เซี่ยโม่สั่งให้ระบบจัดเก็บส่งลูกเกาลัดที่ตกอยู่บนพื้นเข้าไปในโกดังสินค้าทั้งหมด ทั้งยังเก็บกิ่งไม้ที่ร่วงอยู่บนพื้นไปด้วย
เธอเดินต่อไปข้างหน้าอย่างอาลัยอาวรณ์ ทันใดนั้นพลันได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากต้นไม้เตี้ยๆ ข้างหน้า
ดวงตาเพ่งมองอย่างระมัดระวัง ก่อนจะพบว่าตรงต้นไม้เตี้ยข้างหน้ามีไก่ป่าประมาณห้าหกตัว ไม่รู้ว่าพวกมันกำลังเปิดประชุมหรือกำลังเล่นกันอยู่
เห็นแบบนี้แล้วอดหวั่นไหวไม่ได้ เธอคิดคำว่า ‘เก็บ’ ในใจ ไก่ป่าสองตัวที่เคยอยู่ตรงต้นไม้เบื้องหน้าพลันหายไป
เซี่ยโม่นึกภาพตัวเองเข้าไปดูในโกดังสินค้า ไก่ป่าสองตัวยืนนิ่งอยู่ในนั้นด้วยสีหน้างุนงง
เธอยิ้มอย่างยินดีพลางเดินเข้าไปใกล้ๆ แถวนั้นยังมีไก่ป่าอีกสี่ห้าตัว พอไก่เ่าั้ััได้ว่ามีผู้บุกรุก สองในสี่ตัวรีบบินหนีไปอย่างว่องไว สองตัวที่เหลือปฏิกิริยาเชื่องช้าบินหนีไม่ทัน จึงถูกเธอใช้ระบบจัดเก็บส่งเข้าไปอยู่ในโกดังสินค้า
เธอยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ได้ไก่มาตั้งสี่ตัว โชคดีสุดๆ ไปเลย
โบราณกล่าวไว้ว่า คนเราต้องรู้จักเพียงพอถึงจะมีความสุข ตอนนี้เธอมีความสุขมากจริงๆ
เหลียวมองไปรอบๆ ไม่มีสัตว์ตัวอื่นอยู่อีก นั่นแปลว่าแถวนี้ไม่ใช่รังของมัน เช่นนั้นก็อย่าหวังเลยว่าจะได้เจอไข่
เซี่ยโม่ทำท่าขบคิด เมื่อสักครู่ตอนเก็บกิ่งไม้ เธอสังเกตเห็นว่าระยะขอบเขตในการเก็บคือห้าตารางเมตร ขณะที่ขอบเขตในการเก็บสิ่งมีชีวิตคือสองตารางเมตร
หากเป้าหมายในการเก็บเป็สิ่งของคนละประเภทกัน ระยะขอบเขตในการเก็บก็แตกต่างกันด้วยงั้นหรือ?
ไม่รู้ว่าระบบจัดเก็บของโกดังสินค้าจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ไหม เธอเคยอ่านในหนังสือซึ่งเขียนเอาไว้ว่า การอัปเกรดระบบได้คือต้องใช้งานให้บ่อย
เช่นนั้นเธอคงต้องใช้ให้บ่อยขึ้น หวังว่าต่อไปมันจะสร้างความประหลาดใจได้ยิ่งกว่านี้
เวลาล่วงเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว ครั้นเห็นว่าบ่ายคล้อยแล้วจึงขี่จักรยานกลับบ้าน
ต้องนำฟืนกับไก่ไปเก็บที่บ้านให้เรียบร้อย
ถ้ารอจนถึงเวลาที่รับเฉินเฟิงกลับมา ป่านนั้นผู้ใหญ่ทั้งสามคงกลับมาถึงบ้านแล้ว และเธอก็จะไม่สามารถเอาฟืนกับไก่ออกมาจากโกดังสินค้าได้
ไปถึงบ้าน เธอเอาฟืนชุดใหม่ไปวางกองรวมกับฟืนเดิมที่มี เห็นไม่มีใครอยู่พอดีเลยเข้าไปในโกดังสินค้าเพื่อจะมัดไก่พวกนั้น
ไม่รู้เพราะเหตุใด ไก่พวกนั้นถึงได้ว่าง่ายอย่างยิ่ง หลังจากมัดเสร็จเรียบร้อยก็นำพวกมันไปไว้ในห้องครัว
หากคุณยายกลับมาแล้วเห็นไก่พวกนี้ ท่านจะต้องเอาพวกมันไปจัดการแน่นอน
ทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เซี่ยโม่จึงขี่จักรยานไปรับน้องชายที่โรงเรียน ขณะใกล้จะถึงประตูโรงเรียน ใครคนหนึ่งกลับเข้ามาขวางหน้ารถไว้
เธอจำได้ในทันทีว่าคือเซี่ยอวิ๋น
อีกฝ่ายผ่ายผอมลงไปไม่น้อย สีหน้าก็ดูไม่ดี เสื้อที่สวมยับย่น บริเวณกางเกงมีวงสีเหลืองด่างอยู่หลายแห่ง
ไม่ต้องบอกก็รู้ คนี้เีและทำอะไรไม่เป็แบบอีกฝ่าย เมื่อต้องมาดูแลเด็กอายุแค่สองเดือนจึงไม่ใช่เื่ง่าย
นี่เพิ่งจะผ่านไปแค่เดือนเดียว ยังเหลือเวลาอีกสองเดือนกว่าหวางลี่ลี่จะออกมา ไม่รู้ว่าพอถึงตอนนั้น สภาพของอีกฝ่ายจะเป็อย่างไร
ไม่กี่วันก่อนเธอได้ยินว่าบิดาของเธอถูกส่งตัวไปทำงานในค่ายแรงงานเป็เวลาหกเดือนเพื่อปรับปรุงตัว
ไม่รู้เหมือนกันว่าไปถึงที่นั่นแล้วบิดาของเธอจะได้เจอหวางลี่ลี่หรือไม่ หากได้เจอหน้ากันทั้งสองคนจะรู้สึกอย่างไร
จะกอดคอกันร้องไห้หรือไม่
ไม่ทราบเลยว่าชาตินี้เซี่ยเฉินซีจะมีชีวิตรอดหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรเื่พวกนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอ
เซี่ยโม่สลัดเื่พวกนี้ทิ้งไป ขี่จักรยานอ้อมตัวเซี่ยอวิ๋น เพื่อตรงไปยังโรงเรียนประถม
เมื่อครู่นี้เธอเห็นอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็เห็นเธอเช่นกัน
ต่างคนต่างจ้องมองกันด้วยแววตาโกรธแค้น
เซี่ยอวิ๋นมองเซี่ยโม่ที่สวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านใหม่เอี่ยม อีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยเลยทีเดียว ตัวไม่เพียงสูงขึ้น ทั้งยังดูมีเนื้อมีหนังขึ้นด้วย
เดิมทีอีกฝ่ายก็มีหน้าตาสะสวยอยู่แล้ว พอมีน้ำมีนวล หน้าตามีเืฝาด ก็ยิ่งดูมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก
ทั้งยังขี่รถจักรยานก็ยิ่งเป็จุดเด่น
เห็นแล้วรู้สึกอิจฉาริษยานัก เธอวิ่งตามไปเพื่อจะขโมยจักรยาน
เซี่ยอวิ๋นจำได้อย่างชัดเจนว่า ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายเอาเงินของบ้านเธอไปสองร้อยหยวน เงินนั้นควรเป็ของเธอแท้ๆ แต่เซี่ยโม่กลับเอาไปซื้อจักรยานคันนี้
เซี่ยโม่รับรู้ได้ว่าท่าทางของเซี่ยอวิ๋นดูผิดวิสัย จึงรีบปั่นจักรยานให้เร็วขึ้น
เธอไม่เคยกลัวที่จะต้องทะเลาะกับอีกฝ่าย กลัวแต่ทางนั้นจะลอบเล่นงานตอนลงจากรถจักรยาน
เซี่ยอวิ๋นนึกว่าอีกฝ่ายกำลังกลัวเธอ มุมปากยกขึ้นเป็รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมขณะเร่งฝีเท้าวิ่งตามไปให้เร็วขึ้น
เวลานี้โรงเรียนประถมเลิกเรียนแล้ว เด็กนักเรียนต่างทยอยกลับบ้านกันไปเกือบหมด
แถวบริเวณหน้าโรงเรียนเหลือแค่สือโถวน้อย เซี่ยเฉินเฟิง โฉ่วหวา กับเด็กอีกไม่กี่คนเท่านั้น
ทุกวันโฉ่วหวาจะรอให้สือโถวกับเฉินเฟิงกลับไปก่อนแล้วถึงค่อยกลับบ้าน ด้วยเหตุนี้เด็กชายเลยยังอยู่ที่โรงเรียน
สือโถวเป็คนแรกที่สังเกตเห็นว่าเซี่ยโม่กำลังขี่จักรยานตรงมาด้วยความเร็ว โดยที่ด้านหลังมีเด็กสาวคนหนึ่งในชุดสกปรกมอมแมมวิ่งตามมา
“ดูสิ มีคนกำลังวิ่งตามพี่…” เด็กชายร้องบอกเพื่อน
เซี่ยเฉินเฟิงมองตามมือของสือโถวที่ชี้ไป ก่อนจะเห็นว่าเซี่ยอวิ๋นกำลังวิ่งไล่ตามพี่สาวของเขาที่กำลังขี่จักรยานราวกับคนบ้า
แม้อายุเขาเพิ่งห้าขวบ แต่ที่บ้านเกิดเื่อะไรขึ้นบ้าง เขารู้เห็นทั้งหมด
เซี่ยเฉินเฟิงะโออกมาทันที “ผู้หญิงไม่ดีคนนั้นกำลังไล่ตามพี่ฉัน ทุกคนรีบไปช่วยเร็ว!”
เด็กทั้งสามรวมถึงเพื่อนนักเรียนที่ค่อนข้างสนิทสนมกับเด็กทั้งสามรีบวิ่งเข้าไปช่วยเหลือเซี่ยโม่โดยพลัน
เซี่ยอวิ๋นมัวแต่พุ่งความสนใจไปที่เซี่ยโม่ จึงไม่ได้สังเกตเห็นเด็กนักเรียนทั้งหลายที่กำลังวิ่งเข้ามาล้อมเธอ
หรือให้พูดตามตรงก็คือ ความสนใจของเซี่ยอวิ๋นไปอยู่ที่รถจักรยานหมด
เพราะนั่นคือเงินสองร้อยหยวนของเธอ
พอถูกเด็กๆ ล้อมเอาไว้ เธอะโเสียงดังด้วยความไม่พอใจ “ถอยออกไปเดี๋ยวนี้!”
เด็กๆ ทั้งหลายทำหน้าตาขึงขัง “คิดจะขโมยจักรยานใช่ไหม หน้าไม่อายเลย”
เซี่ยอวิ๋นตาโต เด็กๆ พวกนี้รู้ความคิดเธอได้อย่างไร กระทั่งเห็นว่าด้านหลังของเด็กๆ เหล่านี้คือเซี่ยเฉินเฟิง เธอก็เข้าใจเื่ราวทั้งหมดทันที
ในความทรงจำของเธอ เซี่ยเฉินเฟิงก็แค่เด็กโง่งมคนหนึ่ง อีกฝ่ายไม่เคยมีตัวตนในสายตาเธอด้วยซ้ำ แต่พอวันนี้เห็นเ้าเด็กนั่นสะพายกระเป๋านักเรียน นึกไม่ถึงเลยว่าตอนนี้อีกฝ่ายจะเข้าเรียนได้แล้ว
เธอด่าทอโดยไม่สนอะไร แม้อีกฝ่ายจะเป็แค่เด็กคนหนึ่ง “ไอ้เด็กไม่รักดี ถอยออกไปเดี๋ยวนี้”
เนื่องจากสือโถวน้อยกับโฉ่วหวาอยู่ใกล้ที่สุด จึงได้กลิ่นเหม็นที่ลอยออกมาจากตัวเซี่ยอวิ๋น
“ผู้หญิงคนนี้ตัวเหม็นเหลือเกิน ไปตกโถส้วมมาหรือยังไง” โฉ่วหวาเบ้หน้าพลางเอ่ยออกมา
เด็กๆ ที่เหลือสีหน้าเหยเก พร้อมกับปัดไม้ปัดมือแถวๆ จมูก “อี๋ สกปรกชะมัด”
เซี่ยโม่ลงจากรถจักรยานแล้วมายืนข้างเด็กๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเ็า “เซี่ยอวิ๋น เธอคิดจะขโมยจักรยานใช่ไหม งั้นก็เอาไปสิ”
เซี่ยอวิ๋นชะงักไปครู่หนึ่ง “เซี่ยโม่ เมื่อกี้เธอขี่จักรยานหนีฉันแทบเป็แทบตาย ตอนนี้ทำไมถึงทำมาเป็ใจกว้าง”
“เธอจะเอาจักรยานไปก็ได้ แต่ฉันจะไปแจ้งความว่าเธอขโมยจักรยานของฉันไป ถ้าอยากถูกตำรวจจับนักก็เอาไปสิ” เซี่ยโม่พูดตอบเสียงเรียบ
เซี่ยอวิ๋นมีสีหน้าโกรธแค้นขึ้นมาทันใด อีกฝ่ายคิดจะขุดหลุมเล่นงานเธองั้นหรือ “เธอนี่มันต่ำช้าจริงๆ!”
“ฉันต่ำช้างั้นเหรอ เธอมากกว่ามั้ง พอถูกฉันพูดเปิดโปงก็มาหาว่าฉันต่ำช้า ที่เธอวิ่งไล่ตามฉันมาไม่ใช่เพื่อจะขโมยจักรยานหรอกเหรอ”
“ฉัน…” ครั้นถูกจี้ใจดำเซี่ยอวิ๋นก็พูดอะไรไม่ออก
เซี่ยโม่มองอีกฝ่ายอย่างเย้ยหยัน ก่อนจะเหน็บแนมไปหนึ่งประโยค “คนโง่แบบเธอคิดจะทำเื่ไม่ดีแต่กลับไม่กล้าพอ พอถูกฉันเปิดโปงกลับไม่ยอมรับ”
พอถูกดูถูก เซี่ยอวิ๋นทั้งรู้สึกไม่ยินยอมและคับแค้นใจ ในสายตาเธอ อีกฝ่ายก็แค่คนรับใช้ของเธอกับแม่ มีสิทธิ์อะไรถึงมีชีวิตที่ดีกว่าเธอ