องชาย พอเห็นเธอก็พูดว่า “พี่ฮุ่ยฮุ่ย เพิ่งกลับมาเหรอคะ?”
สวี่ฮุ่ยถาม “มีอะไรรึเปล่า?”
วังจิ้งส่ายหัว “ไม่มีค่ะ แค่วันนี้มีเื่ใหญ่เกิดขึ้นที่บ้านพี่”
“เื่ใหญ่?” สวี่ฮุ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจนัก
บ้านเธอจะมีเื่ใหญ่ได้ยังไง คงไม่พ้นสวี่เยว่ไม่สบายอีกแล้วล่ะมั้ง
วังจิ้งเขยิบเข้ามากระซิบข้างหูเธออย่างลึกลับว่า “สวี่เยว่ช่วยคุณยายรวย ๆ คนหนึ่งที่โดนรถชนก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย วันนี้คุณยายมาขอบคุณถึงบ้าน ซื้อของขวัญมาเต็มไปหมด แค่ผ้าก็เยอะแล้ว!”
สวี่ฮุ่ยเผลอขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนี้
สวี่เยว่ไม่เคยชอบช่วยเหลือผู้อื่น เธอรู้จักแต่เอาเปรียบ
ถ้าบอกว่าสวี่เยว่ฉวยโอกาสหยิบของมีค่าไปตอนเกิดอุบัติเหตุ ยังน่าเชื่อกว่า
สวี่เยว่ช่วยคน? นั่นไม่ใช่เื่เหลวไหลเหรอ? ยกเว้นว่าจะมีผลประโยชน์
ส่วนตัวเธอ เคยช่วยหญิงชราท่าทางมีสง่าราศีที่เส้นเืแดงใหญ่ขาดคนหนึ่ง
หรือว่าสวี่เยว่จะฉวยโอกาสตอนเธอไม่อยู่บ้าน แอบอ้างเอาความดีความชอบไป?
แล้วกลัวเธอรู้ เลยตั้งใจเปลี่ยนเวลาเกิดอุบัติเหตุเป็ก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย
แบบนี้เวลาที่เราช่วยคนก็จะไม่ตรงกัน เธอจะได้ไม่สงสัย
สวี่เยว่ฉลาดเหมือนกันนี่
สวี่ฮุ่ยถาม “เธอเห็นหน้าคุณยายคนนั้นไหม?”
วังจิ้งพยักหน้า “เห็นค่ะ”
จากนั้นก็บรรยายลักษณะของหญิงชราลู่คร่าว ๆ
สวี่ฮุ่ยฟังแล้ว นั่นคุณยายที่เธอช่วยไว้ชัด ๆ ไม่ใช่เหรอ?
ตอนนี้เธอมั่นใจแล้วว่าสวี่เยว่แอบอ้างเอาความดีความชอบของเธอไปแน่นอน
ทันทีที่สวี่ฮุ่ยกลับถึงบ้าน เธอก็มองไปที่ห้องของสวี่ต้าซานกับภรรยา
ประตูห้องที่มักจะเปิดไว้ กลับปิดสนิท ดูมีพิรุธ
กู่ซิ่วทำอาหารเย็นเสร็จแล้ว เห็นสวี่ฮุ่ยกลับมาตอนกำลังกินข้าวก็รู้สึกไม่พอใจ
ยกอาหารวางบนโต๊ะพลางพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “เที่ยวเล่นข้างนอกจนพอใจแล้วถึงได้กลับมากินข้าวที่บ้านสินะ!”
สวี่ฮุ่ยล้างมือในครัว กำลังจะนั่งกินข้าวบนโต๊ะ ได้ยินดังนั้นจึงพูดอย่างไม่อนาทรว่า “งั้นหนูไม่กินก็ได้” แล้วเดินไปที่ห้องของตัวเอง
สวี่เยว่รีบพูดกับสวี่ฮุ่ยว่า “พี่ อย่าโกรธแม่เลยนะ เช้านี้พี่ไปร้องเรียนแม่ที่ทำงาน แม่โดนหัวหน้าตำหนิ ก็เลยอารมณ์ไม่ดี ถึงได้มาลงกับพี่”
สวี่ฮุ่ยหัวเราะเยาะสอง “แม่อารมณ์ไม่ดีก็เลยมาลงที่ฉัน งั้นตอนนี้ฉันอารมณ์ไม่ดีเหมือนกัน ฉันเอามีดแทงเธอให้ตายได้ไหม?”
สวี่เยว่หวาดกลัวจนหลบไปข้างหลังสวี่รั่วเฉิน
ผู้ชายส่วนใหญ่ไม่ละเอียดอ่อน สวี่รั่วเฉินก็เช่นกัน
ถ้าน้องสาวไม่พูดขึ้นมา สวี่รั่วเฉินคงลืมเื่ที่สวี่ฮุ่ยไปที่ทำงานของกู่ซิ่วแล้ว
ครั้นน้องสาวคนเล็กเอ่ยทวนความจำขึ้น สวี่รั่วเฉินก็โกรธทันที ตวาดลั่นด้วยสายตาเกรี้ยวกราด “เธอไปอาละวาดที่ทำงานของแม่ เธอยังคิดว่าตัวเองถูกอีกหรือไง!”
ดวงตาสวี่ฮุ่ยเย็นเยียบลงแล้วถามกลับ “แม่แย่งเงินและโอกาสเรียนมหาวิทยาลัยของฉันให้น้อง ฉันต้องทนรับความอยุติธรรมไปเรื่อย ๆ อย่างนั้นหรือ”
สวี่ต้าซานขมวดคิ้วพูดว่า “ฮุ่ยฮุ่ย นั่นแม่ของลูกแท้ ๆ นะ ลูกไปร้องเรียนแม่ที่ทำงานแบบนั้นได้ยังไง? นั่นมันเหมือนตบหน้าแม่ชัด ๆ!”
สวี่รั่วเฉินก็ทำหน้าเครียดขึง “พวกเราเป็ครอบครัวเดียวกัน เธอเข้าใจไหม? ครอบครัวเดียวกันต้องร่วมมือกัน แต่เธอกลับไปเลื่อยขาเก้าอี้แม่ที่ทำงาน ฉันไม่รู้ควรจะว่าเธอบ้าหรือโง่ดี หรือทั้งบ้าทั้งโง่กันแน่!”
สวี่ต้าซานพูดย้ำเหมือนจะหวังดี “ฮุ่ยฮุ่ย อย่าเล่าเื่ในบ้านให้คนนอกรู้ ต่อให้แม่ทำไม่ถูก ลูกก็ไม่ควรไปอาละวาดที่ทำงานแม่เขาแบบนั้น มีอะไรก็คุยกันในบ้านเถอะ”
“คุยกันในบ้าน? เหอะ!” สวี่ฮุ่ยมองคนที่เรียกว่าครอบครัวตรงหน้าอย่างเ็า “วิธีคุยกันในบ้านของพวกคุณคือเข้าข้างแม่ บังคับให้หนูยกเงินและผลสอบให้สวี่เยว่งั้นเหรอ!”
สวี่ต้าซานทำท่าร้อนใจเหมือนสวี่ฮุ่ยไม่เข้าใจความหวังดีของเขาและภรรยา “ไม่ใช่ว่าบอกกับลูกแล้วเหรอว่าน้องสาวลูกต้องเข้าผ่าตัดในอนาคต จำเป็ต้องใช้เงินเยอะ ลูกมีเงินก็ควรเอาออกมาให้น้องสาวได้ใช้ผ่าตัดไม่ใช่เหรอ? ”
“ยกคะแนนสอบให้น้องก่อน ปีหน้าลูกค่อยสอบใหม่ พ่อกับแม่ไม่ได้จะไม่สนับสนุนลูกเรียนให้ซ้ำชั้นสักหน่อย ทำไมลูกถึงไม่เข้าใจ”
สวี่รั่วเฉินทำถมึงทึง “อย่านึกว่าทั้งบ้านจ้องเงินเธออยู่คนเดียวสิ ฉันก็จะเอาเงินเก็บของตัวเองมาใช้รักษาน้องสาวเหมือนกัน”
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวเสริมว่า “ฉันสมัครใจทำ!”
สวี่ฮุ่ยเอ่ยถากถาง “เต็มใจทำงั้นเหรอ นั่นไม่ใช่เื่ที่พี่ควรทำอยู่แล้วหรือไง? สวี่เยว่เกือบฆ่านายตายหรือเปล่า? ก็ไม่นี่! แล้วฉันก็ไม่ได้ใจดำด้วย ฉันให้เงินแม่ไปตั้งพันหยวน พวกคุณยังจะเอาอะไรจากฉันอีก!”
[1] เค้กเนื้อ หมายถึง เค้กแบบดั้งเดิมที่มีลักษณะเฉพาะจากมณฑลหูเป่ยตะวันออก โดยการผสมแป้งมันเทศ ปลาบดและหมูสับแล้วนึ่งเข้าด้วยกัน