นิ้วเรียวยาวของโจวชิงหวาััสายกู่ฉินอย่างแ่เบา ก่อนเริ่มบรรเลงบทเพลงที่ได้เตรียมมา
ผู้คนค่อยๆ พากันสงบคำ แล้วหันไปสนใจการแสดงตรงหน้า ทำให้บรรยากาศภายในห้องโถงใหญ่ ถูกปกคลุมไปด้วยเสียงเพลง
หนีเจียเอ๋อร์ที่แอบไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า พลันปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าทุกคน
โจวชิงหวาดีดกู่ฉิน พลางเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวในชุดร่ายรำสีแดงสง่า ที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาช้าๆ หัวใจของเขาพลันเต้นไม่เป็ส่ำ
ใบหน้าหล่อเหลาเปื้อนรอยยิ้มบางๆ แววตาอันอ่อนโยน ฉายชัดถึงความรักใคร่หลงใหล
ซึ่งหนีเจียเอ๋อร์ก็มองสบกลับไปเช่นกัน
หนีจวิ้นหว่านที่อยู่อีกด้าน เมื่อเห็นว่าสวีเพ่ยหรานมองหนีเจียเอ๋อร์ไม่วางตา ก็รู้สึกริษยา จึงจงใจอุทานเสียงดัง “น้องหญิง นั่นเ้าจะร่ายรำหรือ?”
สวีซื่อจึงเสริมว่า “แน่นอนสิ! เ้าเคยเห็นหญิงสูงศักดิ์แต่งตัวเช่นนี้ด้วยหรือ?”
ร่ายรำ?
เสียงฮือฮาดังขึ้นทันที ในแคว้นฉีหลาน จะมีสตรีสูงศักดิ์กี่คนที่กล้าร่ำเรียนการร่ายรำ เพราะท้ายที่สุดแล้ว อาจจะถูกเหยียดหยามว่าเป็ผู้ที่ไร้ซึ่งเกียรติยศและศักดิ์ศรี
เว่ยอี๋เหนียงขมวดคิ้วแน่น ด้วยไม่เข้าใจว่าเหตุใดบุตรสาวของตนจึงแต่งกายเช่นนี้
สีหน้าของนายท่านสกุลหนีมืดครื้ม กำลังจะสั่งให้หนีเจียเอ๋อร์กลับไป แต่ตอนนั้นเอง หญิงสาวก็เริ่มออกลีลาร่ายรำไปตามท่วงทำนองของกู่ฉิน
โจวชิงหวา สวีเพ่ยหราน และมู่หรงจิ่งหลี ต่างเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
นี่เป็การเคลื่อนไหวที่แสนงดงามและมีเสน่ห์ยิ่งนัก จนพวกเขาไม่อาจละสายตาได้...
พอการแสดงจบลง ทุกคนต่างก็ประหลาดใจกับความสามารถของหนีเจียเอ๋อร์ เสียงปรบมือและคำชื่นชมดังขึ้นไม่ขาดสาย ผู้คนต่างให้การยอมรับ ว่านางคือ ‘สตรีเก่งกาจอันดับหนึ่ง’ ของเมืองจริงๆ
โจวชิงหวาลุกขึ้น และเดินไปอยู่ข้างๆ หญิงสาว ก่อนกระซิบบอก “ขณะร่ายรำ เ้าช่างงดงามจนข้าไม่อาจละสายตาได้”
หนีเจียเอ๋อร์ที่ยังคงหอบเล็กน้อย ตอบกลับไปว่า “ขอบคุณ”
ตอนนี้ นางกลายเป็จุดสนใจของผู้คน ทั้งในเื่ยาอายุวัฒนะ และความสามารถด้านการร่ายรำ ทุกคนต่างมองไปยังหญิงสาวด้วยสายตาชื่นชม
ทำให้หนีจวิ้นหว่านอิจฉายิ่งนัก นางทั้งริษยาและแค้นเคือง จนคิดจะทำบางสิ่ง...
หญิงสาวแอบเดินออกจากงาน กลับไปยังเรือนของตนเงียบๆ แล้วคว้ากริชมาซ่อนไว้ในแขนเสื้อ พลางหันไปกระซิบบางอย่างกับหลิวอวี้ จากนั้น ทั้งสองก็กลับไปยังห้องโถงใหญ่อีกครั้ง
...
หนีเจียเอ๋อร์ต้องใช้เวลาอยู่นาน กว่าจะฝ่าฝูงชนที่เข้ามาชื่นชมตนได้ เมื่อมาถึงเก้าอี้ นางก็ทิ้งตัวลงนั่งด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่กระนั้น ก็ยังคงมีท่าทีสำรวมต่อหน้าผู้คนเช่นเคย
…
อีกด้านหนึ่ง
หนีจวิ้นหว่านกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนขยิบตาให้หลิวอวี้
สาวใช้พยักหน้าเข้าใจ ก่อนเดินมาตรงหน้าหนีจวิ้นหว่าน เพื่อบังมิให้คนอื่นๆ เห็น ว่าผู้เป็นายกำลังลอบทำสิ่งใด
หลังจัดการทุกอย่างเสร็จ หนีจวิ้นหว่านก็นำกริชมาซ่อนไว้ในแขนเสื้อเช่นเดิม ก่อนไอเบาๆ เพื่อส่งสัญญาณให้หลิวอวี้หลีกไป
สวีซื่อเห็นทุกการกระทำของพวกนาง แต่นอกจากจะไม่ห้ามปรามแล้ว ยังยินดีที่จะหนุนหลังอีกด้วย
และเพื่อให้แผนการของบุตรสาวบรรลุผล นางจึงถือจอกเหล้า เดินเข้าไปดึงความสนใจของนายท่านสกุลหนีเอาไว้ “เพื่อครอบครัวของเรา นายท่านต้องทำงานหนักมาตลอด ดังนั้นข้าขอดื่มอวยพรให้เ้าค่ะ”
นายท่านสกุลหนีฝืนยิ้ม ก่อนยกจอกสุราขึ้นมาชน “ฮูหยิน เ้าก็เหนื่อยมามากเช่นกัน”
พอนางสวีซื่อทำเช่นนั้น เว่ยอี๋เหนียงจึงต้องทำตามเช่นกัน “นายท่าน ข้าก็ขอดื่มอวยพรให้ด้วยเ้าค่ะ”
หลังดื่มอวยพรแล้ว สวีซื่อก็เข้าไปพูดคุยกับเว่ยอี๋เหนียง เพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ประหนึ่งเป็พี่สาวน้องสาวที่รักใคร่กัน
ภาพที่เห็น ทำให้คนนอกต่างก็เข้ามาชื่นชมนายท่านสกุลหนีไม่ขาดปาก ถึงเื่ความสามารถด้านการปกครองทั้งในบ้านนอกบ้าน ที่เก่งกาจถึงขนาดทำให้สตรีในเรือนหลังรักใคร่กลมเกลียวกันเช่นนี้ พอได้ยินแบบนั้น เขาก็ได้แต่ยกยิ้มเจื่อนๆ กลับไป
จากนั้น หนีจวิ้นหว่านก็เข้ามาคารวะสุราให้นายท่านสกุลหนี สวีซื่อ และเว่ยอี๋เหนียง รวมไปถึงหนีเจียเฮ่อ ซึ่งเป็บุตรชายคนเดียวในตระกูล ซึ่งคนทั้งสอง ต่างก็ผลัดกันยกสุราคำนับอีกฝ่าย
หนีจวิ้นหว่านรินเหล้าให้หนีเจียเอ๋อร์ ก่อนหันไปเตือนเบาๆ “น้องหญิง ถึงตาเ้าแล้ว”
“ต้องขออภัยเ้าค่ะ พี่หญิง” หนีเจียเอ๋อร์ยกยิ้มบางๆ พลางหยิบจอกเหล้ามาด้วยท่าทีนอบน้อม
ตอนนั้นเอง ก็รู้สึกได้ถึงไอเย็นบริเวณต้นขา นางรีบลดมือลง หมายจะคว้าชิ้นส่วนเสื้อผ้าที่กำลังจะฉีกขาด
เมื่อเห็นเช่นนั้น โจวชิงหวาที่เฝ้าดูเหตุการณ์เงียบๆ ก็คว้าถั่วลิสงในจานดีดไปยังเปลวเทียนเพื่อดับไฟในทันใด
ทั่วทั้งห้อง พลันมืดสนิท...
จังหวะที่เสื้อผ้าของหนีเจียเอ๋อร์ร่วงหล่นนั้น เป็เวลาเดียวกันกับที่เทียนในห้องดับลง หากช้ากว่านี้เพียงนิด ชื่อเสียงนางคงจะป่นปี้ไม่มีเหลือ!
หญิงสาวจึงอยากจากไป ก่อนที่แสงเทียนจะถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง มือข้างหนึ่งกำเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นเอาไว้ ส่วนอีกข้างก็พยายามคลำหาทางออก
โจวชิงหวาไม่รอช้า รีบก้าวเข้าไปหา แล้วปลดเสื้อคลุมของตนออกมาคลุมร่างนาง
การเข้าถึงตัวแบบกระชั้นชิดเช่นนี้ ทำให้หนีเจียเอ๋อร์ถึงกับตัวสั่น และพยายามขัดขืน
“ข้าเอง!”
แต่เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเป็ใคร หญิงสาวก็สงบลง นางกระชับเสื้อคลุมเข้าหาตัว กลิ่นอำพันทะเลที่แสนจะคุ้นเคย โชยพัดเข้าจมูก ทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
หนีเจียเอ๋อร์เขย่งปลายเท้า ก่อนกระซิบข้างหูอีกฝ่าย “ขอบคุณ”
โจวชิงหวาจึงฉวยโอกาสกอดนางแน่น
ไม่ช้า แสงไฟในห้องก็ส่องสว่างขึ้นมาอีกครั้ง
หนีจวิ้นหว่านมองหาหนีเจียเอ๋อร์เป็อันดับแรก คิดว่าแผนการครั้งนี้จะต้องสำเร็จแน่ แต่กลับมิใช่เช่นนั้น
ใครจะไปคิด ว่านางจะสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ของบุรุษเอาไว้ เมื่อมองไปยังด้านหลังของอีกฝ่าย ก็พบโจวชิงหวาที่ไร้เสื้อคลุมยืนอยู่
แผนที่วางเอาไว้ ล้มเหลวอีกครา...
ทำไมคนผู้นี้ ถึงต้องยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวตลอด!
โจวชิงหวาชำเลืองมองหนีจวิ้นหว่าน แววตาอันเย็นะเื ทำให้หญิงสาวถึงกับสะดุ้งเฮือก
หนีจวิ้นหว่านซึ่งกลัวความผิด รีบยกมือขึ้นปัดปอยผมที่ตกลงมาระใบหน้า ก่อนเบือนหนี เพื่อหลบสายตาคมของอีกฝ่าย
เมื่อเห็นว่าแผนการของบุตรสาวล้มเหลว สวีซื่อก็เข้ามายืนบังหนีจวิ้นหว่านเอาไว้ พลางหันไปถามหนีเจียเอ๋อร์เสียงต่ำ “เสี่ยวเอ๋อร์ เหตุใดเ้าถึงสวมเสื้อคลุมของโจวชิงหวาเล่า?”
นางจงใจถามเสียงดัง เพื่อให้ผู้คนจับจ้องไปยังสองหนุ่มสาว
หนีเจียเอ๋อร์จึงตอบอย่างใจเย็น “ข้ารู้สึกหนาวนิดหน่อย พี่ชิงหวาจึงให้ข้ายืมเสื้อคลุมเ้าค่ะ”
โจวชิงหวาซึ่งยืนอยู่ด้านหลัง แสดงท่าทีเรียบเฉย ไม่มีท่าทีละอายใจกับเื่ที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย
ทั้งสองต่างมีท่าทีสุขุมเยือกเย็น ทำให้ไม่มีผู้ใดกังขาในความสัมพันธ์ของพวกเขาแม้แต่น้อย มองเป็เพียงความห่วงใยระหว่างพี่น้องก็เท่านั้น
แต่สวีเพ่ยหรานกลับต่างออกไป เขามองการกระทำของสองหนุ่มสาวด้วยความเคลือบแคลงใจ
ทางด้านมู่หรงจิ่งหลีก็เช่นกัน เขาหรี่ตา มองท่าทีของคนทั้งสองอย่างสงสัย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้