ครั้นเห็นมู่หลิงจูประคองมู่เซี่ยโหรวออกจากเรือนมวลบุปผา จื่อเซียงก็เป็อันต้องหยิกตัวเองแรงๆ หนึ่งที หลังจากรู้ว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป นางก็เบนสายตามองไปทางมู่อวิ๋นจิ่นอย่างตกตะลึง
“คุณหนู ...” จื่อเซียงเดินเข้าไปใกล้มู่อวิ๋นจิ่น ลังเลว่าจะพูดดีไหม
มู่อวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วพลางกล่าวว่า “มีอะไรก็พูดมาตรง ๆ”
จื่อเซียงเม้มริมฝีปาก นางหยุดนิ่งไปชั่วขณะ แต่ก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้ “คุณหนู ที่ผ่านมาท่านไม่กล้าขัดใจคุณหนูสี่และคุณหนูห้าด้วยซ้ำ เอาแต่ปล่อยให้...”
ปล่อยให้พวกนางรังแก
จื่อเซียงหยุดคำพูดไว้ได้ทันท่วงที ไม่กล้าพูดต่อ
มู่อวิ๋นจิ่นรู้ดีว่าจื่อเซียงจะพูดอะไรต่อ นางยกยิ้มก่อนจะเอื้อมมือไปตบบ่าจื่อเซียง “แต่ก่อนเป็ข้าที่โง่เขลาจริงๆ ถึงได้ปล่อยให้พวกนางสองคนรังแก”
“พูดถึงเื่นี้แล้วก็นะ ถึงท่านพ่อจะกักบริเวณข้า แต่ถึงอย่างไรข้าก็ยังเป็บุตรสาวคนโตของสกุลมู่ ข้าเป็ถึงพี่สาวของพวกนาง จะปล่อยให้พวกนางมากดขี่ข่มเหงข้าได้อย่างไร!”
“วันนี้แค่สั่งสอนพวกนางนิดๆ หน่อยๆ ก็เท่านั้น ถ้าวันหน้าพวกนางยังกล้ามาหาเื่อีกล่ะก็ ข้าจะฉีกพวกนางให้เป็ชิ้นๆ!”
คำพูดของมู่อวิ๋นจิ่นทำให้จื่อเซียงตกตะลึงเป็อย่างมาก นางจ้องหน้าผู้เป็นาย พลันรู้สึกว่าคุณหนูของตนมีบางอย่างเปลี่ยนไป แต่กลับบอกไม่ถูกว่าเปลี่ยนไปอย่างไร
แต่การที่คุณหนูรู้จักตอบโต้บ้าง ก็นับว่าเป็เื่ที่ดีจริงๆ
“จริงสิ ฉินไท่เฟยคือใคร” มู่อวิ๋นจิ่นเพิ่งจะเดินออกจากห้องนอน จู่ๆ ก็หยุดชะงักฝีเท้าลง แล้วหันไปมองจื่อเซียง
จื่อเซียงตกตะลึง สายตาเผยให้เห็นแววประหลาดใจอีกครั้ง “คุณหนู คุณหนูจำฉินไท่เฟยไม่ได้หรือเ้าคะ”
มู่อวิ๋นจิ่นยกยิ้มเบา ๆ แม้จะมีความทรงจำในอดีตของร่างเดิมอยู่บ้าง แต่ก็แค่ส่วนน้อยที่กระจัดกระจายเลือนลางเท่านั้น แบบนี้นางจะรู้รายละเอียดได้อย่างไรกัน
“อาจเป็เพราะอาการมึนงงจากเมื่อคืน ตอนที่ป้าซูแอบเข้ามาในห้องแล้วทำร้ายข้าจนทิ้งรอยฟกช้ำไว้ล่ะมั้ง” มู่อวิ๋นจิ่นนวดขมับตน พลางเอ่ยปากอย่างไม่ยี่หระ
จื่อเซียงพยักหน้า จากนั้นก็เดินไปยังข้างกายมู่อวิ๋นจิ่น ช่วยประคองมู่อวิ๋นจิ่นให้นั่งลง แล้วรินน้ำชาให้ผู้เป็คุณหนูของตน
“ฉินไท่เฟยเป็พระมารดาแท้ๆ ขององค์ฮ่องเต้ในรัชสมัยนี้ แม้ฐานะจะเป็รองไทเฮา1 แต่กลับสามารถนั่งอยู่บนตำแหน่งด้วยศักดิ์ศรีทัดเทียมกับไทเฮา” จื่อเซียงกล่าวเสียงเบา
“นางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับข้างั้นหรือ ถึงได้มอบปิ่นหยกมรกตให้กับข้า” มู่อวิ๋นจิ่นถอดปิ่นหยกมรกตที่ปักอยู่บนมวยผมนางลง แล้วก็วางบนมือพร้อมกับมองพิจารณามัน
จื่อเซียงเห็นมู่อวิ๋นจิ่นลืมเื่ก่อนหน้านี้จนหมด ก็ถอนหายใจเบาๆ แต่ก็ยังอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด
“ฉินไท่เฟยเคยเป็พี่น้องรักใคร่กับไท่ฟูเหริน2 ของพวกเราจวนสกุลมู่ ตอนที่พวกท่านยังเป็เด็กได้ทำสัญญากันไว้ ว่าหากถึงวัยมีหลานแล้วล่ะก็ จะให้พระราชบุตรลำดับที่หกแต่งงานกับบุตรสาวคนโตของจวนเสนาบดีมู่”
“เช่นนี้แล้วด้วยฐานะบุตรีคนโตแห่งจวนเสนาบดีมู่ คุณหนูย่อมเป็ที่รักของฉินไท่เฟยเ้าค่ะ”
หลังจากได้ฟังคำพูดของจื่อเซียงก็ขมวดคิ้วมุ่น “ในเมื่อฉินไท่เฟยชอบข้าขนาดนั้น ท่านพ่อจะกล้ากักบริเวณข้าไว้ที่นี่ได้อย่างไร ไม่กลัววฉินไท่เฟยจะโกรธเคืองอย่างนั้นหรือ”
มู่อวิ๋นจิ่นสับสนอยู่บ้าง แต่ก็พอจะเข้าใจสถานการณ์แล้ว
ที่แท้ฐานะของนางก็คือบุตรสาวที่มีการหมั้นหมาย อีกทั้งผู้ที่หมั้นหมายด้วยยังเป็องค์ชายหกอีกด้วย
จื่อเซียงได้ยินคำพูดของมู่อวิ๋นจิ่น ใบหน้าน้อย ๆ ก็พลันเศร้าสลด นางกระทืบเท้าอ้าปากเอ่ยเสียงเบา “คุณหนู นายท่านปกปิดเื่นี้ไว้เป็อย่างดี ฉินไท่เฟยจึงไม่รู้เื่ที่ท่านถูกกักบริเวณ”
“อืม” มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินคำพูดประโยคนี้ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่จำเป็ต้องกลัวคำสั่งกักบริเวณของท่านพ่อสินะ”
กล่าวจบ มู่อวิ๋นจิ่นก็มุ่งหน้าออกจากเรือนมวลบุปผาในทันที
จื่อเซียงใชั่วขณะ ก่อนจะวิ่งเข้าไปรั้งตัวมู่อวิ๋นจิ่นเอาไว้ “คุณหนู ท่านอย่าเดินไปไหนมาไหนตามใจสิเ้าคะ หากถูกนายท่านพบเข้า จะโดนลงโทษด้วยกฎของจวนนะเ้าคะ”
“กฎจวนงั้นหรือ” มู่อวิ๋นจิ่นเลิ่กคิ้ว “ถ้ากล้าก็ลองดู!”
มู่อวิ๋นจื่อพูดจบก็ไม่สนใจการห้ามปรามของจื่อเซียง มุ่งเดินออกจากเรือนมวลบุปผา จื่อเซียงใจนหน้าซีดเผือด ความกังวลฉายแววชัดสะท้อนบนใบหน้าของบ่าวรับใช้อย่างนาง
‘มิใช่ว่าคุณหนูจะถูกทำร้ายจนสมองฟันเฟือนไปแล้วนะ ไฉนคนปกติดีๆ ถึงนิสัยเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้ หากถูกนายท่านจับได้ว่าคุณหนูแอบออกจากเรือนมวลบุปผา เช่นนั้นก็คงซวยแน่แล้ว!’
แม้จื่อเซียงจะคิดเช่นนั้น แต่นางก็ยังเดินตามหลังมู่อวิ๋นจิ่นไปอยู่ดี
มู่อวิ๋นจิ่นออกจากเรือนมวลบุปผาอย่างลำพองใจ ครั้นเพิ่งออกจากเรือนมวลบุปผาได้เพียงไม่กี่ก้าว เหล่าข้ารับใช้ที่ผ่านไปผ่านมาก็เห็นมู่อวิ๋นจิ่นเข้า ทุกคนต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจ แต่กลับไม่กล้าเอ่ยกล่าวอันใดออกมา
มู่อวิ๋นจิ่นหูดีมาก ตอนที่นางเดินผ่านบ่าวรับใช้สองสามคน ก็ยังไม่วายได้ยินเสียงซุบซิบของพวกเขา
“เรือนของมู่หลิงจูอยู่ทางไหน” มู่อวิ๋นจิ่นถาม
จื่อเซียงชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะชี้ไปทางทิศตะวันตก “อยู่ตรงหอมุกดาทางด้านนั้นเ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นจิ่นได้ฟังดังนั้นก็เลิกคิ้วเล็กน้อย ‘หอมุกดากับเรือนมวลบุปผางั้นหรือ ช่างลำเอียงดีจริงๆ...’
“เ้ากลับไปก่อน ข้าจะไปเองคนเดียว” มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยปากบอกจื่อเซียง
จื่อเซียงใ กำลังจะเอ่ยท้วง แต่พอสบตากับมู่อวิ๋นจิ่นแล้ว นางก็พยักหน้ารับ ก่อนจะจากก็ยังไม่วายเป็กังวล “คุณหนูระวังตัวด้วยนะเ้าคะ อย่าได้หาเื่เดือดร้อนใส่ตัวนะเ้าคะ”
มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มพลางพยักหน้ารับ
หลังจากจื่อเซียงเดินจากไป มู่อวิ๋นจิ่นก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ดูตระการตาเบื้องหน้า ตอนแรกนางคิดว่าเรือนมวลบุปผาของตนก็ไม่ได้แย่อะไร แต่หลังจากที่ได้เห็นเรือนแต่ละหลัง นางถึงได้รู้ว่าสถานที่ที่ตัวนางอาศัยอยู่มันก็แค่ “คอกสุนัข” เท่านั้นเอง
ขณะที่เดินผ่านประตูของเรือนหลังหนึ่ง จู่ๆ มู่อวิ๋นจิ่นก็ได้ยินเสียงเบาๆ ดังลอยมาจากด้านใน
“ท่านแม่ อีกสามเดือนมู่อวิ๋นจิ่นจะได้ชื่อว่าอยู่ในวัยปักปิ่น3 ถึงตอนนั้นทางด้านในวังหลวงก็คงประทานงานสมรสให้นางกับองค์ชายหกแล้ว เช่นนี้จะทำอย่างไรดี”
เสียงของมู่หลิงจูดังมาจากด้านใน
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นได้ยินเสียงของมู่หลิงจู นางก็หยุดฝีเท้าลง แล้วพิงประตูเงี่ยหูฟังเสียงด้านใน
“จูเอ๋อร์ เื่นี้ไม่ต้องรีบร้อน เดี๋ยวข้าจะคิดหาวิธีให้เอง” เสียงของหญิงสาววัยกลางคนผู้หนึ่งดังลอยออกมา
“ท่านแม่ ท่านก็ทราบดี ั้แ่ครั้งแรกที่ข้าได้พบองค์ชายหกเมื่อตอนอายุแปดขวบ ตอนนั้นข้าก็มีใจให้กับองค์ชายหกมาโดยตลอด ถึงตอนนี้ก็แปดปีเต็มแล้ว แต่น่าเสียดายที่ท่านคลอดข้าช้าไปก้าวหนึ่ง หากข้าได้เกิดก่อนมู่อวิ๋นจิ่น ข้าก็คงได้เป็บุตรีคนโตแห่งสกุลมู่แล้ว” น้ำเสียงของมู่หลิงจูเจือแววเศร้าเสียใจ
ด้านนอกประตู มู่อวิ๋นจิ่นเข้าใจคำพูดของมู่หลิงจูในทันที นางเพิ่งเข้าใจว่าทำไมมู่หลิงจูถึงกล้าสั่งให้ป้าซูกำจัดนางทิ้ง
ที่แท้แล้วขอแค่นางตายไป มู่หลิงจูก็จะกลายเป็บุตรสาวคนโตแห่งสกุลมู่ จากนั้นก็จะได้แต่งงานกับองค์ชายหก
ช่างเป็ผู้หญิงที่มีจิตใจโเี้ยิ่งนัก เพื่อแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่ง ถึงกับไม่ลังเลที่จะกำจัดพี่สาวแท้ๆ ของตัวเอง มู่หลิงจูคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ
“เ้าลูกชั่ว ใครอนุญาตให้เ้าออกจากเรือน!”
……………………………………………………………………………….................................................
[1] ไทเฮา หมายถึง พระอัครมเหสีของฮ่องเต้คนเก่า
[2] ไท่ฟูเหริน หมายถึง คำที่ใช้เรียกชายาเอกของผู้มีบรรดาศักดิ์อ๋อง
[3] วัยปักปิ่น หมายถึง ่วัยของเด็กสาวที่มีอายุ 15 ปี เป็วัยที่ถือว่าสามารถออกเรือนมีครอบครัวได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้