กวงิฟิล์มส่งช่องทางการติดต่อผู้จัดการของฉินซีมาให้ทางโทรศัพท์ ฉินซีคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะทำงานกันรวดเร็วขนาดนี้ เขาจำชื่อ เบอร์โทร รวมทั้งช่องทางการติดต่อของพวกผู้จัดการเอาไว้
ผู้จัดการคนนี้ชื่อว่า หยางจื้อ จบจากมหาวิทยาลัยสื่อมวลชน ทำงานอยู่ในกวงิฟิล์มมานานหลายปี ก่อนจะกลายเป็ผู้จัดการ ฉินซีไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ดูเหมือนว่าในอนาคตก็จะไม่ได้เป็ผู้จัดการที่มีชื่อเสียงอะไรมากนัก ฉินซีเข้าใจดี การที่เขาเข้าไปในกวงิฟิล์ม เดิมทีก็เป็เพียงคนหน้าใหม่ไร้รากฐาน ตอนนี้ยังไม่มีแม้แต่ผลงาน ทางนั้นก็ต้องจัดหาผู้จัดการ ‘มือใหม่’ เหมือนกันมาให้เขา
ฉินซีไม่ได้นึกบ่นเลยแม้แต่น้อย เขาเพิ่มช่องทางการติดต่อของอีกฝ่าย หลังจากนั้นก็โทรศัพท์เข้าไปด้วย แต่น่าเสียดายที่หยางจื้อไม่ได้รับโทรศัพท์ของเขา บางทีอาจจะกำลังยุ่งอยู่กับการจัดการนักแสดงในการรับผิดชอบคนอื่นอยู่ ฉินซีจึงไม่ได้โทรเข้าไปอีก เขาเพียงส่งข้อความไปทักทายอีกฝ่ายเท่านั้น
หลังจากนั้นฉินซีก็ทานข้าวไปด้วยความสบายใจ
ตอนที่เขาอยู่โรงพยาบาล เขาไม่ได้ทานอาหารดีๆ นัก ส่วนมากก็มีแต่อาหารจืดๆ ยิ่งทานอยู่นานวันเข้าก็ยิ่งเบื่อ
ฉินซีหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาก่อนจะเดินออกจากบ้าน และนำความรู้สึกแย่ๆ ที่บ้านฉินออกไปโยนทิ้งข้างนอก
เขาไม่ได้โง่เขลาอย่างชาติก่อน ที่อยากจะเอาชนะใจพวกคนโง่นั่น ตอนนี้เขาคิดได้แล้ว เขาเชื่อว่าตัวเองจะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็จะเป็ฝ่ายดูถูกคนพวกนั้นแทน แล้วทำไมเขาจะต้องไปโมโหหรือเสียใจกับเื่ไร้ความหมายแบบนั้นด้วย?
เมื่อฉินซีสั่งอาหารและเพิ่งจะได้นั่งลงในร้านที่มีความเป็ส่วนตัวค่อนข้างสูงร้านหนึ่ง โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น
ฉินซีเลิกคิ้วขึ้นก่อนกดรับสาย
หากเป็โทรศัพท์สายอื่นเขาก็คงเมินไปได้ ทว่าโทรศัพท์สายนี้เขาจำเป็ต้องรับ
“ท่านประธานเกา” เสียงพูดยิ้มๆ ของฉินซีถูกส่งไปหาอีกฝั่ง
คนที่โทรเข้ามาก็คือเกาจิ้ง
บางทีเกาจิ้งอาจจะจัดการเื่วุ่นวายใน่นี้ไปจนเกือบจะเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นน้ำเสียงของเขาจึงแฝงความภาคภูมิใจสุดประมาณ “เป็ยังไงบ้าง? ตอนกลางวันนี้ว่างหรือเปล่า? มาทานข้าวด้วยกันหน่อยไหม จะได้ขอบคุณเขาด้วย” ‘เขา’ คนที่ว่าหมายถึงคนที่ช่วยขุดเื่ขึ้นมา ทั้งยังติดต่อไปยังสายสื่อเพื่อเปิดโปงข่าวฉาวของเหลียนเหล่ยออกมา
โชคดีที่ฉินซีเป็คนที่เคยอยู่ในวงการบันเทิงมาก่อน จึงสงบนิ่งกว่าเกาจิ้งมาก เขาเผยยิ้มออกมาพร้อมพูดขึ้น “ท่านประธานเกา เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ผมเลี้ยงขอบคุณคุณก่อนเป็ไงครับ? พี่ชายที่เข้ามาช่วยเหลือคนนั้นยังเชิญมาตอนนี้ไม่ได้ ่นี้มันยังเป็กระแสอยู่”
ฉินซีพูดเพียงเท่านี้ เกาจิ้งก็เข้าใจกระจ่างแล้ว
เหลียนเหล่ยเกิดข่าวฉาวขนาดนี้ขึ้น เธอย่อมต้องสงสัยในตัวศัตรูของเธออยู่แล้ว และ่นี้คนที่ถูกเธอกระทำหนักที่สุดก็คือฉินซีไม่ใช่เหรอ? แม้ว่าเธอจะโง่ แต่หากเธอจ่ายเงินจ้างสำนักงานสืบข้อมูลก็ต้องเจอเบาะแสบางอย่างแน่ และเมื่อถึงตอนนั้น ถ้าฉินซีถูกโยงปัญหามาถึงตัวก็คงไม่ดีนัก
“แบบนั้นก็ได้ พวกเรามาทานข้าวด้วยกันก่อนก็แล้วกัน” เกาจิ้งตอบกลับไปอย่างสบายๆ จากนั้นก็วางโทรศัพท์และเดินทางมาหาฉินซี
เพียงไม่กี่นาที เกาจิ้งก็ขับรถเข้ามาถึงแล้ว ฉินซีทนหิวไม่ไหวจึงสั่งอาหารมาทานรองท้องก่อน ตอนที่เกาจิ้งเดินเข้าไป เขาก็กำลังขบเคี้ยวแผ่นวอลนัตอบแห้งอยู่ในปากอย่างมีมารยาท
“รอนานจนทนไม่ได้เลยใช่ไหม?” เกาจิ้งถามยิ้มๆ
“เปล่าครับ” ฉินซีส่ายหน้า
“ตอนที่ฉันกำลังมา ก็บังเอิญเห็นข่าวข่าวหนึ่งเข้า ฉันเดาว่านายคงยังไม่เห็น” เกาจิ้งยิ้มออกมาอย่างมีความสุขเมื่อได้เห็นความทุกข์ของคนอื่น
“ข่าวอะไรครับ?” ฉินซีปัดเศษขนมบนมือออก
เกาจิ้งนำโทรศัพท์ออกมาเปิดวิดีโอในเว็บไซต์ข่าวขึ้น ฉินซีโน้มตัวเข้าไปด้านหน้าเล็กน้อยเพื่อดูด้วย เห็นเพียงภาพสั่นไหว จากนั้นก็มีเสียงผู้รายงานข่าวสาวพูดขึ้น “ต่อไป นักข่าวของเขาได้เข้าไปสัมภาษณ์เหลียนเหล่ยที่สนามบิน มาดูกันค่ะว่า เหลียนเหล่ยจะพูดถึงเื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นว่าอย่างไร?”
ภาพทั้งหมดกลายเป็ภาพในตอนนั้น
กลุ่มคนมากมายแออัดกันอยู่ที่ทางเดินรักษาความปลอดภัย ฉินซียังไม่ทันได้ขยับเข้าไปมองให้ละเอียดนัก เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นจากในวิดีโอ จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงของผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ “เอามือสกปรกออกไป! อย่ามาโดนตัวฉัน! ถ้าทำชุดกระโปรงของฉันเลอะแล้วมีเงินชดใช้หรือเปล่า?”
มุมปากของฉินซียกขึ้นเป็รอยยิ้ม เขารู้ว่านี่เป็เสียงของใคร
นี่ไม่ใช่เหลียนเหล่ยหรืออย่างไร? เธอกลับมาจากต่างประเทศแล้วเหรอ? คิดไม่ถึงว่าเธอจะไร้ไหวพริบขนาดนี้ พอร้อนรนขึ้นมาภาพลักษณ์ใจกว้างสดใสก็แสร้งทำต่อไปไม่ได้แล้ว แผดเสียงดังขนาดนี้ น่าจะทำลายภาพลักษณ์ในใจของใครหลายคนไปไม่น้อย
“ระดับ EQ ของเหลียนเหล่ยนี่ต่ำจนติดลบเลยหรือยังไง? รอบตัวเต็มไปด้วยสื่อมากมายขนาดนั้น แต่เธอก็ยังไม่เกรงใจภาพลักษณ์ในสายตาคนสาธารณะเลยสักนิด ไม่รู้จะบอกว่าสมองมีปัญหาหรือมันคือนิสัยที่แท้จริงของเธอดี?” เกาจิ้งส่งเสียงจิ๊จ๊ะออกมา จากนั้นก็เอ่ยชมฉินซีขึ้น “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเธอถึงสู้นายไม่ได้”
“ท่านประธานเกาใช้คำพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะครับ ผมไม่เคยอยากจะสู้กับเธอเลย” สายตาของฉินซีกลายเป็เย็นเชียบ เหลียนเหล่ยเป็ฝ่ายหาเื่เขา เขาก็แค่ลงมือโต้กลับไปเท่านั้น
เกาจิ้งยิ้มออกมา “ฉันใช้คำไม่ถูกเองแหละ”
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน เหลียนเหล่ยในวิดีโอก็สร้างเื่ขึ้นมาอีก
ผู้จัดการข้างกายจับตัวเธอที่โมโหจนบ้าคลั่งเอาไว้ สีหน้าของเหลียนเหล่ยย่ำแย่มาก และพยายามจะเผยรอยยิ้มเพื่อกลบเกลื่อนความหุนหันเมื่อครู่
และในตอนนั้นเอง จู่ๆ ชายกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาขวางนักข่าวไว้ ก่อนจะพาตัวเหลียนเหล่ยไป “ขอโทษนะครับ รบกวนหลบไปด้วยครับ”
ใบหน้าของบรรดานักข่าวต่างก็เต็มไปด้วยความสงสัย “นี่มันอะไรกัน? บอดี้การ์ดของเหลียนเหล่ยเหรอ? นี่มันเล่นใหญ่เกินไปหรือเปล่า”
พวกเขาอยากจะไปขวางเหลียนเหล่ยเอาไว้ แต่ชายคนเ่าั้ก็ดูไม่เหมือนกับพวกอ่อนแอเลยสักนิด พนักงานของสนามบินเองก็เข้ามากันพวกเขาเอาไว้พร้อมทั้งพยายามพูดกล่อมบรรดาสื่อ “ขออภัยนะครับ ขออภัยด้วย รบกวนทุกคนเคารพกฎของสนามบินด้วยนะครับ อย่างไรคุณหนูเหลียนก็ไปแล้ว รบกวนไม่ขวางทางอยู่ตรงนี้นะครับ”
เมื่อฉินซีเห็นภาพนี้ เขาก็ค่อยๆ ขมวดคิ้ว
“ทำไมเหรอ? มีอะไรผิดปกติไปหรือเปล่า?” เกาจิ้งถามขึ้น
ฉินซีส่ายหน้าและไม่ได้พูดอะไร เขารู้สึกว่าชายประหลาดพวกนั้นดูคุ้นตาอยู่เล็กน้อย เมื่อครุ่นคิดอยู่สักพัก ชื่อหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาในสมอง
หลงเซิ่ง!
ฉินซีก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงคิดไปถึงเขาได้
ดูเหมือนว่ามันจะเป็การหยั่งรู้อย่างหนึ่ง?
ภาพที่แสดงต่อมาในวิดีโอ ไม่เพียงแต่ทำให้บรรดาสื่อมวลชนตื่นเต้น แต่ตัวฉินซีและเกาจิ้งที่เป็ผู้ชมเองก็ยังต้องะเิหัวเราะ
“พวกแกจะทำอะไร? ฉันไม่รู้จักกับพวกแกสักหน่อย!” จู่ๆ เหลียนเหล่ยที่ตอนแรกถูกชายเ่าั้คุ้มกันตัวเดินออกไปก็ส่งเสียงกรีดร้อง เธอพยายามสลัดตัวออกมาจากพวกเขาเพื่อวิ่งกลับมาด้วยสีหน้าตื่นใ
ในวงการบันเทิงมีเื่แบบนี้ให้เห็นอยู่ไม่น้อย ดาราที่ถูกตามทวงหนี้ก็จะดูน่าเกลียดแบบนี้แหละ!
เหล่าสื่อมวลชนต่างก็รับรู้ได้ถึงข่าวที่น่าตื่นใ พวกเขายกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปไม่หยุดราวกับอยากจะเก็บภาพเหลียนเหล่ยที่ตื่นใจนหน้าซีดและชายหน้าตา ‘ดุร้าย’ โดยรอบทั้งหมดเอาไว้ หลังจากนั้นก็ตั้งหัวข่าวให้สะดุดตาคน และอาศัยกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทำให้ยิ่งดุเดือด มันจะยอดเยี่ยมแค่ไหนกัน!
นักข่าวเ่าั้ต่างก็ราวกับเห็นภาพเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นมา...
เพราะว่าผู้คนอัดแน่น เดิมทีพนักงานสนามบินก็ไม่สามารถควบคุมความวุ่นวายเหล่านี้ได้ และชายเ่าั้เองก็ไม่ได้มีท่าทีจะปกป้องเหลียนเหล่ยเลยสักนิด
เหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว!
เมื่อรองเท้าส้นสูง 10 เิเของเหลียนเหล่ยไถลไป เธอก็ทรงตัวไม่อยู่
ผู้จัดการข้างกายตอบสนองไม่ทัน จึงทำได้เพียงเบิกตามองเหลียนเหล่ยกรีดร้อง ก่อนจะล้มลงข้างเท้าของนักข่าว ทำเอานักข่าวคนนั้นใสะดุ้งจนขยับถอยหลังไปทันที ผลก็คือเขาเหยียบเหลียนเหล่ยลงไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ รอยรองเท้าสีดำประทับลงบนหน้าผากของเหลียนเหล่ยทันที
เหลียนเหล่ยใจนกรีดร้องเสียงหลง เธอกำหมัดแน่น ไม่ว่าอย่างไรก็ลุกขึ้นไม่ไหว ผู้จัดการเข้าไปพยุงเธอขึ้นมาอย่างกระวนกระวาย พนักงานสนามบินใจนสติแทบกระเจิง พวกเขาร้องะโเสียงดัง “อย่าเบียดกันครับ เหลียนเหล่ยล้มลงไปแล้ว! อย่าเบียดกัน ระวังเหยียบกันด้วยครับ!”
ช่างเป็ความวุ่นวายที่เพิ่มสีสันให้กับวิดีโอนี้ไม่น้อย
การรายงานสดจบลงในที่สุด น้ำเสียงผู้ประกาศข่าวสาวก็ดังขึ้นอีกครั้ง “หลังจากที่เหลียนเหล่ยล้มลงไปก็ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล บางทีอาจจะเป็อย่างที่ว่า ‘เวรกรรมย่อมตามสนอง ไม่เคยละเว้นผู้ใด’ ก่อนหน้านี้เหลียนเหล่ยร้ายกาจใส่ฉินซีแบบนั้น ไม่เพียงแต่จงใจใส่ร้ายเขา แต่ยังทำร้ายฉินซีด้วยเจตนาร้ายอีก เมื่อเห็นเหลียนเหล่ยในตอนนี้แล้ว เสี่ยวยินก็บอกได้แค่ว่า อย่าได้ทำตามเธอเด็ดขาดเลยนะคะ อ้อ แล้วก็ขอฝากเอาไว้อีกประโยค ความจริงฉันเองก็เป็แฟนคลับของฉินซีนะคะ”
ผู้ประกาศข่าวขยิบตาอย่างมีเลศนัย
วิดีโอจบลง
เกาจิ้งปิดหน้าเว็บไซต์ไป จากนั้นก็ยิ้มตาหยีถามฉินซี “เป็ยังไง? เห็นเหลียนเหล่ยเป็แบบนี้แล้วสบายใจไหม?”
มุมปากของฉินซีเพียงยกโค้งขึ้นน้อยๆ “ผมเชื่อว่าเมื่อคนในวงการบันเทิงจำนวนไม่น้อยได้เห็นสภาพของเหลียนเหล่ยในตอนนี้ พวกเขาก็จะรู้สึกว่าหมอกควันบนท้องฟ้าในวันนี้กระจายหายไปหมดแล้ว”
เกาจิ้งอดยิ้มไม่ได้
เมื่อดูวิดีโอจบ เกาจิ้งก็รับเมนูอาหารมาสั่ง
และในตอนที่ทุกคนคิดว่าเหลียนเหล่ยถูกส่งไปโรงพยาบาล เธอกลับนั่งใบหน้าซีดเซียวด้วยความสับสนอยู่ภายในรถตู้สีดำราวกับพวกรถตู้ในละครที่มักจะแสดงอยู่บ่อยๆ มีคนขับรถมาคว้าตัวผู้หญิงหรือเด็กข้างทางไป จากนั้นก็พาพวกเขาไปขายอวัยวะหรือไม่ก็ลักพาตัวไปข่มขู่
เหลียนเหล่ยบีบมือด้วยความกังวล แม้เล็บจะแทงเข้าไปในฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บ เธอก็ไม่ได้สนใจ
ตอนแรกผู้จัดการของเธออยู่ด้วยกัน แต่เมื่อขับมาได้ครึ่งทาง พวกเขาก็จัดการโยนผู้จัดการของเธอลงจากรถ เหลียนเหล่ยจึงยิ่งไร้สติ ในหัวของเธอคิดถึงหนทางตายของตัวเองขึ้นมามากมาย
“ลงรถ” ชายคนหนึ่งพูดออกมาอย่างเยือกเย็น
เหลียนเหล่ยรีบร้อนมองออกไปนอกรถ ก่อนจะเห็นคฤหาสน์นอกเมืองหลังหนึ่ง เหลียนเหล่ยหดคอเข้ามา “พวกแกคิดจะทำอะไร?”
น้ำเสียงของชายคนนั้นยิ่งต่ำลง “คุณหลงเชิญมา”
เหลียนเหล่ยสั่นสะท้าน แต่กลับรู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่เสียยิ่งกว่าถูกลักพาตัว ที่หลงเซิ่งทำแบบนี้กับเธอต้องเป็เพราะ… เพราะรู้เื่พวกนั้นแล้วแน่ๆ… เธออยู่กับหลงเซิ่งมานาน ก็ย่อมรู้ดีว่าเขาเป็คนอย่างไร
เหลียนเหล่ยขบริมฝีปาก ใบหน้าที่เคยน่ารักงดงามกลายเป็ขาวซีด มองดูแล้วต่างทำให้คนรู้สึกสงสาร แต่น่าเสียดายที่ผู้ชายตรงหน้าไม่ใส่ใจในอารมณ์ใดๆ เขาลากตัวเธอลงจากรถด้วยมือข้างเดียวอย่างรำคาญใจ เหลียนเหล่ยทั้งกรีดร้องทั้งดิ้นรน แต่สุดท้ายเธอก็ทำได้เพียงดูตัวเองถูกลากเข้าไปในคฤหาสน์โดยที่ทำอะไรไม่ได้