วันรุ่งขึ้น มู่อวิ๋นจิ่นอยากจะพักผ่อนให้สบายกายสบายใจสักหน่อย นางหลับจนตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า
เดิมทีมู่อวิ๋นจิ่นอยากจะนอนหลับทั้งวัน แต่จื่อเซียงไม่วางใจเื่เมื่อคืน นางจึงปลุกมู่อวิ๋นจิ่นแล้วช่วยมู่อวิ๋นจิ่นแต่งตัว
หน้ากระจกทองเหลือง ปรากฏภาพหญิงสาวั์ตาใสกระจ่างริมฝีปากชมพู ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ กำลังเล่นปิ่นอัญมณีสองอันที่ถืออยู่ในมือ นางมองภาพที่สะท้อนผ่านกระจกทองเหลืองด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล เมื่อเห็นภาพตนเองเช่นนั้นก็ยิ่งเผยให้เห็นรอยยิ้มที่มีความสุขออกมาไม่น้อย
มู่อวิ๋นจิ่นมองใบหน้างามที่สะท้อนอยู่ในกระจก ก็ยิ่งอารมณ์ดีขึ้น คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่านางจะได้ร่างงดงามเช่นนี้
“คุณหนู ท่านจะเลือกปิ่นชิ้นไหนดีเ้าคะ” จื่อเซียงช่วยเกล้าผมของมู่อวิ๋นจิ่นขึ้นเป็มวย จากนั้นก็จับจ้องสายตาไปยังปิ่นอัญมณีสองอันที่มู่อวิ๋นจิ่นถือเล่นอยู่ในมือ พลางเอ่ยปากถามผู้เป็นาย
พูดจบ มู่อวิ๋นจิ่นก็มอบปิ่นหยกมรกตสีเขียวให้จื่อเซียง
ปิ่นหยกมรกตเพิ่งจะปักลงบนผมของมู่อวิ๋นจิ่น ด้านนอกประตูก็ปรากฏเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังอึกทึก เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จากนั้นก็มีเสียงดังปัง ประตูเรือนถูกคนผลักให้เปิดออกอย่างรุนแรง คนกลุ่มหนึ่งก้าวเข้ามาจากด้านนอก
จื่อเซียงที่เห็นผู้มาเยือนก็ใจนมือไม้สั่น นางรีบก้มหน้าลงทันที แววตาของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัวจนเป็เหตุให้นางไม่กล้าเงยหน้าขึ้นอีก
ผิดกับมู่อวิ๋นจิ่นที่กลับไม่ยี่หระ นางหมุนตัวไปมองกลุ่มคนด้านหลัง แล้วยิ้มออกมาอย่างงดงาม “ที่แท้ก็เป็น้องสี่กับน้องห้านี่เอง ไม่พบกันนานเชียว”
ผู้มาเยือนคือมู่หลิงจูน้องสาวร่วมมารดาของนาง และมู่เซี่ยโหรวบุตรีของฮูหยินสามนามว่าลัวหนิงอวี่
“คารวะท่านพี่” มู่หลิงจูเดินเข้ามาด้วยหน้ายิ้มแย้ม แต่ทว่าแววตาของนางกลับไม่ได้ยิ้มตาม สายตาจับจ้องอยู่บนร่างมู่อวิ๋นจิ่น ครั้นได้ัักับรอยยิ้มงดงามบนใบหน้าของอีกฝ่าย มู่หลิงจูก็รู้สึกขัดใจนางยิ่งนัก
ผ่านไปครู่หนึ่ง มู่หลิงจูดึงสติกลับมา แล้วเอ่ยอย่างมีเลศนัยว่า “ป้าซูจมน้ำตายที่สระบัว ท่านพี่ได้ยินเื่นี้แล้วหรือไม่”
มู่อวิ๋นจิ่นเลื่อนสายตามองมู่หลิงจู ก่อนจะกล่าวประโยคนั้นออกมาด้วยหน้าใบหน้าอันเรียบเฉย
“สองปาฏิหาริย์แห่งจวนสกุลมู่ หนึ่งคือคุณหนูสาม ‘มู่อวิ๋นจิ่น’ ผู้มีรูปโฉมงดงามเป็เลิศเป็หนึ่งไม่มีสอง ทว่ากลับเปรียบได้เป็แค่กระสอบฟางที่ไร้สมอง อีกคนหนึ่งคือคุณหนูสี่ ‘มู่หลิงจู’ ผู้ที่เปี่ยมด้วยมันสมอง รอบรู้ศาสตร์หลายแขนง แต่ดันมีหน้าตาพื้นๆ รูปลักษณ์แสนธรรมดา”
บุตรีทั้งหมดต่างก็มีข้อดีข้อด้อยในตนเอง แต่กระนั้นมู่เฉิงเซี่ยงผู้เป็บิดาก็ยังคงชื่นชอบมู่หลิงจู น้องสาวผู้รอบรู้มากกว่า
“ป้าซูจมน้ำตายแล้วอย่างนั้นหรือ” ดวงตาของมู่อวิ๋นจิ่นฉายแววประหลาดใจ นางสบตากับมู่หลิงจู จากนั้นก็พูดพลางถอนหายใจ “ป้าซูอายุมากแล้ว ขาแข้งย่อมไม่ดี จะเสียหลักตกน้ำก็นับว่ามิใช่เื่แปลกอันใด”
พูดจบมู่อวิ๋นจื่อก็เอื้อมมือไปแตะลำคอตัวเอง ก่อนจะแสร้งทำเป็ดึงคอเสื้อลงเบาๆ ด้วยท่าทางไม่ตั้งใจ เผยให้เห็นรอยฟกช้ำเล็กน้อยบนลำคอขาวผ่อง
เมื่อมู่หลิงจูเห็นภาพนี้ ในดวงตาของนางก็พลันฉายแววตาวาววับ นางกัดริมฝีปากแน่น ดวงตามองสำรวจรอบลำคอของมู่อวิ๋นจิ่นอย่างไม่ลดละ พลางกำมือแน่นเล็กน้อยอย่างเก็บอาการไม่อยู่
ให้ตายเถอะ บนคอมู่อวิ๋นจิ่นนั่นมิใช่รอยถูกบีบคอหรอกหรือ
เวลานี้อีกฝ่ายกลับจงใจเปิดเผยร่องรอย มิใช่เป็การบ่งบอกอย่างชัดเจนหรือว่าการตายของป้าซูเป็ฝีมือของนาง
แต่ถึงกระนั้น นางก็ไม่อาจเปิดโปงว่าเป็ฝีมือมู่อวิ๋นจิ่นได้
เพราะนางเองก็เป็คนส่งป้าซูไปเรือนมวลบุปผากลางดึก เพื่อหมายเอาชีวิตของมู่อวิ๋นจิ่น ใครจะรู้ว่ามู่อวิ๋นจิ่นไม่เพียงแต่ไม่เป็อะไร แต่กลับยังทำให้ป้าซูต้องชดใช้ด้วยชีวิตอีกด้วย
มู่หลิงจูยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ นางไม่อาจทำให้เื่นี้เป็เื่ใหญ่โตขึ้นมา มิเช่นนั้นหากเื่ได้ยินไปถึงหูท่านพ่อ แล้วสืบพบเบาะแสอะไรเข้าล่ะก็ ถึงตอนนั้นคนที่ซวยคงเป็นางเอง
มู่อวิ๋นจิ่นที่ปกติไม่ค่อยจะฉลาดนัก ไปเอามันสมองมาจากไหน ถึงขั้นกล้าลงมือฆ่าป้าซูเพื่อปิดปาก
เมื่อครู่ที่อีกฝ่ายจงใจแสดงรอยฟกช้ำก็เพราะอยากจะเตือนนาง
มู่หลิงจูโกรธจนเผลอกัดฟันจนแทบจะหัก นางกำลังจะอ้าปากพูด ก็ได้ยินเสียงราบเรียบของมู่อวิ๋นจิ่นดังขึ้นอีกครั้ง “ข้าอยากไปร่วมพิธีศพของป้าซูจริงๆ แต่น่าเสียดายที่ท่านพ่อกักบริเวณข้า หากไม่มีคำอนุญาตจากท่านพ่อ ข้าก็คงไม่อาจออกจากเรือนมวลบุปผาแห่งนี้ได้”
ครั้นมู่หลิงจูได้ยินคำพูดของมู่อวิ๋นจิ่น สีหน้าก็เปลี่ยนเป็บึ้งตึง
เวลานี้ มู่เซี่ยโหรวที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดััได้ว่าบรรยากาศในเรือนค่อนข้างอ่อนไหวอยู่บ้าง นางกลอกตาไปมา แล้วชี้ไปทางปิ่นหยกมรกตบนมวยผมของมู่อวิ๋นจิ่น พร้อมกับเอ่ยปากขึ้น “พี่สาม ปิ่นนี้ของท่านก็คือปิ่นหยกมรกตที่ได้ประทานมาจากฉินไท่เฟยเมื่อไม่นานมานี้ใช่หรือไม่”
“ทำไม” มู่อวิ๋นจิ่นกวาดตามองไปทางมู่เซี่ยโหรว
มู่เซี่ยโหรวพลันปิดปากหัวเราะ ในดวงตามีแววเ้าเล่ห์วาดผ่าน “ข้าว่านะพี่สาม ท่านเอาแต่อยู่ในเรือนมวลบุปผาตลอดทั้งวันไม่ออกไปไหน ปักปิ่นผมที่สายงามเช่นนี้ ช่างดูไร้ค่ายิ่งนัก”
“ไม่สู้ท่านถอดมันออกแล้วมอบให้พี่สี่เถอะ ถึงอย่างไรพี่สี่ก็เป็คนมีหน้ามีตาในอาณาจักรซีหยวน อย่างน้อยก็จะได้ไม่ทำลายน้ำใจของฉินไท่เฟย”
คำพูดของมู่เซี่ยโหรวทำให้มู่หลิงจูยิ้มอย่างมีความสุข
ใช่แล้ว มู่อวิ๋นจิ่นผู้นี้ไร้ความรู้ความสามารถ เป็กระสอบฟางที่ไม่มีดี จะคู่ควรกับปิ่นอัญมณีของฉินไท่เฟยได้อย่างไร
แม้นางจะดูแคลนของที่ฉินไท่เฟยมอบให้มู่อวิ๋นจิ่น แต่มู่อวิ๋นจิ่นปักปิ่นปักผมแบบนี้ นางเห็นแล้วกลับรู้สึกรำคาญตายิ่งนัก
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินคำพูดของมู่เซี่ยโหรว แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้แต่อย่างใด ซ้ำยังนิ่งเฉยไม่เอ่ยอะไรออกมา รอคอยการเคลื่อนไหวถัดไปของมู่เซี่ยโหรว
เมื่อเห็นว่านางไม่พูดอะไร มู่เซี่ยโหรวก็ทำใจกล้าขึ้นมา เดินเข้าไปหามู่อวิ๋นจิ่นผู้เป็พี่ และยื่นมือออกไปหมายจะหยิบปิ่นหยกมรกตที่ปักอยู่บนมวยผมของนาง
“หากพี่สี่ใส่ปิ่นอัญมณีชิ้นนี้จะต้อง...อ๊า!”
มือของมู่เซี่ยโหรวยังไม่ทันััโดนปิ่นอัญมณีบนผมของมู่อวิ๋นจิ่น นางก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกระแทกเข้าที่ท้องของตน เพียงพริบตาเดียวก็เจ็บจนตัวงอ
“โอ๊ย ข้าเจ็บจะตายแล้ว” มู่เซี่ยโหรวเอามือกุมท้อง ใบหน้าซีดขาว
มู่หลิงจูเห็นภาพนี้ก็ขมวดคิ้วมุ่น หันไปมองมู่อวิ๋นจิ่นโดยไม่รู้ตัว
ขณะเดียวกัน มู่อวิ๋นจิ่นเองก็กำลังมองนางอยู่ บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มเยาะ ก่อนนางจะยื่นมือข้างหนึ่งไปจัดปิ่นหยกมรกตบนมวยผม
“หลิงจู น้องห้าปวดท้อง เ้ารีบพานางไปหาท่านหมอเถอะ มิเช่นนั้นหากปล่อยไว้นาน นางคงต้องถูกฝังไปพร้อมกับป้าซูเป็แน่”