มือทั้งสองของฉินซีค้ำอยู่ที่พื้น จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นมาด้วยท่าทางที่ถือว่ายังพอดูดีได้อยู่ เขาปัดฝุ่นบนร่างกายของตัวเองออกด้วยสีหน้าเขินอายเช่นเดิม ก่อนจะเผยยิ้มให้จางชิวลิ่ง “ขอโทษด้วยนะครับอาจารย์จาง พอเห็นคุณผมก็ตื่นเต้นเกินไปแล้ว” แน่นอนว่าฉินซีตื่นเต้นจริง แม้ว่าใบหน้าของเขาจะถูกปกคลุมไปด้วยความนิ่งเฉยหลังผ่านเื่น่าอายมา แต่ภายในใจของเขาก็ยังคงเต้นระรัว
จางชิวหลิงเจออะไรแบบนี้มาไม่น้อย แฟนคลับหลายคนของเขาก็ตื่นเต้นจนทำอะไรตลกๆ ออกมาเวลาเจอเขาบ่อยๆ ดังนั้นจางชิวลิ่งจึงไม่ได้รู้สึกอคติกับฉินซีเพราะเื่นี้ เขาพยักหน้าให้กับอีกฝ่าย “ไม่เป็ไร”
แต่พวกเขาก็ได้แค่เพียงทักทาย จางชิวลิ่งยุ่งมาก ผู้จัดการของเขารีบย้ำเตือนว่าหลังจากนี้ยังมีเื่ที่ต้องทำอีกมาก ดังนั้นจางชิวลิ่งจึงเผยยิ้มน้อยๆ ออกมา ก่อนจะเดินจากไป
หวังตันตบบ่าของฉินซีจากด้านหลัง “เห็นแล้วหรือยัง? ความจริงในอนาคตคุณก็สามารถเป็แบบเขาได้ สามารถเป็เทพบุตรของคนอื่นแบบนั้นได้เช่นกัน...” หวังตันพูดแฝงความนัยออกมา
ในตอนนั้นฉินซีถึงได้เข้าใจขึ้นมาว่า ทำไมอยู่ๆ หวังตันถึงพาตัวเองมาเจอกับนักแสดงที่ชอบ ที่แท้นี่ก็เป็วิธีปลุกใจคนหน้าใหม่ของหวังตันนั่นเอง
ต้องบอกว่าสำหรับคนหน้าใหม่ทั้งหลายแล้ว นี่ถือเป็การกระตุ้นใจที่ดีอย่างหนึ่ง ก็เหมือนกับการห้อยแครอทเอาไว้ข้างหน้าลา เมื่อทำแบบนั้นแล้ว ลาก็จะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าไม่หยุดหย่อน และสิ่งที่หวังตัน้าก็คือ คนหน้าใหม่ทุกคนที่เข้ามาในกวงิฟิล์มจะต้องตั้งใจทำงานให้กวงิฟิล์มเพื่อตำแหน่งและเกียรติยศในความฝันของพวกเขา ในขณะเดียวกันก็ทำรายได้ให้กับกวงิฟิล์มไปด้วย
เป็วิธีการที่ดีจริงๆ!
ฉินซีถอนหายใจออกมาในใจ บนใบหน้าของเขาแสดงสีหน้าตื่นเต้นกับอนาคตออกมาได้อย่างเข้ากัน “ครับ! ผมจะพยายามครับ!”
หวังตันพึงพอใจในท่าทางที่เขาแสดงออกมา สีหน้าของเธอจึงอ่อนโยนขึ้นไม่น้อย
หลังจากนั้นหวังตันก็เรียกผู้ช่วยเข้ามาพาฉินซีไปทำความเข้าใจกับสถานที่ในตึกกวงิฟิล์ม เพื่อให้เขารู้ว่าตรงไหนที่สามารถเข้าไปได้และไม่ได้ รอจนอธิบายทุกอย่างจนเรียบร้อย ผู้ช่วยก็บอกให้ฉินซีกลับไปรอการประกาศได้ ถึงตอนนั้นทางกวงิฟิล์มจะแจ้งกับเขาเองว่าอยู่ภายใต้การดูแลของผู้จัดการคนไหน และนั่นก็หมายความว่าเขาได้ก้าวเข้ามาในเส้นทางวงการบันเทิงอย่างแท้จริงแล้ว
การทัศนศึกษาหนึ่งวันในกวงิฟิล์มของฉินซีจึงจบลงสั้นๆ แบบนี้ ฉินซีกลับมานอนอยู่บนโซฟาที่บ้านได้ไม่ถึง 10 นาทีก็มีคนโทรศัพท์เข้ามาอีก ฉินซีรับโทรศัพท์ด้วยความไม่ยินดีนัก น้ำเสียงของเขาดูยืดยานจนเมื่อได้ยินแล้วก็ได้รู้สึกถึงความน่ารักน่าเอ็นดู
แต่น่าเสียดายที่คนอีกฝั่งของสายโทรศัพท์ไม่ได้อารมณ์ดีเลยแม้แต่น้อย
“ฉินซี กลับมาที่บ้านเดี๋ยวนี้” นั่นเป็เสียงของพ่อของฉินซีอย่างฉินหลี่หง เมื่อคิดไปถึงว่าตัวเองไม่ได้ไปทำงานที่บริษัทเกม ฉินซีก็รู้สึกละอายใจขึ้นมาเล็กน้อย เขารีบนั่งตัวตรงก่อนจะถามพ่อออกไป “พ่อ ทำไมต้องให้ผมรีบร้อนกลับไปด้วยล่ะครับ?”
“กลับมาเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงของฉินหลี่หงฟังดูหม่นหมอง นั่นทำเอาฉินซีใจนหัวใจเต้นไม่เป็ส่ำ หรือว่าคนที่บ้านจะเป็อะไรไป?
ฉินซีไม่ได้คิดอะไรให้มากความ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าตังค์ ก่อนจะเดินออกไปด้านนอก
ความจริงบ้านของฉินซีอยู่ในเมืองหนิงชื่อ แม้จะอยู่ในรอบนอก แต่ก็ไม่ได้ถือว่าไกลนัก เพียงแต่หลังจากที่เขาเรียนจบชั้นมัธยมปลาย เขาก็กลับบ้านไม่ค่อยบ่อยนัก แม่เลี้ยงของเขาไม่อยากให้เขาอยู่ที่บ้าน ทุกครั้งที่เขาใช้เงินของพ่อ แม่เลี้ยงของเขาก็จะอารมณ์เสีย และพูดจาเสียดสีว่าเขาี้เีตัวเป็ขน นึกว่าฉินซีคงต้องเกาะพ่อกินให้เขาเลี้ยงดูไปตลอด
ฉินซีี้เีจะรองรับอารมณ์ของผู้หญิงคนนั้น หลังๆ มาแม้จะปิดเทอม เขาก็จะกลับไปอยู่กับแม่อย่างเมิ่งหลิงแทน การที่พ่อมาดึงดันให้เขากลับบ้านแบบนี้ นี่ถือว่าน่าแปลก
ฉินซีนั่งรถมาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ ก่อนจะมาถึงทางเข้าบริเวณที่อยู่ของบ้านฉิน ภายในละแวกนั้นมีคนรู้จักเขาอยู่บ้าง รูปลักษณ์ของฉินซีมอบความประทับใจแก่ผู้คนได้ง่ายเกินไป
เหล่าคุณปู่คุณย่าต่างพากันทักทายเขาด้วยความกระตือรือร้น ทั้งยังถามว่าเขาปิดเทอมแล้วหรือเปล่า ฉินซีตอบกลับไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าไปในลิฟต์อย่างรวดเร็ว
เขาไม่มีกุญแจบ้านฉิน เมื่อเดินมาถึงด้านนอกประตูแล้ว ก็ทำได้เพียงเคาะประตู รอให้เ้าของบ้านมาเปิดราวกับคนนอก
เมื่อผ่านไปสักพัก ประตูก็ถูกเปิดออก ฉินซีเปลี่ยนรองเท้าเดินเข้าไป ฉินหลี่หงนั่งหน้าตามืดครึ้มอยู่ที่โซฟา แม่เลี้ยงของเขาอย่างสวีซินลี่หมุนตัวเดินออกมาจากห้องครัว เธอเบนสายตามองมาที่ตัวฉินซีอย่างเฉยชา ก่อนจะพูดขึ้นยิ้มๆ “อ้าว ดาราดังกลับมาแล้ว...”
เมื่อสวีซินลี่พูดแบบนี้ ในใจของฉินซีก็เข้าใจกระจ่างขึ้นมาทันที
ต้องเป็เพราะ่นี้เขาออกข่าวบ่อยเกินไป ดังนั้นฉินหลี่หงหรือสวีซินลี่ก็เลยไปพบเห็นเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจอย่างแน่นอน!
สีหน้าของฉินหลี่หงย่ำแย่ขึ้นไปอีก เขาพูดออกมาอย่างเยือกเย็น “จะยืนอยู่หน้าประตูทำไม? ยังไม่รีบเข้ามาอีก!”
ฉินซีเดินเข้าไปนั่งบนโซฟาด้วยสีหน้าราบเรียบ เมื่อฉินหลี่หงเห็นว่าเขาไม่ได้มีสีหน้าเกรงกลัวหรือรู้สึกผิดแม้แต่น้อย สีหน้าก็ยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าฉินซีไม่พูดอะไรสักคำ ความโกรธเคืองของฉินหลี่หงก็ยิ่งทะลักล้น เขาปารีโมตโทรทัศน์ในมือออกไป
สวีซินลี่รีบเข้ามาเก็บรีโมต จากนั้นก็ว่ากล่าวออกมา “ไอ๊หยา จะโมโหก็ไปลงกับคนสิ มาลงกับรีโมตให้ได้อะไรขึ้นมา? ถ้าทำพังแล้วจะคุ้มไหม” สวีซินลี่พูดทั้งมองไปยังฉินซีด้วยสายตาเย็นเยียบ
ฉินซีไม่แม้แต่จะมองไปที่เธอ เขารู้ว่าผู้หญิงคนนี้ถนัดพูดจากำกวม เสียดสี และใส่ความที่สุด นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยิน และเมื่อได้ยินบ่อยๆ แล้วก็ย่อมต้องคร้านจะโมโหไปเป็ธรรมดา
เมื่อคิดไปถึง่มัธยมปลายที่เขาต้องอาศัยอยู่ที่นี่อย่างช่วยไม่ได้ เขาก็ถูกพูดจาเสียดสีใส่มาไม่น้อย แถมบางทีสวีซินลี่ก็ยังหาเื่เขาต่อหน้าฉินหลี่หงด้วย ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เื่ที่พบเห็นได้ยากสักเท่าไร
ฉินหลี่หงเงยหน้ามองฉินซี สายตาของเขาแหลมคมราวกับมีดที่้าสับคนให้แหลกละเอียด แต่น่าเสียดายที่ฉินซีไม่ใช่ฉินซีที่เพิ่งจะอายุ 20 ปีต้นๆ แล้ว เขามีประสบการณ์มาถึบ 2 ชาติ ดังนั้นเดิมทีเขาจึงไม่ได้ใส่ใจกับการกดดันของฉินหลี่หง หากเป็เมื่อก่อน บางทีเขาคงอึดอัดจนหายใจไม่ออกไปแล้ว แต่ตอนนี้เขากลับไม่ได้รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย
“ทำไมถึงไม่ไปบริษัทเกม? ฉันอุตส่าห์จัดการให้แกหมดแล้ว! ทำไมถึงไม่ไป?” ฉินหลี่หงพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
ฉินซีอธิบายกลับไปเรียบๆ “ผมไปมาแล้ว แต่ว่าตอนนี้แผนการในอนาคตของบริษัทนั้นไม่ดีนัก ผมไปทำอยู่หลายวัน พอรู้สึกว่าไม่เข้ากับผมก็เลยลาออกมาครับ”
ฉินหลี่หงยังไม่ทันได้พูดอะไร สวีซินลี่ก็ยิ้มออกมาก่อน “ไอ๊หยา เสี่ยวฉินนี่ช่างเลือกจริงๆ แต่ว่านี่เป็งานที่พ่อหามาให้นะ ต่อให้เธอไม่ชอบ อย่างน้อยก็ควรมาบอกพ่อเสียหน่อยสิ แต่ว่าฉันว่านะ เสี่ยวฉิน เธอลองดูคนอื่นบ้าง อย่างลูกชายของผู้หญิงอ้วนชั้นบนนี้ พอเขาเข้ามหาวิทยาลัย นอกจากตอนปีหนึ่งแล้ว ก็ไปทำงานพิเศษ ขอทุนการศึกษาตลอด จนตอนนี้ไม่ต้องมาขอเงินพ่อกับแม่เลยสักนิด เสี่ยวฉิน ก่อนหน้านี้ที่เธอไม่ทำงานพิเศษก็ไม่เป็ไร ยังไงพ่อเธอก็บอกว่าเธอควรจะตั้งใจเรียน แต่ตอนนี้ถึงเวลาฝึกงานแล้ว แม้แต่ฝึกงานเธอก็ยังไม่ไป แถมยังหนีไป...” สวีซินลี่หยุดพูดไปกะทันหัน จากนั้นก็แสร้งถอนหายใจด้วยสีหน้าเป็กังวล
เกรงว่าคนที่ไม่รู้อะไรก็คงคิดว่าเธอเพียงไม่พอใจแทนฉินหลี่หง และหน่ายใจในความไม่รู้จักโตของฉินซี
ฉินซีเหยียดยิ้มในใจ แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงโต้แย้งอะไรสวีซินลี่
ผู้หญิงคนนี้ไม่ควรค่าแก่การสนทนาด้วย เขารู้สึกว่าการพูดคุยกับเธอเพียงหนึ่งประโยคก็น่าขยะแขยงใจมากเกินไปแล้ว
ไฟโทสะของฉินหลี่หงถูกจุดประกาย ยิ่งสวีซินลี่พูด เขาก็ยิ่งหงุดหงิด และยิ่งรู้สึกว่าฉินซีไม่ได้เข้าใจความลำบากของคนเป็พ่ออย่างเขาเลยสักนิด ในตอนนั้นเขาจึงยกมือขึ้นตบหน้าของลูกชายด้วยความเกรี้ยวกราด “ถ้าแบบนั้นแกบอกกับฉันมาชัดๆ ไม่ไปเรียน ไม่ไปฝึกงาน แถมยังไปเป็ดาราอะไรนั่นจนมีข่าวฉาวออกมามากมาย นี่เหมาะกับแกแล้วเหรอ?”
ฉินซีคิดไม่ถึงว่าอยู่ๆ ฉินหลี่หงจะลงไม้ลงมือจึงไม่ทันได้หลบ เขาถูกตบลงไปจังๆ ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาชาขึ้นมาในทันที
ฉินซีมองฉินหลี่หงอย่างไร้อารมณ์ เขาใช้ปลายลิ้นดันกระพุ้งแก้มน้อยๆ ความปวดแสบพลันกระจายไปทั่วใบหน้าด้านซ้าย
“ที่พ่อเรียกผมกลับมา ก็เพื่อจะตบหน้างั้นเหรอครับ?” ฉินซีถามฉินหลี่หงกลับไปเฉยๆ
ฉินหลี่หงถูกสายตาเ็าของฉินซีจ้องมองจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาหันไปถามฉินซี “หรือว่าที่ฉันตีแก นี่ฉันทำผิด? แกดูเอาเองเถอะว่าแกสร้างข่าวฉาวอะไรเอาไว้บ้าง! ฉันไม่กล้าจะยอมรับกับใครเลยว่านั่นเป็ลูกชายของฉัน!”
“ถ้าแบบนั้นก็ไม่ต้องยอมรับผมเป็ลูกสิครับ” ฉินซีพูดขัดขึ้น
เมื่อชาติก่อนก็เป็แบบนี้ หลังจากที่เขาเพิ่งก้าวเข้าไปในวงการบันเทิง ก็บังเอิญเจอกับลูกสาวของแม่เลี้ยงอย่างฉินเสี้ยวเฟย พอฉินเสี้ยวเฟยกลับบ้านก็ไปบอกฉินหลี่หง ตอนนั้นฉินซีเพิ่งจะเซ็นสัญญากับเทียนหม่าหยูเล่อ เขาถูกบีบบังคับจนไร้หนทาง แต่ฉินหลี่หงก็ยังด่าทอเขาซ้ำ ส่วนสวีซินลี่เองก็เย้ยหยันบอกกับเขาว่าอยากจะทำตัวเป็กระต่ายหมายจันทร์ คนที่ไม่สมควรจะได้รับบางอย่างต่อให้พยายามไปทั้งชาติก็ยังไม่ได้อะไรกลับมา
ตอนนั้นฉินซีหัวใจแตกสลาย เขารู้สึกแม้แต่อยากจะฆ่าคนขึ้นมา แต่หลังจากนั้นเขาก็ผ่านมันไปได้
ต่อมาเขาก็ติดตามจี่อวี้เซวียน และค่อยๆ ดังขึ้นมา
รอจนถึงตอนที่เขาได้รับค่าตัวครั้งละหลายหมื่น สวีซินลี่ก็เริ่มเข้ามาประจบสอพลอเขา
ฮ่าๆ...
คนพวกนี้ช่างน่าขัน!
ใบหน้าของฉินซีปรากฏความเย้ยหยันออกมาอย่างห้ามไม่ได้
ฉินหลี่หงโมโหขึ้นเรื่อยๆ เขาตบลงที่โต๊ะ “คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้”
“พ่อ พ่อยังคิดว่าผมเป็เหมือนตอนม.ปลาย ที่พ่อจะสั่งให้คุกเข่า ผมก็คุกเข่า พ่อจะตบตีผม ผมก็ทำได้แค่ยอมแบบนั้นอยู่อีกเหรอครับ?” ฉินซีหัวเราะเสียงเบาๆ ก่อนจะถามกลับไป
ฉินหลี่หงขบฟันแน่น “ตอนนี้แกหมายความว่ายังไง? จะไม่ฟังที่ฉันพูดแล้ว? ไม่เห็นฉันเป็พ่อแล้ว? และไม่คิดว่าที่นี่เป็บ้านแล้ว?”
ฉินซีกวาดสายตามองสวีซินลี่เล็กน้อย “บ้าน? ที่นี่ไม่เคยเป็บ้านของผมอยู่แล้วนี่”
“ที่นี่มีฉันอยู่ไม่ใช่บ้านของแกหรือไง?” ฉินหลี่หงโมโหจนตาแดงก่ำ
ฉินซีหุบรอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าลง ก่อนจะพูดออกมาอย่างเยือกเย็น “ไม่ใช่ครับ”
จู่ๆ เขาก็หันหน้าไปพูดกับสวีซินลี่ที่ทำตัวสงบนิ่ง แม้จะอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่แบบนี้ “ั้แ่วันที่มีเธออยู่ มันก็ไม่ใช่อีก”
สวีซินลี่กัดริมฝีปาก ก่อนจะหันไปทางฉินหลี่หง “เหล่าฉิน คุณดูลูกชายคุณพูดจาเข้าสิ...”
“แกทำเื่ขายขี้หน้าแบบนั้นแล้ว ยังจะมาวางอำนาจถึงที่บ้านอีกเหรอ? ฉันว่าแกคงจะเรียนหนังสือมาเสียเปล่าแล้วล่ะ! ไสหัวออกไปซะ!” ฉินหลี่หงหลุดด่าทอออกมา เส้นเืบนหน้าผากต่างก็ปูดโปน
“ขายขี้หน้าเหรอครับ? ผมทำอะไรขายขี้หน้าตรงไหน? เป็ดาราไม่ใช่อาชีพหนึ่งเหมือนกันหรอกเหรอครับ? ชีวิตของผมเป็ของผม ไม่จำเป็ต้องให้พวกคุณมาชี้นิ้วสั่งหรอกครับ เดิมทีผมก็ไม่ได้อยากจะกลับมาที่นี่อยู่แล้ว อย่าลืมนะครับว่าพ่อเป็คนเรียกผมกลับมา และคนที่วางอำนาจที่นี่ก็ไม่ใช่ผม” ฉินซีหมุนตัวออกมาอย่างไม่ลังเล “ลาก่อนครับ”
หากไม่มีอะไรผิดจากที่คาด เขาก็ไม่คิดจะกลับมายังสถานที่ที่น่าสะอิดสะเอียนแห่งนี้อีก
อ้อ... ไม่สิ ถ้ามีโอกาสสักวัน เขาจะกลับมาเพื่อเก็บหนี้ที่สวีซินลี่ติดเอาไว้ในตอนแรก!