นี่มันน่าประหลาด เสิ่นม่านจอดเกวียน จากนั้นจ้องมองเขาจริงจัง
“เื่สามีของข้าเกี่ยวอะไรกับเ้า? ข้ารักนวลสงวนตัวเพื่อใคร ไยเ้าต้องกังวล?”
“…” ใครบางคนไม่พูดจา คว้าแส้จากมือนางไปบังคับเอง
เสิ่นม่านเองก็ไม่รู้ว่าไฉนจึงมาคุยกับเขาเื่นี้ได้ สำคัญคือนางเองก็ไม่รู้ว่าสามีของตนคือผู้ใดและอยู่แห่งหนใด?
นางกัดหญ้าหางจิ้งจอกเขียวจนมันหมดรสชาติ จากนั้นอยู่ๆ หนิงโม่ก็ส่งเสียงฮึ่ม
“เ้าอย่าคิดมาก ข้าแค่เป็ห่วงว่าเ้าจะหาพ่อเลี้ยงมาให้ต้าเป่าในภายภาคหน้า เ้าเป็แม่คนแล้ว ก่อนจะทำอะไรก็คิดถึงลูกให้มาก อย่าเอาแต่เอะอะก็บอกว่าอยากโอบกอดชายหนุ่มไม่ซ้ำ ความคิดตื้นเขินนัก”
นางคิดมากไปหรือ? เสิ่นม่านยิ้ม ไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจนางกลับรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
นางพยักหน้าและหยอกล้อเขา “ตกลง ข้ารู้แล้ว ครั้งหน้าไม่ล้อเล่นกับเ้าแล้ว เ้าจะได้ไม่ต้องหน้าแดงเหมือนตูดลิงเช่นนี้”
หากเปลี่ยนเป็สมัยก่อน หนิงโม่คงโต้ตอบนางไปแล้ว
แต่วันนี้เขาไม่ได้ทำ เพราะว่าบนทางหลวงด้านหน้ามีผู้ลี้ภัยเจ็ดสิบถึงแปดสิบคน มีทั้งคนที่หอบลูกมาด้วยและมาขอเสบียงอาหารกับนาง แต่ละคนผอมจนหน้าซูบ ดูแล้วเหมือนขาดสารอาหารอย่างรุนแรง
เสิ่นม่านกับหนิงโม่เพิ่งมาถึง ก็ถูกคนกลุ่มนี้ล้อมวงขอเสบียงอาหาร แต่บนเกวียนเช่นนี้จะไปมีเสบียงอาหารได้อย่างไร?
เสิ่นม่านอธิบายอย่างหน่ายใจ ผู้ลี้ภัยเ่าั้ได้แต่ถอดใจและเดินสวนไปคนละทิศทางกับพวกนาง
หลังออกห่างจากกลุ่มคน เสิ่นม่านจึงถาม “ภัยแล้งแดนเหนือรุนแรงมากหรือ? เหตุใดจึงมีคนลี้ภัยมาทางเหยี่ยนโจวมากเพียงนี้?”
“อืม”
ในที่สุดหนิงโม่ก็ส่งเสียง “ได้ยินว่าแดนเหนือมีภัยแล้งติดต่อกันมาสี่เดือน น้ำในฝายเก็บน้ำแห้งไปกว่าครึ่ง พืชผลที่เพาะปลูกในไร่นาไม่มีผลเก็บเกี่ยว ตอนนี้ใกล้่ปีใหม่ ราชสำนึกใกล้จะเริ่มการเกณฑ์แรงงานอีกครั้ง”
พูดถึงตรงนี้ เขาชะงักเล็กน้อย
“การเก็บภาษีหนักหน่วงเกินไป มีคนไม่น้อยจึงลี้ภัยจากถิ่นฐานบ้านเกิดเพื่อตั้งรกรากที่แดนใต้ ระหว่างทางมีคนอดตายและหนาวตายไม่น้อย แต่จำนวนผู้ลี้ภัยก็ยังมีมาก เ้าเมืองละแวกนี้เมื่อได้รับข่าวก็ขับไล่ผู้ลี้ภัยออกจากพื้นที่ของตน มีเพียงเ้าเมืองเหยี่ยนโจวที่มีคำสั่งให้รับผู้ลี้ภัยเข้าเมือง ดังนั้นเดาว่าต่อไปเหยี่ยนโจวคงจะกลายเป็สถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้ลี้ภัยมากที่สุด”
เสิ่นม่านหัวใจบีบเกร็งและเอ่ยถามปัญหาที่น่าเป็ห่วงที่สุด
“ผู้ลี้ภัยมากเช่นนี้ คงไม่เกิดความโกลาหลในเหยี่ยนโจวหรอกนะ? โดยเฉพาะในตำบลของเรา”
เด็กๆ ยังอยู่ที่ตำบล
หนิงโม่มองดูนางอย่างล้ำลึก “มีผู้ลี้ภัย ย่อมมีความโกลาหล แต่นายอำเภอจางหงอี้ถือว่าพึ่งพาได้ ไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไร”
เสิ่นม่าน “หรือว่าเ้าลืมเื่พี่น้องตระกูลเฉียน? ตอนนี้สองคนนี้กำลังหลบหนี เ้าเรียกว่าพึ่งพาได้หรือ?”
หนิงโม่ “…”
หลังจากพูดไม่ออก เสิ่นม่านลุกขึ้นตัวตรงและเริ่มวางแผนให้ตนเองอย่างจริงจัง “อืม พูดไปพูดมา การมีชีวิตในโลกที่วุ่นวายก็ยากมากพอแล้ว ข้าต้องรีบหาที่เก็บเงินให้ดี จะได้ไม่ถูกใครหมายปอง”
หนิงโม่ใบหน้าหมดอารมณ์ “สมองของเ้ามีเพียงเื่เงินหรือ?”
เสิ่นม่านตอบอย่างจริงจัง “แน่นอน เงินไม่สามารถซื้อได้ทุกอย่าง แต่ไม่มีเงินก็ทำอะไรไม่ได้! ข้าไม่เก็บเงิน ต่อไปเด็กๆ จะเล่าเรียนอย่างไร จะใช้ชีวิตอย่างไร? จะให้ข้าพาพวกเขาไปเป็ขอทานหรือ!”
คำกล่าวนี้… ไม่ผิดเลย
ระหว่างที่เสวนากันตลอดทาง ่ใกล้เที่ยง ในที่สุดก็มาถึงตำบลเหมยฮัวที่อยู่ข้างกัน
ตำบลเหมยฮัวกว้างใหญ่กว่าตำบลซวงเยี่ยนที่เสิ่นม่านอาศัยอยู่มากนัก แล้วก็มีโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่หกถึงเจ็ดร้าน สองร้านในนั้นเป็ของจางหงเหวิน
ตลอดทางที่เดินไป สามารถพบเห็นผู้ลี้ภัยได้ทั่วทุกหนแห่ง ระหว่างทางไปร้านเสบียงธัญญาหารก็พบเจอสิบกว่าคน เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งและะโขอทานด้วยสำเนียงต่างถิ่น
เมื่อไปถึงร้าน เสิ่นม่านซื้อถั่วเหลืองห้าร้อยชั่งกับเถ้าแก่ด้วยราคาชั่งละสามอีแปะ เถ้าแก่ยิ้มแก้มแทบปริ อีกทั้งแสดงท่าทีใจถึงว่า หากครั้งหน้าจะเหมาส่งให้ด้วย ไม่ว่าจะไกลเพียงใดก็ส่งให้
นี่นับว่าดีมาก เสิ่นม่านตอบรับอย่างไม่ลังเล
ทั้งสองออกจากร้านเสบียงธัญญาหารด้วยใบหน้าชื่นมื่นและเดินเข้าไปกินข้าวในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
แม้ว่าแดนเหนือจะเกิดภัยแล้ง แต่แดนใต้กลับไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด ดังนั้นอาหารที่ควรมีก็ยังมีปกติ เสิ่นม่านนั่งเกวียนมาครึ่งค่อนวัน แน่นอนว่าไม่มีทางตระหนี่ในเื่ปากท้อง นางสั่งอาหารไปหลายอย่าง สองจานในนั้นคืออาหารที่ทำจากเต้าหู้
ระหว่างที่รอกับข้าว ทั้งสองได้ยินโต๊ะข้างๆ ถกกันเื่ภัยแล้ง แล้วยังมีเื่การจัดการผู้ลี้ภัยด้านนอก
เสิ่นม่านนิ่งเงียบตั้งใจฟัง
รอจนอาหารมาครบ เสิ่นม่านเรียกเสี่ยวเอ้อร์มาถาม “ในร้านมีอาหารเหลือขายหรือไม่?”
เสี่ยวเอ้อร์ตะลึงเล็กน้อย แล้วตอบ “มีขอรับ ในโรงครัวด้านหลังมีหมั่นโถวไม่กี่ซึ้งเหลืออยู่ แล้วก็อาหารที่เมื่อวานขายไม่ออก ลูกค้า้าหรือขอรับ?”
เสิ่นม่านโบกมือและพินิจ จากนั้นควักเงินสองตำลึงให้เสี่ยวเอ้อร์
“ของเหล่านี้ข้ารับไว้หมด รบกวนเ้าช่วยขนไปไว้บนเกวียนที่ขนถั่วเหลืองตรงโรงจอดเกวียนด้วย และเก็บส่วนหนึ่งไว้ในร้านพวกเ้าเพื่อแบ่งให้ผู้ลี้ภัย”
เมื่อมีคนช่วยแก้ปัญหาเื่อาหารเหลือ แล้วยังให้เงินเพื่อทำความดี เื่ดีๆ เช่นนี้มีหรือจะไม่ตกลง?
เสี่ยวเอ้อร์รีบยัดเงินไว้ในอกและยิ้มแย้ม “ขอรับ! ดูไม่ออกจริงๆ แม่นางหน้าตาเช่นนี้ แต่จิตใจกลับเมตตายิ่ง!”
เสิ่นม่าน “!”
ย่าเ้าสิ ทำความดีต้องถูกถากถางเื่รูปโฉมด้วยหรือ?
เสี่ยวเอ้อร์เดินจากไป หนิงโม่กลั้นขำพลางถามนาง
“เื่อะไรต้องใช้เงินจ้างคนให้ช่วยด้วย? ของเ่าั้ เ้านำไปบริจาคให้ผู้ลี้ภัยเองไม่ดีกว่าหรือ?”
เสิ่นม่านคีบเต้าหู้ทอดหอมกรุ่นใส่ปากหนึ่งชิ้น มันร้อนลวกลิ้นจนต้องส่ายหน้า
อืม เต้าหู้คือเต้าหู้ดี ส่วนฝีมือการปรุงไม่ได้หนึ่งในสิบของนาง ยังคุมอุณหภูมิของไฟได้ไม่ดี จนไหม้เล็กน้อย
นางกินไปพึมพำไป “เ้าจะไปเข้าใจอะไร? ข้าขนเสบียงธัญญาหารเต็มลำรถกลับไป ระหว่างทางยังแจกจ่ายอาหารให้พวกเขา เกิดผู้ลี้ภัยหน้ามืดตามัวมาปล้นเราสองคนจะทำอย่างไร? ข้าให้เสี่ยวเอ้อร์ทำเื่เหล่านี้ เพราะเมื่อผู้ลี้ภัยอิ่มท้องก็จะไม่เกิดความคิดชั่วร้าย และเหลือทางรอดให้เราสองคนบ้างอย่างไรเล่า?”
สิ่งที่นางคาดเดาไม่ได้ไร้เหตุผล หนิงโม่เองก็คีบอาหารเข้าปาก แวบแรกถึงกับต้องขมวดคิ้ว
เสิ่นม่านมองเขาด้วยใบหน้าทะเล้น “เป็อย่างไร? ไม่อร่อยหรือ?”
อีกฝ่ายกลับเพียงแค่เคี้ยวอย่างละเอียดอยู่สิบกว่าครั้งและกลืนเต้าหู้ลงไป ครั้งนี้ เขาไม่ได้อาเจียน
“กลืนยาก รสชาติเทียบไม่ได้กับหนึ่งในร้อยของเ้า”
เมื่อได้รับการยืนยันจากเ้าหมอนี่ เสิ่นม่านถึงกับยิ้มหน้าระรื่น
“แน่อยู่แล้ว เ้าคิดว่าสมญานามแม่ครัวชั้นเลิศของข้าได้มาจากที่ใด? เพียงแต่โรคเลือกกินของเ้ายังต้องปรับสักหน่อย มิฉะนั้นต่อไปเวลาข้าไม่อยู่ข้างกายเ้า เ้าจะกินลมแทนข้าวหรือ?”
หนิงโม่ใจไม่อยู่กับตัว “เ้าจะไปไหนได้? แต่งงานหรือ? หรือว่าหลังจากแต่งงานก็จะไม่ยอมรับญาติผู้พี่อย่างข้าแล้ว?”
เสิ่นม่านโพล่งออกมาอย่างไม่ต้องคิด “แน่นอน! ต่อไปหากข้าแต่งงานไป เ้าจะไม่ได้กินอาหารที่ข้าทำอีก!”
หนิงโม่: เช่นนั้นข้าก็จะแต่งกับเ้าเอง!
-----
