จิ่งเหวินซานหัวเราะ “ฮ่าๆ หลานเฉินอย่าได้พูดเช่นนั้น ข้าในฐานะที่เป็เ้าภาพ ดูแลต้อนรับพวกเ้าก็ถือเป็เื่สมควรแล้ว เราอย่าพูดเกรงใจกันอยู่เลย มา! ลุงขอคารวะให้พวกเ้า”
แล้วคนที่นั่งอยู่ก็ลุกขึ้นมาทันที พวกอ๋าวหรานเองก็ต้องตามฝูงชนไปด้วย จิ่งจื่อถอนหายใจแล้วพูดว่า “วันนี้เพิ่งได้รู้ว่าท่านลุงใหญ่เป็คนที่อ่อนโยนเอาใจใส่ถึงเพียงนี้”
จิ่งเซียง “แค่อ่อนโยนเอาใจใส่เสียที่ไหน ยังรู้จักพูดด้วย ซื้อใจคน จะฝั่งไหนก็ดีด้วยไปหมด ไม่เคยรู้สึกว่าเขาเหมาะจะเป็ผู้นำตระกูลเท่านี้มาก่อนเลย”
อ๋าวหรานพยักหน้า แสดงออกว่าเห็นด้วย “ต้องหาคนมีความสามารถให้มากเข้าไว้ จะได้ช่วยพี่เ้าแบ่งเบาภาระ”
แล้วพวกเขาก็พากันพยักหน้า
ทุกคนคารวะติดต่อกันสามแก้ว บรรยากาศถูกทำให้ครึกครื้นเป็อย่างยิ่ง รื่นเริงเป็ที่สุด
จิ่งเหวินซานยิ้มแล้วพูดว่า “หลานทั้งหลายเชิญนั่ง ชิมอาหารจานพิเศษจากตระกูลจิ่งกันเถิด”
ทุกคนพยักหน้ารับแล้วกล่าวขอบคุณ
นายน้อยตระกูลเซี่ยนามว่าเซี่ยเหวินเอ่อที่นั่งอยู่ข้างหลัวฉี่อดถามไม่ได้ว่า “ท่านลุง ไม่ทราบว่าที่นั่งข้างๆ ข้านี้เป็ผู้ใด? เหตุใดจึงยังไม่มานั่ง?”
จิ่งเหวินซานเองก็สงสัยเล็กน้อย “ที่นี้เหลือไว้ให้คุณชายสวี ไม่ทราบว่าระหว่างทางเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ ตอนนี้จึงยังมาไม่ถึง”
พูดแล้วก็หันศีรษะไปพูดกับพ่อบ้านที่อยู่ด้านหลัง “มีข่าวจากตระกูลสวีบ้างหรือไม่? ได้บอกหรือไม่ว่าจะไม่มาเข้าร่วม?”
พ่อบ้านรีบตอบกลับว่า “คนส่งเทียบเชิญส่งข่าวบอกมาหลายวันแล้วว่าจะมาขอรับ ไม่ทราบเหมือนกันว่าเหตุใดวันนี้จึงยังมาไม่ถึง”
จิ่งเซียงพูดเสียงเบา “ข้าคิดไว้แล้วเชียวว่าเหตุใดถึงไม่ได้ยินเลยว่าตระกูลสวีเป็คุณชายท่านใดมา ที่แท้ก็ยังมาไม่ถึงนี่เอง!”
อ๋าวหราน “พูดตามหลักแล้ว ตระกูลสวีอยู่ภาคกลาง เทียบกับพวกฝั่งตะวันตกแล้วยังนับว่าใกล้กว่ามาก เหตุใดได้รับเทียบเชิญแล้วยังมาไม่ถึง?”
หลัวฉี่ถอนหายใจเสียงเบา “หากว่าคุณชายสวีผู้นี้ไม่มาก็น่าเสียดายไม่น้อย ข้านึกอยากประมือกับเขามานานแล้ว”
ตระกูลสวีเป็ตระกูลบนแผ่นดินใหญ่ที่มีประวัติความเป็มา สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาอย่างยาวนาน มีชื่อเสียงเคียงคู่กันมากับตระกูลหลัวและตระกูลเซี่ย และอีกหลายตระกูล นายน้อยตระกูลสวี...สวีหรงฉี่ถือเป็หนึ่งในคุณชายผู้มีความสามารถและทรงอิทธิพล ในชื่อของเขามีตัว 'ฉี่' เหมือนชื่อของหลัวฉี่ ผู้คนบนแผ่นดินใหญ่จึงมักนำพวกเขาสองคนมาเปรียบเทียบกัน แล้วยังมีผู้ติดตามมากมาย เทียบกันแล้ว ชื่อเสียงของสวีหรงฉี่ค่อนข้างมากกว่าอยู่สักหน่อย เพราะเขาหน้าตาดีกว่าหลัวฉี่ ดังนั้นจึงดึงดูดคนให้ชอบเขามากกว่า ส่วนเื่วรยุทธ์ จนถึงวันนี้ทั้งสองก็ยังไม่เคยประมือกันเลย ผู้ใดแพ้ผู้ใดชนะยังไม่อาจบอกได้ ผู้คนบนแผ่นดินใหญ่ก็ถกเถียงกันอยู่ไม่น้อย
หวางฮวายเหล่ยกระดกเหล้าในมืออย่างไม่ค่อยเรียบร้อยนัก สายตาเอาแต่มองไปทางอิ่นซีเิ ดวงตานั้นแทบจะไปติดอยู่บนตัวนางแล้ว ทำให้อิ่นซีเิใจนตัวสั่น ราวกับรู้ว่าแสดงออกนอกหน้าเช่นนี้มันไม่ค่อยดี หวางฮวายเหล่ยจึงถอนสายตากลับมา ในน้ำเสียงมีแววดูถูกอยู่บ้าง “คุณชายตระกูลสวีท่านนี้เกรงว่าคงจะไม่เห็นเราอยู่ในสายตา ไม่ยอมมาประลองกับพวกเรา ทำตัวหยิ่งเสียจริง รับว่าจะมาแล้วแต่กลับไม่มา เกรงว่าคงสูญเสียกิริยามารยาทอันดีของคุณชายตระกูลใหญ่แล้ว”
คำพูดนี้ช่างล่วงเกินคนเสียจริง ถึงแม้คนตระกูลสวีจะไม่อยู่ แต่การลอยไปถึงหูของตระกูลสวีนั้นคงไม่ยากนัก หากไม่มีตระกูลหวางคอยหนุนหลังก็คงไม่มีใครกล้าตอบรับ
“คุณชายหวาง! พูดลับหลังผู้อื่นเยี่ยงนี้คงไม่ดีเท่าไรกระมัง?” เสียงที่มาถึงอย่างกะทันหันดึงดูดให้ผู้คนทั้งหมดหันไปมองตาม ที่หน้าประตู ด้านหลังเด็กรับใช้นำทางมีคุณชายท่าทางดูดีมีสง่าราศรียืนอยู่สองคน คนที่ยืนล้ำมาข้างหน้าเล็กน้อยก็คือคนที่กำลังพูดอยู่นั่นเอง
สวีหรงฉี่!
“เป็นายน้อยตระกูลสวี!”
“เป็คุณชายมีตระกูลที่หาได้ยากยิ่ง”
สวีหรงฉี่แย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน “ต้องขออภัยท่านทั้งหลาย ข้ามาสายแล้ว การแข่งขันคงยังไม่เริ่มใช่หรือไม่?”
จิ่งเหวินซานยิ้มแล้วพูดว่า “ฮ่าๆ หลานสวีหรือ ไม่สายๆ เหลือที่ไว้ให้เ้าแล้ว รีบเข้ามานั่ง ตอนนี้ทุกคนมากินข้าวกันก่อน มาสนุกสนานกัน”
บรรยากาศรอบตัวของสวีหลงฉี่น่าเกรงขามมาก แต่ละก้าวที่เดินเข้ามา ทุกคนก็พากันเงียบเสียงลง
หลางฉาอึ้งค้าง มองคนที่อยู่ด้านหลังสวีหรงฉี่ เขาสวมชุดยาวสีฟ้า รูปร่างสูงโปร่ง ที่ศีรษะเขาสวมหมวกคลุมหน้าบังหน้าไปครึ่งหนึ่ง สายตามองเห็นเพียงคางที่เกลี้ยงเกลางดงาม แต่ว่าหลางฉาหาได้สนใจเื่พวกนี้ไม่สายตาของนางจดจ่ออยู่กับหยกที่ห้อยอยู่ข้างเอวของเขา เป็หยกเนื้อสว่างชั้นดี สลักเสลาไว้อย่างวิจิตรงดงามราวกับมีชีวิต หยกแขวนนี้ นางเคยเห็นมาครั้งหนึ่ง ซึ่งคนที่แขวนหยกนี้แข็งแกร่งเสียจนไม่อาจบรรยายออกมาเป็คำพูดได้
เหตุใดคนผู้นี้ถึงมาได้?
“คนที่อยู่ด้านหลังสวีหรงฉี่เป็ผู้ใด? ดูแล้วดูมีอำนาจยิ่งกว่าสวีหรงฉี่เสียอีก”
ชายผู้นั้นมีบรรยากาศรอบตัวที่แข็งกล้ามาก ไม่เพียงดึงดูดความสนใจจากหลางฉาเพียงผู้เดียว แต่ผู้อื่นก็สนใจเขาด้วยเช่นกัน
“ไม่รู้สิ ไม่เคยเห็น”
“มีผู้ใดรู้จักบ้างหรือไม่?”
“ไม่รู้จัก”
ทุกคนเริ่มพูดคุยกัน สายตาอดมองไปยังคนที่อยู่ด้านหลังของสวีหรงฉี่ไม่ได้
สวีหรงฉี่ไม่สนใจผู้อื่น สอดส่ายสายตาไปรอบหนึ่ง สุดท้ายมาหยุดที่หลางฉา ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาทันใด ในรอยยิ้มแฝงไว้ด้วยความหลงใหลอยู่หลายส่วน “น้องหลางฉา ไม่เจอกันนาน”
ทุกคนมองไปตามสายตาของเขา “เฮ้ย หญิงงาม”
“บนแผ่นดินใหญ่มีหญิงงามเช่นนี้อยู่ด้วย เหตุใดจึงไม่เคยได้ยิน?”
“นี่มิใช่สตรี...สตรีในดวงใจของนายน้อยของเราหรือ?”
หลางฉายิ้มแล้วยืนขึ้น “พี่หรงฉี่ เหตุใดท่านถึงเพิ่งมา?”
สวีหรงฉี่รีบเดินไปตรงหน้านาง “ระหว่างทางมีเื่นิดหน่อย แต่ว่าแก้ไขได้แล้ว น้องหลางฉาเหตุใดถึงออกจากภาคกลางมา ท่านลุงบอกให้ข้าดูแลเ้าให้ดีๆ”
หลางฉากะพริบตา แย้มยิ้มแล้วพูดว่า “อยู่แต่บ้านทั้งวัน ข้าเบื่อจะแย่ จึงออกมาท่องเที่ยวข้างนอก พ่อบุญธรรมก็ขี้กังวลเกินไป ยังต้องลำบากท่านมาดูแลข้าอีก”
พูดไปก็อดหันเหสายตาไปมองทางชายหนุ่มสวมชุดสีฟ้าผู้นั้นไม่ได้ สำหรับสายตาของหลางฉานั้น ชายผู้นั้นเห็นแต่ก็หาได้สนใจไม่
ในใจของจิ่งเหวินซานสั่นสะท้านไปทีหนึ่ง หลางฉาผู้นี้แท้จริงแล้วมีความเป็มาอย่างไร ถึงทำให้นายน้อยตระกูลสวีปฏิบัติและพูดจาด้วยอย่างดีเช่นนี้ อย่าบอกนะว่าเขาไปล่วงเกินตระกูลใหญ่ที่ไหนเข้า
ในใจคิดไปร้อยแปด แต่ใบหน้าของจิ่งเหวินซานยังคงสงบนิ่ง พูดอย่างมีเมตตาว่า “หลานสวีรู้จักแม่นางผู้นี้ด้วยหรือ เป็ข้าที่ละเลยแล้ว ไม่ได้จัดที่ดีๆ ให้กับแม่นางผู้นี้ เด็กๆ จัดที่ข้างๆ คุณชายสวีไว้ด้วย ท่านทั้งสองมานั่งตรงนี้เถิด”
สวีหรงฉี่กำลังจะพยักหน้าว่าดี แต่ตอนที่หันเหสายตาไปยังคนข้างหลังก็กลับชะงักไปเล็กน้อย เกือบจะลืมเทพองค์ใหญ่ด้านหลังไปเสียแล้ว สถานะของคนผู้นี้เกรงว่าจะสูงกว่าหลางฉามากนัก
ถึงจะบอกว่าคนผู้นี้มีสถานะเป็สหายคนสนิทของตน แต่ในความเป็จริง กลับเป็คนที่แม้แต่บิดาเขายังต้องก้มหัวค้อมเอวให้ สวีหรงฉี่พยายามสงบนิ่งอย่างเต็มกำลังแล้วหันศีรษะไป แต่ในน้ำเสียงกลับแฝงแววระมัดระวังออกมาโดยไม่ตั้งใจ “พี่ชายแซ่ทาง เชิญนั่งที่ข้าเถิด ดีหรือไม่?”
ทันใดนั้นทุกคนที่นั่งอยู่ ณ ที่นั้น ตาแทบจะถลนออกมา บุรุษหนุ่มผู้นี้แท้จริงแล้วเป็ใครกัน?!
จิ่งจื่อกลืนน้ำลาย “ตระกูลทาง?”
อ๋าวหรานพยักหน้าอย่างจริงจัง ในใจรู้สึกพลุ่งพล่าน ตระกูลทางมีคนผู้นี้ด้วยหรือ? เหตุใดบรรยากาศที่แผ่ออกมาถึงทำให้ผู้คนรู้สึกหนักอึ้งเช่นนี้? ทั้งที่ดูไปแล้วทั้งร่างก็ดูสงบเสงี่ยมนิ่งเฉยราวกับไม่มีตัวตนอยู่ก็ไม่ปาน
จิ่งจื่อ “คนผู้นี้เหมือนว่าจะแข็งแกร่งมาก”
จิ่งเซียงพยักหน้า
ในโรงอาหาร บรรยากาศค่อนข้างแปลกประหลาดเล็กน้อย แต่ละคนมองหน้ากันไปมา ตระกูลสวีเป็ตระกูลใหญ่บนแผ่นดินใหญ่ที่แค่กระทืบเท้าสักทีสองที ผู้อื่นก็ต้องสั่นสะท้านวุ่นวายกันไปหมด ตอนนี้กลับต้องมาปฏิบัติต่อคนสองคนที่ไร้ชื่อเสียงที่ไม่รู้ว่าผุดออกมาจากซอกมุมใดด้วยซ้ำอย่างนอบน้อมมีมารยาท ถ้าเป็สตรีผู้นั้นก็ยังพอเข้าใจได้ เพราะอย่างน้อยก็เป็หญิงงาม ชายหนุ่มเห็นแล้วก็ต้องอยากทะนุถนอมอ่อนโยนด้วยอยู่สองส่วน แต่บุรุษผู้นั้นเล่า? สวีหรงฉี่ถึงกับต้องพูดด้วยอย่างระมัดระวัง
ผู้คนในที่นั้นอดจ้องมองไปยังชายหนุ่มชุดสีฟ้าไม่ได้ และต่างก็นั่งรอเขาเปิดปากพูด คนผู้นั้นไม่สนใจสายตาทั้งหลายที่มองมาทางเขาแม้แต่น้อย ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มุมค่อนข้างเอียงไปทางหลางฉา เหมือนว่ามองเรียบๆ ไปทีหนึ่ง แล้วจึงหันศีรษะมาพูดว่า “ไม่ต้อง จัดที่นั่งตรงไหนก็ได้มาสักที่ก็พอ”
น้ำเสียงสุขุมลุ่มลึก ฟังแล้วรื่นหูอยู่ไม่น้อย เหล่าสตรีในที่นั้นจึงอดหันไปมองไม่ได้ อยากดูให้แน่ชัด แม้แต่พวกที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งหลักก็ยังอดเงยหน้าขึ้นมองไม่ได้ สีหน้าทั้งสับสน สงสัย และตกตะลึง
จิ่งเหวินซานแอบพูดในใจ หากจะจัดที่นั่งตรงไหนก็ได้ให้ไปจริงๆ เช่นนั้นเขาคงไม่จำเป็ต้องดิ้นรนคิดการใหญ่อะไรอีกแล้ว อย่างน้อยกี่สิบปีที่มีชีวิตอยู่มานี้คงเรียกได้ว่าอยู่ไปอย่างเปล่าประโยชน์ แล้วรีบใช้น้ำเสียงและสายตาอย่างมีเมตตา “สหายของคุณชายสวีก็เชิญนั่งกับคุณชายสวีเถิด จะได้พูดคุยกันสะดวก”
สวีหรงฉี่รีบพยักหน้า รู้สึกขอบคุณความหัวไวของจิ่งเหวินซานเป็อย่างมาก ทุกคนคิดว่าชายหนุ่มชุดสีฟ้าจะกล่าวปฏิเสธสักหน่อย กลับไม่คิดว่าคนผู้นี้จะไม่พูดอะไรเลย ราวกับว่าการจัดการเช่นนี้เป็เื่ที่แน่นอนอยู่แล้ว
แต่ที่กระอักกระอ่วนก็คือ ที่นั่งมีไม่เพียงพอ เดิมทีก็แค่เพิ่มจิ่งจื่อกับอ๋าวหรานเข้ามา นี่ยังเพิ่มเข้ามาอีกสองคน จึงดูเหมือนจะแน่นเกินไปแล้ว อีกทั้งคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กับที่นั่งหลักก็ล้วนเป็ลูกหลานจากตระกูลใหญ่ที่ไม่อาจล่วงเกินได้ ให้พวกเขานั่งเบียดเสียดกันไม่รู้ว่าจะทำให้พวกเขาไม่พอใจหรือไม่
สายตาของจิ่งเหวินซานมองมาทางอ๋าวหราน ั้แ่ที่เขามาถึง เด็กรับใช้ก็มารายงานเขาแล้ว ตอนนี้เขายังไม่อยากตัดขาดประกาศศึกกับจิ่งฝาน เดิมทีก็จัดที่นั่งให้ไกลออกไป หากเื่นี้ยังไม่ยอมตามใจเขาอีก เกรงว่าคงต้องมีโวยวายบ้างแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องยอมไปก่อน แต่ว่าตอนนี้เกรงว่าคงไม่อาจไม่ให้สองคนนี้ย้ายที่นั่งแล้ว
จิ่งเหวินซานพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “จิ่งจื่อ คุณชายอ๋าว เ้าทั้งสองล้วนเป็คนใน วันหน้ายังมีโอกาสมาร่วมรับประทานอาหารในงานเช่นนี้อีกมาก ไม่สู้ยกที่นั่งนี้ให้แม่นางหลางฉากับคุณชายทางไปเสีย”
ั้แ่ที่รับรู้ถึงสายตาของจิ่งเหวินซาน อ๋าวหรานก็รู้แล้วว่าต้องเป็เช่นนี้ จึงได้แต่ถอนหายใจอยู่ในใจ ดูท่าทางโต๊ะหลักนี้ไม่ใช่ว่าอยากจะนั่งก็จะนั่งได้จริงๆ ด้วย
จิ่งเซียงมีสีหน้าโกรธเคือง คิดจะขัดขวาง แต่กลับถูกอ๋าวหรานห้ามไว้ ก็แค่ที่นั่งเท่านั้น ไม่จำเป็ต้องทำให้เป็เื่ใหญ่โตขึ้นมา
จิ่งเซียงเองก็เข้าใจความหมายของอ๋าวหราน จึงทำได้เพียงนั่งกลับไปอย่างเรียบร้อย แล้วพึมพำว่า “เหตุใดเ้าถึงไม่ให้จิ่งเคอยกที่นั่งให้ นั่งอยู่บนที่นั่งหลักเสียมั่นคงเชียวนะ”
อ๋าวหรานประสานมือให้ “แน่นอน ทำให้ท่านลุงจิ่งเหนื่อยใจแล้ว ข้ารู้สึกอับอายจริงๆ”
จิ่งเหวินซานพอใจมากที่พวกเขารู้จักกาลเทศะ จึงฉีกยิ้มสว่างไสวเต็มใบหน้า “คนบ้านเดียวกัน อย่าคิดมาก”
คนทั้งคู่เห็นว่าโต๊ะสามยังมีที่นั่งว่างติดกันจึงเตรียมจะเดินไป แต่เดินไปได้เพียงสองก้าว อ๋าวหรานก็กลับถูกสายตาของบุรุษหนุ่มชุดสีฟ้าผู้นั้นจ้องจนรู้สึกทรมาน ราวกับว่าดวงตาคู่นั้นสามารถมองทะลุร่างเขาเป็รูได้อย่างไรอย่างนัั้น
“คุณชายอ๋าว? เ้าเป็คนตระกูลอ๋าว?”
ลักษณะของคนผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ แค่ประโยคง่ายๆ เพียงประโยคหนึ่ง น้ำเสียงไม่ดังนัก แต่กลับดึงดูดให้ทุกคนเงียบลงได้
จิ่งเซียงเองก็ยังอดมองมาไม่ได้ ในแววตาแสดงถึงความกังวล แต่จิ่งฝานกลับแค่จิบเหล้าในมือเบาๆ ราวกับเป็คนนอกก็ไม่ปาน
อ๋าวหรานสะกดความตื่นตระหนกไว้ จากนั้นจึงแสดงท่าทางไร้เดียงสาออกมา แล้วยังแฝงไปด้วยความประหลาดใจ “อา เ้ารู้จักข้าด้วยหรือ?”
คนผู้นั้นไม่ตอบอยู่นาน เพียงจ้องมองอ๋าวหรานด้วยสายตาอันแหลมคม อ๋าวหรานแกล้งทำเป็หวาดกลัวแล้วถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “ข้ารู้จักเ้าหรือ? ดูเหมือนจะไม่เคยพบกันมาก่อนนะ?”
เนิ่นนานคนผู้นั้นถึงตอบกลับมาเบาๆ ประโยคหนึ่งซึ่งมีความหมายไม่ชัดเจนว่า “แค่เคยได้ยินมา” พูดจบก็เดินไปทางโต๊ะหลัก ไม่สนใจสายตาของทุกคนเลยแม้แต่น้อย สวีหรงฉี่เองก็รีบลากหลางฉาเดินตามไป ทุกคนต่างตกตะลึงขึ้นมาอีกครั้งและสงสัยในสถานะของคนผู้นี้ยิ่งขึ้นไปอีก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้