Rrrrr
คิ้วเรียวของคนที่นอนหลับอยู่ขมวดมุ่นจนยุ่งเป็ปมเมื่อฝันดีถูกทำลายลงเพราะเสียงรบกวนจากเครื่องมือสื่อสารราคาแพง แขนขาวควานสะเปะสะปะไปมาบนโต๊ะวางโคมไฟข้างหัวเตียงด้วยความเคยชิน แต่กลับไม่พบเป้าหมายอย่างเช่นทุกที เปลือกตาขาวมุกจึงหรี่ขึ้นข้างหนึ่งเพื่อมองหาโทรศัพท์เ้าปัญหาที่ยังส่งเสียงรบกวนเวลานอนของเขาไม่หยุด แต่ก็ไร้เงา
“เฮ้อ”
ร่างบางถอนหายใจออกมาด้วยความเซ็งเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่านี่ไม่ใช่ห้องของเขาและเมื่อคืนก่อนนอนเขาก็ไม่ได้เอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้วยซ้ำ แทนทึ้งผมตัวเองด้วยความเซ็งในหัวก็คิดวนไปมาว่าเขาควรจะลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายหรือฝืนนอนหลับตาต่อไปเดี๋ยวปลายสายก็คงยอมแพ้ตัดใจเลิกโทรไป
Rrrrr
แต่เหมือนว่าคนที่โทรเข้ามาจะไม่ยอมแพ้ๆง่ายๆแบบที่แทนคิด ร่างบางจำใจต้องดีดตัวเองขึ้นมานั่งหลังตรงบนเตียงนอนกว้าง ก่อนมือเรียวจะสะบัดผ้าห่มสีเทาผืนใหญ่ออกไปจากตัวแล้วเดินทอดน่องไปยังจุดที่มีกางเกงยีนสีซีดตัวเก่งของเขากองอยู่ แทนก้มตัวลงไปหยิบมันมาด้วยท่าทางที่ดูเหนื่อยหน่าย
“ว่า” เมื่อเห็นว่าสายที่โทรเข้ามาคือหนึ่งในเพื่อนสนิทที่คบกันมาั้แ่มัธยมจนถึง่มหาวิทยาลัยมือเรียวก็กดรับทันที
(อยู่ไหนไอ้สัด) ปลายสายตอบกลับมาด้วยเสียงที่ไม่เบานัก แถมน้ำเสียงก็ยังเจือความหงุดหงิดแฝงมาด้วย
“สักที่บนโลก” ร่างบางเอ่ยตอบขณะที่ดวงตากลมโตกำลังมองไปรอบๆห้องที่เขายืนอยู่ เมื่อคืนเพราะว่าความเพลียและความง่วงที่ถาโถมเข้ามาจึงทำให้เขารีบนอนจนไม่ทันได้สังเกตให้ดีว่าห้องนอนที่เขานอนนั้นมันกว้างขวางแค่ไหน แถมของทุกอย่างก็ยังถูกจัดเอาไว้อย่างเป็ระเบียบยกเว้นก็แต่เสื้อผ้าเขาที่กองเกะกะอยู่บนพื้น
(กวนตีนหรอไอ้สัด กูโทรไปเป็สิบสายทำไมไม่รับ)
“จริงดิ” แทนเลิกคิ้วอย่างไม่อยากจะเชื่อ “กูพึ่งได้ยินเสียงโทรศัพท์เลยตื่นมารับเนี่ย”
(อันนั้นคือนอนหรือตายอะคะ) เสียงของเพื่อนอีกคนหนึ่งในกลุ่มที่เป็LGBTQ+แทรกเข้ามาในสาย
“นอนค่ะ มีไรวะโทรหากูแต่เช้า”
(เช้าพ่อมึงอะ เก้าโมงกว่าแล้วไอ้เวร)
“สาระ?”
(สารเลวเลยค่ะคนอย่างมึงน่ะ)
“...”
(นี่ไม่ใช่ว่ามึงลืมนะ)
“ลืมอะไร” แทนขมวดคิ้วสงสัยมากขึ้นเมื่อเขาถูกอีกฝ่ายถามแบบนั้น
(วันนี้กลุ่มเรานัดพรีงานไงคะพ่อ มึงลืมจริงๆใช่มั้ยคะอิเหี้ย)
“เหี้ย...” ใช่เขาลืม...แบบว่าเมื่อวานก็ยังไม่ลืมหรอกจำได้ขึ้นใจเลยแหละว่าวันนี้มีนำเสนองานอาจารย์ในหัวข้อดนตรีตะวันตกยุคกลางแต่เมื่อคืนก่อนนอนกลับลืมไปซะสนิท
(กูว่าแล้วไง)
“...”
(งั้นพวกกูไปขอเลื่อนอาจารย์ก่อนก็ได้ เดี๋ยวอ้างว่ามึงป่วยเอา)
“ไม่ต้อง เดี๋ยวกูไป รอแป๊บนึง”
(ทันก็เหี้ย จากบ้านมึงมามออย่างต่ำก็ชั่วโมงนึง)
“เออน่าทันแน่ กูให้เลยไม่เกินครึ่งชั่วโมงพวกมึงจะต้องได้เห็นหัวกูที่คณะ” แทนค่อนข้างมั่นใจว่าอย่างไรเขาก็ไปถึงที่คณะทันอย่างแน่นอนเพราะคอนโดที่เขาอยู่ในตอนนี้ห่างจากมหาวิทยาลัยไม่มานัก ที่จริงไม่น่าเกินยี่สิบนาทีก็น่าจะถึงแล้วด้วยซ้ำ “เรานัดอาจารย์ไว้สิบโมงใช่ป่ะ”
(เออ)
“เค เจอกัน”
(ทันแน่นะมึง)
“ไม่ทันกูให้มึงจับทำผัวเลยเจส”
(ผัวทิมมี่ของกูมันจะหึงเอานะ)
“...”
(ใครเป็ผัวมึง เลิกชวนมันคุยไร้สาระแล้วให้มันไปแต่งตัวมาคณะเถอะไอ้สัด) บทสนทนาของปลายสายจบลงเพียงเท่านั้นก่อนที่สายจะถูกตัดไป แทนส่ายหัวเอือมระอาให้กับคู่เพื่อนรักที่กัดกันได้ทุกวี่ทุกวันคนหนึ่งก็หนักแน่นในความอยากได้เพื่อนเป็ผัวอีกคนก็ปฏิเสธอย่างรุนแรงในทุกรอบ
โทรศัพท์เครื่องหรูถูกเ้าของโยนลงบนเตียงอย่างไม่นึกใส่ใจมากนัก ก่อนขาเรียวจะรีบสาวเท้าเดินไปอาบน้ำในห้องน้ำและออกมายืนเปิดตู้เสื้อผ้าของใครอีกคนที่น่าจะยังหลับอยู่เพื่อหยิบชุดนักศึกษาออกมาใส่โดยไม่มีการเอ่ยขออนุญาตใดใดทั้งสิ้น
“เอวใหญ่ไป” เสียงใสเอ่ยขึ้นกับตัวเองหลังจากหยิบกางเกงสแลคของอีกคนออกมาจากตู้แล้วจับมันทาบกับเอวของตัวเองดูก่อนจะพบว่ามันค่อนข้างใหญ่กว่าตัวของเขาอยู่พอสมควร ไอ้เสื้อนักศึกษาก็ยังพอใส่ด้วยกันได้อยู่หรอกถึงจะใหญ่ไปหน่อยก็คิดซะว่ามันเป็แฟชั่นแต่กับก็กางเกงคือไม่ได้จริงๆถ้าฝืนใส่ไปเดินสองก้าวก็คงจะร่วงลงไปกองที่ตีนแล้ว ร่างบางจึงตัดสินใจแขวนกางเกงไว้ที่เดิมแล้วหยิบเพียงแค่เสื้อออกมาจากตู้เท่านั้นก่อนจะเดินกลับไปหยิบกางเกงยีนของตัวเองขึ้นมาใส่
อัลฟ่าหนุ่มเ้าของกลิ่นฝนยืนเช็กความเรียบร้อยของตัวเองอยู่ที่หน้ากระจก ดวงตากลมเหลือบไปเห็นขวดน้ำหอมหลายขวดที่ตั้งอยู่มือเรียวจึงถือวิสาสะหยิบขวดน้ำหอมที่ถูกวางเรียงไว้ขึ้นมาหนึ่งขวดฉีดพรมละอองน้ำที่เป็หัวเชื้อของความหอมลงบนจุดชีพจรต่างๆก่อนจะวางลงที่เดิม เมื่อมั่นใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วร่างบางจึงเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนเตียงขึ้นมาจับมันยัดใส่ลงไปในกระเป๋ากางเกงด้านหลังก่อนจะเดินไปยังโต๊ะเขียนหนังสือที่ถูกจัดวางไว้มุมหนึ่งภายในห้อง
ร่างบางของนักศึกษาคณะศิลปกรรมศาสตร์เดินไปหยุดยืนอยู่ข้างโซฟาตัวยาวที่ใครบางคนกำลังนอนหลับสนิทไม่รู้เื่รู้ราวอยู่ สบายเลยนะมึงแทนอดแซะอีกฝ่ายในใจไม่ได้ กระดาษโพสต์อิทที่เขียนข้อความบางอย่างเอาไว้ถูกแปะลงบนหน้าผากกว้างของคนที่ยังนอนหลับตาอยู่อย่างหมั่นไส้ ก่อนที่ร่างบางจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป
“มันมาทันจริงว่ะ” บาสเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาั้แ่คำนำหน้ายังเป็เด็กชายเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าแทนกำลังเดินเข้ามาใกล้โต๊ะใต้ตึกคณะที่พวกเขานั่งอยู่
“กูนี่คิดสคริปต์ไปคุยกับอาจารย์แล้วนะเนี่ย” สกาวฟ้าเพื่อนสาวสุดเท่ในกลุ่มเอ่ยขึ้นมาบ้าง
“ก็บอกแล้วว่ามาทัน” แทนตอบพร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงด้านข้างทิมมี่อัลฟ่าอีกคนในกลุ่ม
“แต่ไม่เตรียมเหี้ยอะไรมาทั้งนั้น แม้แต่สคริปต์” ขิมเอ่ยขึ้นพร้อมกับโบกสคริปของตัวเองไปมาในอากาศ
“มันอยู่ในนี้หมดแล้วเว้ย” แทนบอกก่อนจะยกนิ้วชี้เรียวขึ้นมาเคาะลงบริเวณขมับของตัวเอง
“เก่งเหลือเกินนะพ่อ งั้นเวลาอาจารย์ถามอะไรมึงก็เป็คนเสนอหน้าตอบแล้วกัน”
“กูก็จำได้แค่ส่วนของกูมั้ยอะเจส” เสียงใสเอ่ยตอบก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแก้วกาแฟที่วางอยู่ตรงหน้าของบาสขึ้นมาดูดโดยไม่ได้เอ่ยขอเ้าของก่อนแม้แต่คำเดียว
“ทานโทษนะคะ” เจสที่พึ่งหันมาตั้งใจมองแทนอย่างจริงจังพูดขึ้น ก่อนจะใช้ปากกาที่ถืออยู่ในมือแหวกคอปกเสื้อที่อัลฟ่าหนุ่มใส่อยู่ออกทำให้เห็นร่องรอยที่ถูกทิ้งเอาไว้บนผิวเนื้อขาวชัดเจนมากขึ้น “ไปฟัดกับหมามาหรอคะ มันถึงได้ขย้ำคอมึงซะเละขนาดนี้เนี่ย”
“อือ ไปฟัดกับหมามา” แทนตอบกลับไปด้วยใบหน้าเรียบเฉยเหมือนเื่ที่เขาพูดนั้นเป็เื่ปกติธรรมดาทั่วไปในหัวก็พลางคิดถึงใบหน้าของหมาตัวใหญ่ที่เป็เ้าของรอยพวกนี้ไปด้วย
“ใครวะ เผ็ดร้อนอะไรเบอร์นั้น” ขิมหญิงสาวคนเดียวในกลุ่มถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“พวกมึงไม่รู้จักหรอก อย่าไปสนใจเลย”
“แล้วเมื่อคืนมึงหายไปไหนวะ ไลน์ไปแม่งก็ไม่ตอบ” คราวนี้เป็ทิมมี่ที่นั่งเงียบมาตลอดเอ่ยถามขึ้นบ้าง
“ก็ไปสนุกต่อตามปกติของกูแหละ” แทนเอ่ยตอบอย่างปัดๆ
“แล้วเมื่อคืนไอ้ปลื้มมันเดินมาต่อยมึงทำไม”
“มึงรู้จักมันด้วยหรอ” ร่างบางเลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจเมื่อได้ยินอีกคนถามออกมาแบบนั้น
“ฟ้ามันรู้จัก พอหายชุลมุนพวกกูก็นั่งคุยกันที่โต๊ะต่อแต่หามึงไม่เจอแล้ว”
“แล้วเมื่อคืนพ่อลงจริงป่ะ”
“ลงเหี้ยไรล่ะ เ้าของร้านเขาแค่ขู่ให้พวกเรากลัวเฉยๆ แต่คนอื่นแม่งตื่นตูมไปด้วยไงเลยวุ่นวายกันไปใหญ่” บาสบอก
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเื่ค่ะนังทัวร์ดี ตกลงปลื้มเขาเดินมาต่อยมึงทำไมเอ่ย”
“แค่เข้าใจผิดกันนิดหน่อย”
“นิดหน่อยเื่...”
“...”
“แทน” ยังไม่ทันที่ปรรณกรจะได้เอ่ยตอบอะไรเพื่อนกลับไปเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเรียกความสนใจจากคนทั้งโต๊ะไปเสียก่อน “ขอคุยด้วยหน่อยได้มั้ย”
“ได้สิ เดี๋ยวกูมานะ” อัลฟ่าเอ่ยตอบรับคำของคนตัวเล็กอย่างง่ายดาย ก่อนจะหันไปบอกกับเพื่อนตัวเอง แล้วลุกขึ้นเดินตามหลังคนตัวเล็กออกไป
“เรนมีอะไรจะคุยกับแทนหรอ” พอเห็นว่าคนตรงหน้าหยุดเดินในจุดที่ปลอดคนและดูจะมีความเป็ส่วนตัวในระดับหนึ่งแทนก็เป็ฝ่ายเอ่ยถามขึ้น
ร่างเล็กที่ถูกถามแบบนั้นก็ค่อยๆหันตัวมาหาอีกคนอย่างช้าๆ ใบหน้าน่ารักเอาแต่หลุบตาลงมองเท้าของตัวเองเหมือนกำลังหวาดกลัว ท่าทีที่ดูประหม่าของคนตรงหน้าเริ่มทำให้แทนรู้สึกใจไม่ดีขึ้นมาเล็กน้อย
“เราต้องขอโทษแทนปลื้มด้วยนะ” คนตัวเล็กเอ่ยออกมาก่อนจะค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองอีกคนด้วยใบหน้ารู้สึกผิด “เื่เมื่อคืน” โอเมก้าหนุ่มเอ่ยบอกออกมาเสียงเบาพร้อมกับนิ้วชี้เรียวที่ถูกยกขึ้นมาชี้ที่แก้มของตัวเอง จากภาษากายที่อีกฝ่ายสื่อสารออกมาก็พอจะทำให้แทนรับรู้ได้ว่าเรนนั้นกำลังพูดถึงเื่อะไร
“...”
“ปลื้มเขาคงทำไปเพราะหึง”
“ก็พอจะเข้าใจได้” แทนตอบพร้อมกับเสตาไปมองทางอื่น
“ถึงเราจะเลิกกันแล้วแต่ปลื้มก็ยังรักเรามากอยู่ดี” คนตัวเล็กเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียที่อ้อมแอ้ม “เลยทำเื่แบบนั้นลงไป”
“อือ ช่างมันเถอะ”
“แล้วแทนเป็อะไรมากมั้ย ยังเจ็บมากอยู่หรือเปล่า” โอเมก้าตัวน้อยเอ่ยถามขึ้นมาด้วยสีหน้าที่แสดงความเป็ห่วงออกมาชัดเจนพร้อมกับมือเรียวที่ทาบลงมาบนแก้มเนียนของคนที่ตัวสูงกว่า
“ไม่ได้เจ็บแล้ว” แทนตอบก่อนจะยกมือขึ้นมากุมทับฝ่ามือขาวที่แนบอยู่บนแก้มของตัวเอง
“ดีจัง” คนตัวเล็กเอ่ยบอกออกมาด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มจางๆ
เรนค่อยๆผละมือออกมาจากใบหน้าของแทนโดยที่ร่างบางเองก็ไม่ได้ฝืนที่จะกุมมือของอีกฝ่ายไว้แต่อย่างใด เขารู้ตัวดีว่าเขามีสิทธิ์แค่ไหนและมันคงจะไม่มีวันมากขึ้นด้วย
“เรารู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไรที่เห็นปลื้มทำกับแทนแบบนั้น แต่เราก็เข้าใจปลื้มเราเลยไม่อยากให้แทนโกรธปลื้ม เรารู้ว่าปลื้มคงไม่มาขอโทษแทนหรอกเราเลยมาทำมันแทน”
“...” ก็จริงเผลอๆตื่นมาแม่งก็ลืมหมดแล้วมั้งว่าเคยทำอะไรไว้บ้าง
“ไม่ต้องคิดมากหรอก แทนเข้าใจ”
“ขอบคุณนะ วันนี้แทนฉีดน้ำหอมมาด้วยหรอกลิ่นเหมือนที่เราซื้อให้ปลื้มเป็ของขวัญวันเกิดเลย” คนตัวเล็กเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าใสซื่อ “ปลื้มเคยบอกเราว่าชอบกลิ่นนี้มาก”
“...”
“แทนกับปลื้มนี่ชอบอะไรเหมือนกันเลยอะ บังเอิญจัง”
“...”
“ถ้าเป็เพื่อนกันคงจะสนิทกันมากแน่ๆเลยเราว่า”
“...” ร่างบางไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ปากอิ่มทำเพียงแค่ยกยิ้มจางๆส่งกลับไปให้คนตรงหน้า มันเป็รอยยิ้มที่เหมือนรอยยิ้มธรรมดาทั่วไปแต่แท้จริงแล้วมันกลับแฝงเอาไว้ความรู้สึกสมเพช...ทั้งสมเพชตัวเอง
“ปวดหัวสัด” เสียงทุ้มของอัลฟ่าหนุ่มที่นอนอยู่บนโซฟานุ่มเอ่ยขึ้น คิ้วคมเข้มเป็ทรงรับกับโครงหน้าขมวดเข้าหากันถ่ายทอดความทรมานผ่านสีหน้าพึ่งตื่นนอนออกมาจนหมด ก่อนเปลือกตาหนาจะพยายามฝืนเปิดขึ้นแล้วก็ต้องหรี่ลงอีกครั้งเนื่องจากม่านตายังไม่สามารถปรับให้ชินกับแสงที่สว่างจ้าได้
ลำคอแกร่งรู้สึกแห้งพรากเหมือนคนที่ขาดน้ำมาเป็สิบปีความกระหายที่เกิดขึ้นทำให้เขาตัดสินใจที่จะลืมตาขึ้นเพื่อไปหยิบน้ำมาดับความกระหาย แต่เมื่อดวงตาคมทั้งสองข้างลืมขึ้นมาอย่างเต็มตาสิ่งแรกที่เขาควรจะเห็นก็คือเพดานห้องที่ว่างเปล่าแต่มันกลับไม่ใช่ เขาเห็นเหมือนแผ่นกระดาษอะไรบางอย่างบังดาของเขาเอาไว้อยู่
มือหนาถูกเ้าของมันยกขึ้นมาหยิบกระดาษโพสต์อิทที่ถูกแปะเอาไว้กลางหน้าผากออก ก่อนจะจับมันพลิกเพื่ออ่านข้อความที่ถูกเขียนเอาไว้
“098745xxxx กูยืมเสื้อมึงใส่ไปเรียนก่อน อย่าลืมซักเสื้อกูที่มึงอ้วกใส่คืนให้ด้วย” เสียงทุ้มแหบพร่าของคนที่พึ่งตื่นนอนขยับเอื้อนเอ่ยออกมาตามข้อความที่ถูกใครบางคนเขียนทิ้งเอาไว้ “ใครวะ” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอีกรอบก่อนที่ในหัวจะเริ่มทำการประมวลผลกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน และจุดโฟกัสก็ไม่ได้อยู่ที่เื่ราวที่เกิดขึ้นหลังจากที่เขาและใครอีกคนเข้ามาเหยียบในห้องพักแห่งนี้แต่เป็ตอนที่...
“กูไปนั่งร้องไห้ข้างทางต่อหน้าคนแปลกหน้าเนี่ยนะ โถ่ไอ้เหี้ยปลื้มซาภาพ” ผมที่ตกลงปรกใบหน้าถูกเสยขึ้นอย่างลวกๆ ร่างสูงโอดครวญกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองนั้นคอแห้งและ้าดื่มน้ำมากๆ จึงตัดสินใจเดินไปหยิบขวดน้ำจากในตู้เย็นออกมาดื่มเพื่อดับความกระหายที่เกิดขึ้น
มือหนาปาดหยดน้ำที่ไหลล้นออกมาเปื้อนริมฝีปากด้านนอกออกแต่ก็ยังมีบางส่วนที่ไหลย้อยไปตามลำคอหนาผ่านกระเดือกทรงสวยลงไปบนแผ่นอกกว้างๆ นั้น ก่อนใบหน้าหล่อจะสะบัดไปมาเพื่อไล่อาการแฮงค์ให้ออกไปจากหัวของเขาแต่ก็เหมือนว่าจะไม่ได้ผล ใบหน้าหล่อก้มลงมองกระดาษโพสต์อิทที่หยิบติดมือมาก่อนจะขย้ำมันแล้วโยนทิ้งลงไปในถังขยะอย่างไม่นึกสนใจมันอีก
“สงสัยต้องหาอะไรร้อนๆมาเรียกสติสักหน่อย” คิดได้แบบนั้นร่างสูงก็หันไปกดน้ำร้อนใส่แก้วเซรามิกที่มักจะใช้มันชงชาดื่มในตอนเช้าเป็ประจำ หยิบเอาซองชาขึ้นมาฉีกด้วยปากแล้วหย่อนลงในแก้วก่อนจะถือแก้วจิบน้ำชาร้อนๆไประหว่างทางที่เดินไปยังห้องนอน ไอ้คนคนนี้มันสุดจริงๆปล่อยเ้าของห้องนอนตายอยู่ที่โซฟาข้างนอกส่วนตัวเองก็เขามานอนหลับสบายบนเตียงของคนอื่นแถมตื่นมาก็ไม่แม้แต่จะเก็บเตียงนอนให้เรียบร้อยด้วยซ้ำ ปลายเท้ายาวเขี่ยไปยังกองเสื้อที่อยู่บนพื้นเหมือนรังเกียจแต่สุดท้ายก็ต้องยอมก้มลงไปหยิบมันขึ้นมาแล้วโยนใส่ตะกร้าผ้าเพราะอย่างไรเสียมันก็เป็อ้วกของเขา เขาก็ควรที่จะต้องรับผิดชอบถูกแล้ว ไว้ส่งร้านซักรีดเรียบร้อยแล้วค่อยติดต่อให้เ้าของมันมาเอาคืนไปก็แล้วกัน มือหนาวางแก้วน้ำชาลงบนโต๊ะก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ
“ไอ้พีค” เมื่อปลายสายกดรับเสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้นทันทีทั้งที่อีกฝั่งหนี่งยังไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาด้วยซ้ำ “เอาเสื้อนักศึกษาไปเผื่อกูตัวหนึ่ง”
(Why?)
“กูไม่มีเสื้อใส่” ร่างสูงที่ยืนเปลือยท่อนบนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าเอ่ยออกมาอย่างเซ็งๆ เสื้อนักศึกษาตัวสุดท้ายในตู้ที่ร้านซักรีดมาส่งเอาไว้ถูกโจรขโมยไปใส่แล้ว
(เสื้อมึงหายไปไหนหมด)
“มีโจรขโมยไปแล้ว”
(จริงป่ะเนี่ย แล้วมึงแจ้งนิติคอนโดยังไม่ดิแจ้งตำรวจเลยเสื้อผ้าก็ถือเป็ทรัพย์สินนะมึง เชี่ยแม่งบุกขึ้นไปขโมยถึงในห้องมึงเลยหรอวะ มันเป็ใครวะกูอยากรู้เลยไอ้เหี้ย กูว่าย้ายออกมั้ยไม่ปลอดภัยแล้วนะ)
“ใจเย็น แค่มีคนยืมไปใส่” ปลื้มรีบเบรกเพื่อนของตัวเองเอาไว้พร้อมกับหยิบเสื้อยืดสีดำพื้นๆออกมาใส่แก้ขัดไปก่อนค่อยไปเปลี่ยนเป็เสื้อนักศึกษาที่มหาลัยเอา
(Who?)
“...”
(หรือเป็คนเมื่อคืนที่ไอ้เก่งบอก ดีสัดเลยนะ)
“ดีเหี้ยอะไร” แล้วเพื่อนเขามันรู้เื่เมื่อคืนได้ยังไง “พวกมึงไปรู้อะไรมา”
(แหมทำมาเป็นะเพื่อนนะ ไอ้เก่งมันเล่าให้กูฟังหมดละ เจอกันในคาบนะกูจะซักมึงให้หมดเลย)
“ไอ้เก่งมันรู้ได้ไง”
(ก็เมื่อคืนมันโทรหามึง มึงจำไม่ได้หรือไง)
“...” เมื่อคืนเพื่อนเขาโทรมาด้วยหรอให้ตายเถอะ ไม่รู้แม่งเข้าใจผิดกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
(ตกลงใครวะ มึงกระซิบกับกูก็ได้นะสัญญาจะรักษาความลับมึงเป็อย่างดี)
“เจอกันที่คณะ อย่าลืมเสื้อ”
(ไอ้สะ...)
ติ๊ด
ปลายสายยังไม่ทันจะได้เอ่ยออกมาจบประโยคมือหนาก็ชิงกดตัดสายทิ้งเสียก่อน ปลื้มเดินไปฉีดน้ำหอมกลิ่นโปรดจากขวดที่คุณแม่สุดที่รักของเขาเป็คนซื้อมาฝากจากประเทศฝรั่งเศสตอนที่บินไปเป็เพื่อนพ่อเขาทำงานที่นั่นตามความเคยชินโดยไม่ทันสังเกตเลยด้วยซ้ำว่าก่อนที่เขาจะหยิบมันขึ้นมาขวดมันวางอยู่ต่างไปจากตำแหน่งที่เคยวางเอาไว้เป็ประจำ ก่อนจะคว้าทุกอย่างที่จำเป็ยัดใส่กระเป๋าหนังสะพายข้างใบโปรดแล้วจึงเดินออกไปจากห้อง
“คนเยอะจังวะ จะมีโต๊ะว่างให้พวกเรานั่งมั้ยเนี่ย” สกาวฟ้าหญิงสาวสุดห้าวแตะมือลงบนไหล่แกร่งของบาสที่ยืนอยู่เยื้องไปด้านหน้าของเขาก่อนจะเขย่งปลายเท้าขึ้นกวาดสายตามองไปรอบๆบริเวณโรงอาหารของคณะรัฐศาสตร์ที่หนาแน่นไปด้วยผู้คนจำนวนมาก
“โต๊ะนั้นว่าง” ทิ่มมี่บอกก่อนจะรีบเดินนำไปยังโต๊ะตัวที่ว่างอยู่
“รีบเชียวนะอิผัว” เจสซิก้าเอ่ยออกมาอย่างจีบปากจีบคอ “สงสัยกลัวจะไม่ได้กินที่นี่มั้ง”
“เออเจสเมื่อคืนมึงเห็นหน้าของคนที่ไอ้ทิมชอบป่ะ” แทนที่กำลังเดินตามหลังกลุ่มเพื่อนไปถามขึ้นมาด้วยความสนใจ เพราะเหตุผลที่ทำให้นักศึกษาคณะศิลปกรรมศาสตร์ทั้งหกชีวิตถ่อร่างมากินข้าวไกลถึงคณะรัฐศาสตร์ที่อยู่กันคนละฝั่งของมหาวิทยาลัยนั่นก็คือไอ้เพื่อนตัวดีที่ชื่อทิมมี่ และอีกเหตุผลก็เพราะรอยฝ่ามือบนใบหน้าของเขา
หลังจากที่พวกเขานำเสนองานเสร็จเป็ที่เรียบร้อยและได้รับคำชมมาจากอาจารย์จนหน้าบานกันทั้งกลุ่ม มันก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นนั่นก็คือรถไฟสองขบวนของเขาเกิดแล่นมาชนกันและคนที่รองรับอารมณ์ก็ไม่ใช่ใครอื่นไกลคือตัวเขาเอง แต่อันที่จริงแทนก็แอบเซ็งอยู่เหมือนกันทั้งที่บอกไปั้แ่แรกแล้วว่าจะไม่มีการสานสัมพันธ์ต่อเื่เมื่อคืนก็ให้จบที่เมื่อคืนแต่สุดท้ายก็ยังมีคนที่พาคิดกันไปเองแล้วก็มาลงไม้ลงมือที่เขาแบบนี้โคตรจะเซ็ง
“ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ตอนนั้นกูมัวแต่ช็อกอยู่ที่เห็นมึงโดนต่อย”
“เสียดายว่ะอยากรู้เลยว่าจะน่ารักแค่ไหนเพื่อนกูถึงได้ดั้นด้นพาตัวเองมาหาถึงที่”
ปกติแล้วทิมมี่จะเป็คนที่ไม่ค่อยอะไรกับใครเท่าไรที่สุดในกลุ่มเวลามีคนเข้าหาหรือเข้ามาจีบก็มักจะขอให้เจสช่วยกันซีนออกไปให้จนเพื่อนชอบแซวว่าแม่งเป็ผัวเมียกันตอนแรกก็บอกปัดทั้งคู่แต่หลังๆมาเจสมันเหมือนจะเริ่มรำคาญที่มีคนแซวมีคนถามเื่ของพวกมันสองคนบ่อยๆเลยสถาปนาตัวเองเป็เมียไอ้ทิมมี่อย่างเป็ทางการโดยที่ไม่ได้ถามความสมัครใจของอีกฝ่ายเลยสักนิด
“น่ารักแค่ไหนมึงก็ห้ามยุ่ง” เสียงทุ้มรีบเอ่ยดักไว้ทันทีไว้ใจไม่ค่อยได้หรอกไอ้เพื่อนคนนี้
“รู้น่าว่าของเพื่อน”
“ก็ดี” เอ่ยตอบออกไปโดยที่สายตาไม่ได้มองเพื่อนของตัวเองด้วยซ้ำเอาแต่มองไปรอบๆเพื่อมองหาใครบางคนแทน ใครบางคนที่ปากดีทั้งที่ตัวเล็กนิดเดียวและมีกลิ่นหอมที่เป็เอกลักษณ์จนเขาอยากที่จะได้ดอมดมมันอีกสักครั้ง
“แล้วเมื่อเช้ามึงไปคุยอะไรกับเรน บอกจะเล่าก็ไม่ยอมเล่าสักที” ขิมถามขึ้นพร้อมกับหรี่ตามองแทนอย่างจับผิด “หรือถ่านไฟเก่ามันร้อน”
“กูก็อยากให้ร้อนอยู่นะ”
“เพราะแบบนี้หรือเปล่ามึงเลยโดนปลื้มต่อย เพราะไปยุ่งกับเมียเขา” ขิมถามขึ้นจี้อีก
“เมียเมออะไร เขาเลิกกันแล้ว กูบอกแล้วไงเมื่อคืนก็แค่เื่เข้าใจผิดกันเฉยๆมันเมาด้วยไม่มีอะไรหรอก”
สาเหตุที่ปลื้มหึงหวงเขากับเรนนั้นแทนเองก็ไม่รู้แน่ชัดว่าเพราะอะไร แต่คิดเอาเองว่าน่าจะเพราะตอนนั้นปลื้มกำลังเมาพอเห็นเรนเดินเข้ามาคุยกับเขาก็คงจะคิดว่าเขาเป็คนใหม่ของเรนถึงได้ไม่พอใจจนหน้ามืดตามัวลุกขึ้นมาต่อยเขาเสียจนหน้าหันแบบนั้น
“ถ้าเลิกกันแล้วเขาจะเดินมาต่อยมึงทำไม หรือเขาจับได้ว่ามึงไปยุ่งกับแฟนเขาตอนที่ยังคบกันอยู่” คราวนี้เป็บาสที่ถามขึ้นมาบ้าง เขาน่ะรู้จักแทนดีเพราะคบกันมานานและเขาก็รู้ด้วยว่าแทนรู้สึกอย่างไงกับผู้ชายตัวเล็กที่ชื่อว่าเรน ที่จริงก็ไม่ใช่แค่บาสหรอกที่รู้คนในกลุ่มก็รู้กันทั้งนั้นแหละ
“กูไม่ทำแบบนั้นหรอก”
“ให้มันจริง เบาได้เบานะมึงเื่ยุ่งกับคนมีเ้าของอะเดี๋ยวจะได้แดกส้นตีนผัวเขาเข้าสักวันนะคะ”
“บางคนกูก็ไม่รู้มั้ยล่ะว่าเขามีแฟนอยู่แล้ว ส่วนใหญ่คนที่เข้ามาหากูเขาก็บอกว่าตัวเองโสดทั้งนั้น”
“มึงก็ควรเช็กหน่อยมั้ย ไม่ใช่คลำแล้วไม่มีหางก็เอาหมด” เจสสิก้าสวนขึ้นมาทันทีที่แทนเอ่ยจบ
“แรงอยู่น้า” ฟ้าเอ่ยขึ้นมาเมื่อเขารู้สึกว่าคำพูดที่เจสเลือกใช้พูดกับแทนนั้นค่อนข้างที่จะรุนแรงอยู่พอสมควร ก่อนจะแอบส่งเท้าไปสะกิดที่หน้าแข้งของอีกคนเบาๆ
“ขอโทษค่ะ พอดีอินไปหน่อย” เจสเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองใช้คำพูดไม่น่ารักกับอีกฝ่ายก็รีบเอ่ยขอโทษเพื่อนออกไปทันที “ซอรี่น้า” พร้อมกับทำท่าทางกะพริบตาปริบๆส่งไปให้กับแทน
“แต่ก็จริงของเจสมันนะ จะเอาใครก็เช็กให้มันดีๆหน่อยถึงจะแค่วันไนท์ก็เถอะ” ขิมบอก
“ครับแม่ จากนี้ไปผมจะถามเขาว่ามีผัวหรือยังก่อนเอาทุกครั้งครับ”
“เป็กวนส้นตีนนะ พวกกูเตือนด้วยความหวังดี”
“เออรู้ จากนี้จะระวังให้มากขึ้น โอเค๊”
“ทำให้ได้อย่างปากพูดด้วยค่ะ”
“เออ ไม่คุยกับพวกมึงละไปเข้าห้องน้ำดีกว่า” แทนบอกก่อนจะลุกยืนขึ้น “ฝากซื้อข้าวด้วยนะไอ้บาสเอาเหมือนมึงเลย” ร่างบางหันไปพูดกับเพื่อนสนิทที่จริงก็ไม่ได้อยากจะกินตามมันหรอกแต่ในหัวไม่รู้จริงๆว่าจะกินอะไร ไอ้ปัญหาโลกแตกอย่างวันนี้จะกินอะไรดีนี่แม่งโคตรจะจริง
เมื่อเอ่ยจบขาเรียวก็ก้าวเดินออกมาจากโต๊ะที่มีพวกเพื่อนนั่งอยู่ทันที ใบหน้าสวยปนหล่อหันมองไปรอบๆเพื่อมองหาทางไปห้องน้ำก่อนจะพบเข้ากับป้ายบอกทางที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลมากนัก เขาจึงเดินไปตามทิศทางที่ป้ายบอก ระหว่างทางก็เดินสวนไปกับผู้คนมากมายจนไม่ทันได้สังเกตว่าตอนนี้มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินตามหลังตนเองมาอยู่
Rrrrr
หลังจากที่ทำธุระส่วนตัวเสร็จและกำลังยืนล้างมือเสียงของโทรศัพท์ที่ถูกยัดไว้ในกระเป๋าหลังั้แ่เมื่อเช้าก็เกิดดังขึ้นมา ร่างบางสะบัดมือตัวเองที่เปียกน้ำอย่างลวกๆ แปะๆมันไปตามกางเกงเพื่อให้แห้งเร็วขึ้นก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาเตรียมจะกดรับพอเห็นเป็เบอร์แปลกเขาก็ชั่งใจอยู่ แต่พอนึกขึ้นมาได้ว่าอาจจะเป็ปลื้มที่โทรเข้ามาเขาจึงตัดสินใจกดรับไป
“ฮัลโหล”
(น้องแทน) ไม่ใช่ปลื้ม...แล้วแทนก็ไม่รู้ด้วยว่าเป็ใคร
“นั่นใครครับ”
(อะไรกันยังไม่ถึงอาทิตย์เลยลืมพี่แล้วหรอ) ปลายสายเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน้อยอกน้อยใจ
“ขอโทษนะครับแต่ผมไม่ทราบจริงๆ”
(พี่จิ๊บไง)
“...” ฉิบหายละ จิ๊บไหนวะ
(ที่ทองหล่อคืนนั้น น้องแทนจำได้มั้ยคะ)
“อ๋อครับ” เหมือนจะได้มั้ง “พี่มีอะไรหรือเปล่าครับ”
(คือพอดีคืนนั้นเพื่อนของแฟนพี่เขาเห็นเราเข้าไปในโรงแรมด้วยกัน)
“ครับ แล้วยังไงต่อ”
(พอแฟนพี่รู้เขาก็ไม่พอใจมาก)
“...”
(แล้วเขาก็บอกว่า)
“มึงใช่มั้ยที่ไปยุ่งกับแฟนกู” เสียงทุ้มต่ำฟังดูไม่คุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่เดินเข้ามายืนซ้อนหลังแทนเอาไว้จากที่เห็นเงาสะท้อนในกระจกแทนนับได้ประมาณห้าคน
ผลัวะ!
ยังไม่ทันที่ร่างบางจะได้เอ่ยอะไรออกไปไหล่ขอเขาก็ถูกกระชากอย่างแรงให้หันไปเผชิญหน้ากับคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง แล้วหมัดหนักๆก็ซัดมาที่ใบหน้าของเขาอย่างที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก่อนจะถูกเท้าของใครสักคนหนึ่งถีบเข้าที่ท้องจนตัวงอ
“นี่คือโทษของการที่มึงไปยุ่งกับเมียชาวบ้าน”