ฉีเฟิงทำตามที่นัดหมายเอาไว้ นำทหารคุ้มกันอีกห้านายมาถึงจวนเก่าก่อนเวลาค่ำ จวนเก่ามีห้องมากมาย อยู่กันหลายคนก็ไม่มีปัญหา
จริงๆ แล้วหยางหนิงคิดอยากให้ฉีเฟิงเดินทางต่อไปยังจิงโจว ไปหาท่านเ้าเมืองเจียงหลิงเลย แล้วให้ไปสอบถามเื่คุ้มกันเงินภาษีไปยังเมืองหลวงในนามของจิ่นอีซื่อจื่อ ว่าทางเมืองจิงโจวได้ส่งทหารไปคุ้มกันขบวนส่งเงินจริงหรือไม่ แต่ว่าตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้ว จึงให้ฉีเฟิงค่อยไปตอนเช้าอีกที
ถึงแม้ฉีเฟิงจะรีบกลับมาให้ทันเวลา แต่ฉีเฉิงกลับไม่ได้กลับมาตามเวลา
กู้ชิงฮั่นอยู่ในห้องบัญชีจนถึงค่ำ รู้สึกเพลียยิ่งนัก นางตรวจสอบบัญชี่สามปีที่ผ่านมาอย่างละเอียด กลับไม่พบสิ่งผิดปกติเลย
กู้ชิงฮั่นรู้ดีว่าบัญชีใหญ่เช่นนี้ ยิ่งละเอียดยิ่งดี ไม่มีทางทำได้หมดภายในสองสามเดือน แล้วไม่มีทางที่จะไม่มีอะไรผิดพลาดเลย หากบอกว่าบัญชีพวกนี้เป็ของปลอม ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่ามันจะต้องเริ่มมาั้แ่เมื่อสามปีก่อน บัญชีของจวนเก่าก็มีการบันทึกเป็สองเล่ม คือมีของจริงหนึ่งและที่เป็ของปลอมอีกหนึ่ง
นางคิดมาตลอดว่าเจียงหลิงก็เหมือนหลังบ้านของตระกูลฉี เป็รากฐานหลัก จวนเก่านั้นมีความสำคัญมาก ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้กลับพบว่าที่นี่มันมีอะไรซับซ้อนมากกว่าที่นางคิดไว้มาก
หากบอกว่าบัญชีพวกนี้เป็ของจริง ถ้าอย่างนั้นเงินภาษีก็ควรจะถึงเมืองหลวงั้แ่เมื่อเดือนที่แล้ว แต่ว่าทางจวนโหวไม่เห็นเงินเลยแม้แต่ตำลึงเดียว เงินภาษีที่ส่งไปยังเมืองหลวง คงไม่ได้มีปีกบินหนีไปเองหรอก นางคิดอยากจะถามอย่างละเอียด ว่าเงินพวกนั้นถูกส่งไปไหน แต่ว่าฉีเฉิงกลับไม่มาสักที ส่วนเสี่ยวชุยคนที่ไปพร้อมขบวนส่งเงินภาษีก็ไปจิงโจวกับฉีเฉิง หากไม่พบพวกเขา ก็ไม่มีทางรู้ที่มาที่ไปแน่ๆ
่นี้เร่งเดินทางกันมาหลายวันหลายคืน อีกทั้งเมื่อคืนก็ไม่ได้หลับดี วันนี้ก็ยุ่งมาทั้งวัน รู้สึกอ่อนเพลียมากจริงๆ หยางหนิงจึงแนะนำให้พวกเขากลับไปที่ห้องก่อน ที่จวนเก่านี้ก็มีสาวใช้คอยดูแลช่วยอาบน้ำ ส่วนฉีเฟิงก็มีการนำสัมภาระมาเองด้วย จึงมีเสื้อผ้าเปลี่ยน
หยางหนิงไม่ได้รีบร้อนจะไปพัก เขารู้สึกสงสัยในเื่ที่เกิดขึ้นที่จวนเก่านี้มาก ก็เลยอยากจะรู้ว่าเมื่อฉีเฉิงกลับมาแล้ว เขาจะอธิบายว่ายังไง
รออยู่ค่อนคืน ก็ไม่เห็นฉีเฉิงกลับมาเสียที ในใจก็รู้สึกว่ามันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ
กลางดึกในคืนนี้ เขาเดินเล่นไปเรื่อยๆ ในจวนเก่า เดินไปเดินมา พอเงยหน้าขึ้นมา ก็เดินมาถึงไม่ไกลจากทางไปเรือนผีสิงนั้น เมื่อเงยหน้าขึ้น ใต้แสงจันทร์ เรือนผีสิงก็เงียบเหมือนห้องเก็บศพ รู้สึกวังเวงยิ่งนัก
หยางหนิงคิดในใจว่าอย่างไรเสียที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ที่ดีนัก คิดจะเลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง ก็พลันหยุดเดิน แล้วหันหน้าไปมอง
เหวยต้งบอกว่าที่เรือนนั้นมีผี หยางหนิงไม่มีทางเชื่อแน่ แต่ว่าเขากลับแปลกใจว่า มีคนถึงสองคนที่เข้าไปในเรือนนั้นแล้ว ก็ตายไปอย่างไม่มีสาเหตุ หรือว่าพวกเขาจะใตายเพราะผีจริงๆ หรือ?
จริงๆ เขาเป็คนที่อยากรู้อยากเห็นมากๆ หากเหวยต้งกับกู้ชิงฮั่นไม่เล่าเื่ผีที่ลึกลับขนาดนี้ให้เขาฟัง เขาอาจจะไม่สนใจก็ได้ เพราะมีคนถึงสองคนบอกว่าเรือนนั้นมันประหลาด อย่าเข้าไปใกล้เด็ดขาด เพราะเหตุนี้จึงทำให้เขารู้สึกสนใจเรือนผีนั้นยิ่งนัก
ปกติเขาก็เป็คนกล้าบ้าบิ่นอยู่แล้ว ถึงแม้จะเห็นว่าเรือนหลังนั้นมันวังเวงจนขนลุก แต่ว่ากลับถูกสั่งห้ามใครเข้าไปั้แ่ท่านเหล่าโหวยังอยู่ แสดงว่าน่าจะมีความลับซ่อนอยู่ไม่น้อย
เหวยต้งเล่าว่าคนที่ตายไปสองคนนั้น เหมือนจะได้ยินเสียงขลุ่ยดังขึ้นก่อน ถึงแอบเข้าไปในเรือนนั้น หากเสียงขลุ่ยดังขึ้นเพราะผีเป็คนเป่า แต่ตอนนี้ไม่ได้มีเสียงขลุ่ย ไม่แน่ผีตัวนั้นอาจจะไม่อยู่ที่เรือนในตอนนี้ก็ได้กระมัง?
ขณะที่เขากำลังคิด ก็หันตัว แล้วเดินเข้าไปที่เรือนนั้น
ค่ำคืนที่หนาวเย็น เถาวัลย์ที่ขึ้นเลื้อยอยู่เต็มกำแพงราวกับงูพันกันราวๆ พันตัว หยางหนิงเดินถึงหน้าประตู อาศัยแสงจันทร์มองเข้าไป แล้วใช้หูพยายามฟัง ในเรือนเงียบสนิท ไม่มีเสียงอะไรเลย
จริงๆ กำแพงที่นี่ก็ไม่ได้สูงมาก หยางหนิงจะปีนก็ปีนได้ง่ายๆ แต่ว่าเขามีความลังเลอยู่ไม่น้อย หยางหนิงเดินมาถึงริมกำแพง มองไปรอบๆ เห็นว่าไม่มีคน จึงจับเถาวัลย์ แล้วปีนกำแพงขึ้นไป เขานั่งอยู่บนสันกำแพงแล้วมองไปรอบๆ เห็นในเรือนไม่ใหญ่มาก ตรงกลางมีห้องอยู่ห้องหนึ่งโดดๆ ภายในเรือนเต็มไปด้วยเถาวัลย์
ภายใต้แสงจันทร์ ห้องนั้นมันดูวังเวงยิ่งนัก เมื่อลมพัดมา หยางหนิงก็รู้สึกหนาวถึงกระดูก
เขารู้สึกลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจ ชักมีดสั่นของเขาออกมา แล้วะโลงจากกำแพงเข้าไปในเรือน
เขาค่อยๆ เดินเข้าไป เห็นห้องเต็มไปด้วยซากปรักหักพังเต็มไปหมด ประตูห้องทั้งเก่าทั้งโทรม หลายปีมานี้ไม่มีการซ่อมแซมเลย บานประตูผุพังไปหมดแล้ว
มือขวาเขาจับมีดสั้นไว้แน่น มือซ้ายค่อยๆ ผลักประตูออกไป ประตูมีเสียงดัง “กึกกึกกึก” หลังจากผลักประตูออกไป ภายในนั้นมีกลิ่นอับๆ ของความเก่า มันฉุนเข้าจมูกมาก และมีกลิ่นเหม็นยิ่งนัก หยางหนิงยกมือขึ้นพัด แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปในห้อง ในห้องหลังใหญ่มีสามห้องย่อย ซ้ายขวาและตรงกลางห้องโถงอย่างละห้อง
ภายในห้องโถง ตกแต่งอย่างเรียบง่าย ตรงกลางมีโต๊ะตัวหนึ่ง มีเก้าอี้สองตัว ตรงหัวมุมห้องมีชั้นวาง แต่ว่ามันผุพังมากแล้ว แต่ว่าฐานของมันยังคงดีอยู่ ก็ไม่รู้ว่าโต๊ะเก้าอี้พวกนี้ทำจากอะไรถึงได้แข็งแรงเช่นนี้ ไม่มีร่องรอยผุพังเลย แค่มีฝุ่นบางๆ เท่านั้น
หยางหนิงมองไปรอบๆ แล้วค่อยๆ เดินไปที่ห้องทางด้านซ้าย เขาผลักประตูเข้าไป ประตูบานนี้มันไม่ได้ล็อกกุญแจเอาไว้ หยางหนิงค่อยๆ ดันเข้าไป
แสงจันทร์สาดเข้ามาด้านใน ถึงแม้จะเป็กลางดึก ภายในห้องก็มืดสลัว แต่อาศัยแสงจันทร์ ก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน กำแพงในห้องด้านที่ตรงกับประตู มีโต๊ะเล็กๆ วางอยู่ บนนั้นเหมือนมีของบางอย่างวางไว้อยู่ หยางหนิงเดินเข้าไปในห้อง มองไปด้านใน เห็นที่มุมห้องมีเตียงไม้อยู่ตัวหนึ่ง ้าไม่มีฟูกและผ้าห่ม แต่ว่าเตียงไม้อยู่ในสภาพที่ดีมาก ไม่ผุพังเลยแม้แต่น้อย
หยางหนิงรู้สึกแปลกใจมาก
ตามที่เหวยต้งบอก หลายสิบปีก่อน เรือนนี้ถูกปิดตาย ไม่เคยมีผู้ใดเข้ามาอีกเลย หากเป็จริงตามที่เหวยต้งบอกมา หลายสิบปีมานี้ ของในห้องนี้ก็ไม่น่าจะอยู่ในสภาพที่ดีเช่นนี้ ต่อให้ไม้ของเครื่องเรือนในบ้านจะดีเพียงใดก็ตาม แต่หลังจากที่เข้ามาในห้อง กลับไม่เห็นหยักไย่สักนิด
เขารู้ดีว่า อย่าว่าแต่สิบปีเลย ต่อให้ไม่กี่ปีห้องที่ไม่มีคนอยู่เช่นในห้องนี้ ก็ต้องมีหยักไย่อยู่ทั่ว แต่ว่าในเรือนนี้ไม่ว่าจะเป็ห้องโถงหรือในห้องนี้ กลับไม่เห็นหยากไย่แม้แต่เส้นเดียว มันผิดปกติเกินไป
เขาย้อนคิดไปถึงเมื่อครู่ที่เขาเดินไปลูบโต๊ะ บนโต๊ะมีฝุ่นจริง แต่จากประสบการณ์ของหยางหนิง หากไม่เคยมีใครเข้ามาทำความสะอาดในห้องที่ไม่มีคนอยู่ถึงสิบกว่าปี บนโต๊ะก็จะต้องมีฝุ่นหนาแน่นอน แต่เมื่อครู่ที่เขาจับดูเป็เพียงฝุ่นชั้นบางๆ เท่านั้น หากคำนวณดูแล้ว ก็น่าจะไม่ได้ทำความสะอาดมาแค่ไม่กี่เดือนมานี้เอง
หรือว่าในห้องนี้มีผีจริงๆ หรือ? ผีภายในบ้านนี้สามารถทำความสะอาดด้วยหรือ?
หรือว่าเหวยต้งจะโกหก เรือนนี้มีคนมาทำความสะอาดอยู่เป็ระยะๆ หรือไม่?
ห้องตกแต่งอย่างเรียบง่าย หยางหนิงเดินเข้าไปด้านใน เดินเข้าไปใกล้โต๊ะเล็กๆ พบว่ามีโต๊ะเครื่องแป้งของผู้หญิงอยู่ ก็นึกถึงที่กู้ชิงฮั่นพูด ว่าก่อนหน้านี้เหมือนจะมีผู้หญิงตายอยู่ที่นี่คนหนึ่ง ตอนนี้เห็นโต๊ะเครื่องแป้ง ก็รู้ว่าต้องเป็ผู้หญิงคนที่กู้ชิงฮั่นพูดถึงอย่างแน่นอน
ในสมองของเขาตอนนี้ภาพของผีผู้หญิงผมยาวปิดหน้าก็ลอยขึ้นมาไม่หยุด ทำให้เขาหลังเย็นแปลกๆ เมื่อมองไปรอบๆ ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ มองดูอย่างละเอียด ก็พบว่าบนโต๊ะมีกล่องเครื่องสำอางกล่องหนึ่ง ฝาของมันปิดอยู่ มือขวาของเขาถือมีดสั้นในมือ เขายื่นมือออกไป แล้วเปิดกล่องนั้นออก
พบว่าภายในกล่องนั้นไม่ได้เป็กล่องเปล่า ภายในนั้นมีเครื่องสำอางอยู่ ยังมีต่างหู กำไล ไม่ว่าจะเป็ต่างหูหรือกำไล รูปแบบประณีตมาก แต่ว่าทำมาจากทองแดง ไม่ได้มีมูลค่าอะไร หยางหนิงคิดว่าตระกูลฉีเป็ตระกูลเศรษฐีในเจียงหลิง สามารถอยู่ในจวนที่เป็ส่วนตัวได้เช่นนี้ ผู้หญิงคนนี้จะต้องไม่ใช่สาวใช้ธรรมดาแน่นอน อยู่ในจวนนางจะต้องมีตำแหน่งอะไรแน่ๆ ตามหลักแล้วต่อให้ไม่มีกำไลทอง อย่างน้อยก็ต้องเป็กำไลเงิน แต่ในกล่องนี้กลับมีแค่กำไลทองแดง ซึ่งมันดูไม่สอดคล้องกับฐานะของบ้านตระกูลฉีสักเท่าไหร่
แป้งแต่งหน้าแห้งไปแล้ว นอกจากนี้ก็ไม่มีสิ่งของอะไรอีก
หยางหนิงค่อยๆ ปิดฝากล่องลง พบว่าบนโต๊ะเครื่องแป้งมีลิ้นชักอยู่ ก็ค่อยๆ เปิดออก ด้านในพบของสองสิ่ง อย่างแรกคือกระจก อย่างที่สองเป็ห่อผ้าแพรสีดำ มันเป็ทรงยาว ในเวลาเช่นนี้ หยางหนิงไม่คิดจะไปแตะกระจก หยิบกระจกมาดูในบรรยากาศวังเวงเช่นนี้ อาจจะเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นในกระจกนี้ก็เป็ได้
เขาหยิบถุงผ้าแพรที่ห่อของขึ้นมา ห่อผ้าแพรปักละเอียดมาก น่าจะเป็ของมีค่ามาก เมื่อเปิดผ้าแพรออก ด้านในก็มีของสิ่งหนึ่งอยู่ในผ้าแพรผืนนั้น
ตอนนี้ใบหน้าของหยางหนิงตกตะลึงมาก
ขลุ่ย!
ของในห่อผ้าแพรเป็ขลุ่ย
ครู่หนึ่ง หยางหนิงก็นึกถึงที่เหวยต้งพูดว่าในเรือนนี้จะมีเสียงขลุ่ยดังขึ้นทุกปี หรือว่าเสียงขลุ่ยนั้นมาจากขลุ่ยเล่มนี้รึ?
ขลุ่ยเล่มนี้สวยงามมาก ถึงแม้ดูไปแล้วจะมีอายุพอสมควร แต่ยังคงสภาพดี ไม่มีฝุ่นเลยแม้แต่น้อย
“เป็คนแน่ๆ...!” หยางหนิงพูดกับตัวเอง ในตอนนี้เองเขาเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ในความคิดของเขา เื่ผีในเรือนนี้น่าจะไม่ใช่เพราะเคยมีคนตายที่นี่ ถึงได้สั่งห้ามเข้ามา เมื่อเวลานานเข้าพอไม่มีใครเข้าออกบรรยากาศมันก็จะวังเวง เมื่อมันลึกลับ ก็จะเกิดการคาดเดาไปต่างๆ นานา
เขาเชื่อว่า ผู้ที่เป่าขลุ่ยไม่น่าจะใช่ผี แต่น่าจะเป็คนที่เข้ามาที่นี่ทุกปี ไม่เพียงมาเป่าขลุ่ย แถมยังมาทำความสะอาดที่นี่ด้วย
เรือนนี้ไม่มีคนอาศัยอยู่นานหลายปี กลับมีเสียงขลุ่ยดังอยู่เป็ระยะ คนอื่นก็เข้าใจผิดคิดว่าเป็ผี
ส่วนสองคนที่ปีนกำแพงเข้ามา คิดว่าน่าจะเป็คนที่เป่าขลุ่ยคนนี้ที่เป็คนฆ่าแน่นอน เพราะพวกเขาน่าจะเข้ามาเจอคนที่เป่าขลุ่ยอยู่พอดี เมื่อทั้งสองพบหน้ากัน จึงลงมืออย่างเหี้ยมโหด
หยางหนิงขมวดคิ้ว หากตัวเขาเดาไม่ผิด คนที่อยู่ในห้องนี้จะต้องเป็คนไม่ใช่ผีแน่นอน คนผู้หนึ่งมาที่เรือนนี้ไม่เคยขาดเลยตลอดสิบปี มาทำความสะอาด แล้วก็เป่าขลุ่ยอยู่หลายคืน แถมเมื่อมีคนบุกเข้ามายังลงมือสังหารอีก คนผู้นี้เป็ใครกัน?
เขากับจิ่นอีโหวตระกูลฉี มีความเกี่ยวข้องอะไรกัน?