หยวนจุนขมวดคิ้วก่อนจะคิดย้อนไปในความทรงจำของชาติก่อน คิดอยู่สักพัก เขาก็ส่ายหัว
เสี่ยวเมิ่งมองหยวนจุนที่ทำหน้ามึนงงประหนึ่งไม่รู้ว่าอัคนีเก้าโชติเป็อย่างไร
“ดาวทุกดวงบนท้องฟ้าต่างมีตำนาน การถือกำเนิดของแปดดาวโบราณศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในนั้นก็มีดาวจูเชวี่ยที่ควบคุมเปลวไฟได้”
พูดถึงดาวจูเชวี่ย หยวนจุนถือว่าคุ้นเคยเป็อย่างดี เพราะเขาเคยเชื่อมประสานกับดาวจูเชวี่ยที่เป็หนึ่งในแปดดาวโบราณ ซึ่งสามารถควบคุมพลังที่ไม่ธรรมดาได้
เมื่อเห็นว่าหยวนจุนพอรู้เื่แปดดาวโบราณศักดิ์สิทธิ์ เสี่ยวเมิ่งจึงไม่ได้อธิบายต่อ และกล่าวขึ้นว่า “ความจริงแล้ว ในอดีตมีการถือกำเนิดของเปลวไฟเก้าชนิดก่อนการเกิดแปดดาวโบราณศักดิ์สิทธิ์”
“เปลวไฟเก้าชนิดนี้ค่อนข้างทรงพลัง แตกต่างจากแปดดาวโบราณศักดิ์สิทธิ์โดยสิ้นเชิง อีกทั้งแต่ละชนิดยังมีระดับสูงกว่าแกนดาวจูเชวี่ยอีกด้วย แต่แล้วจู่ๆ เปลวไฟเก้าชนิดนั้นก็หายไปจากมหาภพหลิงเทียนเพียงชั่วข้ามคืน”
เสี่ยวเมิ่งขยับปากเล็กๆ แล้วกล่าวต่อ “เป็เพราะการถือกำเนิดของเปลวไฟตะวัน!”
“เปลวไฟตะวัน?” หยวนจุนมองเสี่ยวเมิ่งคล้ายเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง ครั้นเห็นรอยยิ้มหวานบนใบหน้างาม เขาจึงรู้สึกผ่อนคลาย
ดวงตะวันนำแสงและความร้อนมาสู่มหาภพหลิงเทียนซึ่งเป็วิถีแห่งพลังยุทธ์ก็จริง แต่กระนั้นก็เป็เพียงดวงดาวธรรมดาที่มีปราณดาราส่องแสงโชติ่ที่สุด
อย่างไรก็ตาม หยวนจุนเคยสงสัย เมื่อตะวันปรากฏ แสงของดวงดาวบนท้องฟ้าจะถูกบดบังจนสิ้น ดาวที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้ ทำไมถึงเทียบไม่ได้กับแปดดาวโบราณศักดิ์สิทธิ์ และถูกลดระดับลงมาเป็ดาวทั่วไปดังเช่นดวงจันทร์
หลังจากได้ฟังสิ่งที่เสี่ยวเมิ่งกล่าว แม้หยวนจุนจะไม่รู้จริงเท็จ แต่ก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่บ้าง
“แม้เ้าจะไม่เคยได้ยินอัคนีเก้าโชติ แล้วอักษรลับเก้าตะวันเ้าเคยได้ยินบ้างไหม?”
อักษรลับเก้าตะวัน
คำพวกนี้เหมือนหนามทิ่มแทงเข้าไปในใจของหยวนจุน ทำให้เขาถึงกับสะดุ้งโดยไม่รู้ตัว
การแสดงออกเช่นนี้ย่อมไม่รอดพ้นสายตาของเสี่ยวเมิ่ง นางมองหยวนจุนที่มีท่าทีผิดปกติ ก่อนที่ดวงตางามคู่นั้นจะค่อยๆ อ่อนโยนลง
“ดูเหมือนเ้าจะรู้อะไรมาบ้าง? ตามกฎ์ อักษรลับเก้าตะวันถือกำเนิดขึ้นพร้อมๆ กับอัคนีเก้าโชติ คนธรรมดานั้นไม่สามารถบ่มเพาะได้ แต่ยังมีคนประเภทหนึ่งที่ถูกยกเว้น”
หยวนจุนยังคงนิ่งเงียบ ภายในใจกลับระแวงมากกว่าเดิม
อักษรลับเก้าตะวันที่เขาฝึกฝนนั้นเป็ความลับที่มีมาแต่โบราณ แรกเริ่มมันถูกจารึกไว้บนแผ่นทองคำ ซึ่งเป็รูปรัศมีตะวันเก้าวง
ในจารึกนั้นกล่าวว่า หาก้าฝึกฝนอักษรลับเก้าตะวัน ต้องทำลายเส้นปราณทั่วทั้งร่างกายก่อน! ซึ่งสำหรับนักยุทธ์แล้ว เื่นี้ถือเป็เื่ต้องห้าม
สุดท้ายจึงไม่มีใครเคยฝึกฝน และมิอาจรู้ได้ว่าเื่นี้จริงหรือไม่ เพราะถ้าทำลายเส้นปราณทั้งหมดในร่างกายแล้วแต่อักษรลับเก้าตะวันไม่ได้ผล เช่นนั้นจะไม่เป็การทำลายอนาคตด้วยมือตนเองหรือ?
หยวนจุนคิดว่าคำจารึกบนแผ่นทองคำนั้นไม่ค่อยถูกต้องเหมาะสมเท่าไร เพื่อป้องกันไม่ให้คำจารึกบนแผ่นนั้นทำร้ายคน เขาจึงใช้ไฟหลอมจนกลายเป็ของเหลว ตอนนี้หากคิดดูแล้ว เขาเป็หนี้วิชานี้มากพอสมควร
หลังจากใ ในใจก็ยิ่งรู้สึกว่าเสี่ยวเมิ่งเป็ผู้ที่รับมือด้วยยาก เขาหรี่ตาถามไปว่า “เหตุใดแม่นางถึงรู้เยอะเช่นนี้? ทั้งเื่อัคนีเก้าโชติ ทั้งเื่อักษรลับเก้าตะวัน เ้าก็รู้หมดทุกอย่าง”
“แต่ข้าไม่เคยได้ยินเื่พวกนี้เลย หรือว่าเ้ากำลังหลอกข้า?”
เสี่ยวเมิ่งหัวเราะทันที นางโน้มใบหน้าลงบนแขนสองข้างที่วางอยู่บนขา ไม่ได้ตอบหยวนจุนไปตรงๆ
“เ้าอยากรู้หรือว่าเหตุใดข้าถึงรู้มากเช่นนี้?” เมื่อตั้งสติได้ นางจึงยิ้มกริ่มแล้วถามกลับ
เมื่อเห็นหยวนจุนพยักหน้า นางจึงทำเสียงในลำคอเป็เพลงที่ตนเองชอบ แล้วะโลงจากก้อนหิน “ได้ รอเ้ากลับมาจากจวนตระกูลหลิวก่อนแล้วข้าจะบอกเ้า”
เมื่อมองด้านหลังของร่างสูง ในใจหยวนจุนนั้นรู้สึกหนักอึ้ง
“นางไม่มีทางพูดเื่อักษรลับเก้าตะวันอย่างไม่มีเหตุผล ข้าเก็บวิชายุทธ์นี้ไว้ในใจ แม้แต่คุยจีก็ไม่เคยรู้! เสี่ยวเมิ่งเป็ใครกันแน่? ถึงจะเป็เื่บังเอิญ แต่เช่นนี้ก็บังเอิญมากเกินไป!”
ยามแสงอาทิตย์สาดส่อง หยวนจุนมุ่งหน้าไปยังเมืองเทียนอวิ่น เขาเดินไปตามถนนสายเล็ก ไม่นานก็ถึงจวนตระกูลหลิว ซึ่งการมาถึงอาณาเขตของผู้นำอันดับหนึ่งแห่งเมืองนี้ จริงๆ แล้วแทบไม่ต้องเสียเวลาหาเส้นทางเลย
เมื่อเทียบกับสิ่งปลูกสร้างโดยรอบ จวนตระกูลหลิวเรียกได้ว่าใหญ่โตโอ่อ่า มีรูปทรงสะดุดตา มีลานโล่งกว้าง ทั้งยังพื้นที่ส่วนใหญ่ของถนน
หยวนจุนคำนับทหารยามทั้งสองของจวนตระกูลหลิวแล้วกล่าวว่า “ข้ามาพบคุณหนูใหญ่ รบกวนช่วยแจ้งให้ที”
ทหารยามทั้งสองเป็นักยุทธ์วงแหวนเล็กขั้นสาม เทียบกับหยวนจุนที่เพิ่งบรรลุได้ไม่นาน ปราณดาราภายในของพวกเขาหนาแน่นกว่ามาก
เมื่อได้ยินหยวนจุนเอ่ยปากขอพบคุณหนูใหญ่ของจวน ทหารสองคนนั้นก็มองหน้ากัน แล้วตอบด้วยความรำคาญเล็กน้อยว่า “คุณหนูใหญ่ไม่พบคนนอก!”
พวกเขาเคยชินแต่ทายาทเศรษฐีเข้าออกจวนตระกูลหลิว แต่ไม่เคยเห็นนักยุทธ์สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งเข้าออกจวนตระกูลหลิวมาก่อน หลิวหรูเยียนพบแต่คนระดับสูงบางคนเท่านั้น จะไปรู้จักนักยุทธ์บ้านนอกที่เป็แค่วงแหวนเล็กขั้นสามได้อย่างไร?
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทหารยามสองคนนั้นไม่สนใจหยวนจุน
อย่างไรเสีย คนพวกนี้พวกเขาเห็นมาเยอะแล้ว ไม่มีผู้ใดได้รับการต้อนรับจากหลิวหรูเยียนเลยสักคน
หยวนจุนรู้ว่าเขาไม่สามารถทำสิ่งใดได้จึงหันหลังเดินจากไป ขณะที่กำลังคิดหาวิธีอื่น เขาได้เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ทำให้เห็นร่างหนึ่งที่คุ้นเคยอยู่ตรงหัวมุมถนน ร่างนั้นค่อยๆ เข้ามาในสายตา
คนผู้นั้นคือหานซู่ที่ได้รับาเ็จากปางมือมรณาของเขา แขนสองข้างยังคงพันด้วยผ้าหนา ส่วนด้านหลังมีนักยุทธ์สามคนเดินตาม เขาออกแรงเดินอย่างเอียงไปเอียงมา
“ลูกพี่หาน หาน หานซู่! เป็เ้านั่น เป็เ้านั่น!” นักยุทธ์ด้านหลังหานซู่ตาไวเห็นหยวนจุน จึงะโเสียงดังกลางถนน
เมื่อเห็นแววตาชั่วร้ายของหยวนจุน หานซู่ถอยหลังทันที เขาหุบสองขาแน่นตามสัญชาตญาณ
“ยังยืนโง่อยู่ทำไม ไปจับสิ! ข้า้าจับเขา!”
หานซู่ออกคำสั่งแต่ไม่มีผู้ใดกล้าทำตาม เขาหันกลับไปมองนักยุทธ์ทั้งสาม ทุกคนถอยหลังด้วยความหวาดกลัว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองวันนั้น พวกเขาได้เห็นความสามารถของหยวนจุนแล้ว จนถึงตอนนี้บนร่างกายของพวกเขายังมีรอยแผลอยู่เลย ยิ่งตอนนี้หยวนจุนบรรลุไปถึงวงแหวนเล็กขั้นสามแล้ว การนำตนเองไปขวางเขาเท่ากับการรนหาที่ตายชัดๆ !
“ไอ้พวกไม่เอาไหน!” แม้หานซู่จะกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ แต่ริมฝีปากกลับสั่นจนพูดตะกุกตะกัก ยิ่งเห็นหยวนจุนยิ้มกริ่มให้ เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีลมพัดเบาๆ ระหว่างขาของเขา
เคราะห์ดีที่บริเวณนี้เป็อาณาเขตของตระกูลหลิว หานซู่จึงรีบะโบอกทหารยาม “เ้านี่ขโมยของคุณหนูใหญ่ ยังไม่รีบไปจับเขาอีก!”
แม้หานซู่จะพูดออกมาส่งๆ แต่ทหารยามทั้งสองก็เชื่อว่าเป็เื่จริง พวกเขามองหน้ากัน ก่อนจะตั้งท่าแล้ววิ่งตามหยวนจุนไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้