ขณะตกอยู่ในห้วงนิทรา มู่อวิ๋นจิ่นพลันรู้สึกหายใจไม่ออกก่อนที่นางจะลืมตาขึ้นเพราะได้ยินเสียงดัง ‘สวบ’รัตติกาลหนาวเหน็บปรากฏสู่สายตา ก่อนจะพบว่ามีมือคู่หนึ่งกำลังบีบอยู่ที่บริเวณลำคอของตน
มู่อวิ๋นจิ่นยื่นมือออกไปคว้ามือคู่นั้นตามสัญชาตญาณโดยทันที พลันบิดพลิกฝ่ามือหนึ่งครั้งจนได้ยินเสียงกระดูกหัก
“กรี๊ด!!!”
เสียงกรีดร้องดังก้องในยามราตรีอันเงียบสงัด
มู่อวิ๋นจิ่นลุกขึ้นจากเตียง ััได้ถึงลมหายใจของผู้มาเยือน นางจ้องมองไปทางด้านหนึ่งอย่างเขม็ง พลางกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า
“ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ ใครส่งเ้ามา”
ครั้นพูดจบ ด้านนอกประตูก็มีเสียงฝีเท้าเล็กๆ ดังขึ้น ก่อนประตูจะถูกคนผลักออก นำมาซึ่งประกายไฟ ทำให้ภายในห้องที่มืดมิดสว่างวาบขึ้นทันตา
“คุณหนู ไม่เป็ไรนะเ้าคะ”
มู่อวิ๋นจิ่นไม่ตอบคำถาม แต่อาศัยแสงสว่างสำรวจรอบสถานที่ที่ตนอยู่
นางขมวดคิ้ว พร้อมหรี่ตาลง ก่อนจะพบว่าผู้มาเยือนตรงหน้าเป็เด็กสาวคนหนึ่งยืนถือโคมไฟอยู่ พร้อมกับหญิงชราผู้ยืนกุมมือและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเ็ป
พวกนางทั้งสองต่างสวมชุดโบราณแบบเดียวกัน
ขณะครุ่นคิดอยู่ มู่อวิ๋นจิ่นแอบประหลาดใจเล็กน้อย นางจำได้ว่าตนเองรับภารกิจมา แต่ระหว่างเดินทางก็ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินะเิ นางควรจะตายไปแล้วถึงจะถูก
แล้วทำไม...
“เอ๋? ท่านป้าซู ไฉนท่านถึงมาอยู่ที่นี่เล่า” เด็กสาวที่ถือโคมไฟเอ่ยปากถามขึ้น พร้อมกับมองดูหญิงชราด้วยสีหน้าแปลกใจ
เมื่อได้ยินเด็กสาวพูด มู่อวิ๋นจิ่นก็หยุดความคิดลงเงียบๆ จากนั้นก็เบนสายตามองไปที่ร่างหญิงชราคนนั้นอีกครั้ง
ใครจะรู้ว่าหญิงชราผู้ถูกมู่อวิ๋นจิ่นกับเด็กสาวมองอยู่นั้นไม่มีทีท่าหวาดกลัวแม้แต่น้อย แต่กลับยังกัดฟัดและเอ่ยปากพูดว่า “คุณหนูสามลงมือทำร้ายคนกลางดึก ถึงขั้นหักข้อมือข้า ข้าจะต้องรายงานเื่นี้ให้นายท่านทราบอย่างแน่นอน”
หญิงชราพูดจบก็พยายามหยัดกายลุกขึ้น
เดิมทีมู่อวิ๋นจิ่นยังสับสนอยู่บ้าง แต่พอได้ยินหญิงชราพูดถึงคุณหนูสามเพียงสามคำ ทันใดนั้นภาพมากมายนับไม่ถ้วนก็แล่นเข้าสู่สมองนางไม่หยุด ทำให้นางต้องยกมือขึ้นกุมหัวอย่างเ็ป
มู่อวิ๋นจิ่น คุณหนูสามแห่งจวนสกุลมู่ สาวงามอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรซีหยวน ทว่าถูกผู้เป็บิดาดูแคลนเพราะขลาดเขลาไร้ซึ่งความรู้ จึงถูกกักบริเวณอยู่ภายในเรือนมวลบุปผาแห่งนี้ตลอดทั้งวัน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปด้านนอก
และหญิงชราที่อยู่ตรงหน้านางคือป้าซู แม่นมของมู่หลิงจูผู้เป็น้องสาวร่วมมารดาของนาง
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ มู่อวิ๋นจิ่นก็ยิ้มเย็น ปรายตามองไปทางป้าซูที่กำลังเชิดหน้ามองนางอย่างลำพองใจ “เื่เล็กน้อยเท่านี้ ท่านป้าซูก็อย่ารายงานท่านพ่อเลย”
ป้าซูมองมู่อวิ๋นจิ่น คิดว่ามู่อวิ๋นจิ่นคงจะรู้สึกกลัวตนเองขึ้นมาบ้างแล้ว นางจึงได้ทีวางท่า ถือโอกาสนั่งลงบนเก้าอี้ข้างกายโดยไม่สนความเ็ปที่ข้อมือ ทั้งยังกลอกตาไปมาพลางกล่าวว่า“เช่นนั้นเื่ที่คุณหนูสามทำร้ายข้าาเ็ในวันนี้ ท่านจะแก้ตัวว่าอย่างไร”
“ท่านป้าซู มีเื่เข้าใจผิดอะไรกันหรือไม่ คุณหนูจะทำมือท่านาเ็ได้อย่างไร” สาวใช้นามว่าจื่อเซียงเอ่ยปากขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ อยากถามว่าป้าซูว่าเข้ามาทำอะไรที่ห้องของคุณหนูในยามวิกาลเช่นนี้ แต่เมื่อไตร่ตรองดูแล้ว ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถาม
“หุบปาก! ข้ากำลังคุยกับคุณหนูสามอยู่ ต้องให้เ้ามาสอดปากเมื่อไรกัน” ป้าซูถลึงตาใส่จื่อเซียง อยากจะยื่นมือออกไปตบจื่อเซียงสักฉาด ทว่านางมือเจ็บอยู่จึงไม่อาจเคลื่อนไหวได้
จื่อเซียงเห็นดังนั้นก็ใจนถดตัวถอยหลังไปหนึ่งก้าว จากนั้นก็ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดอีก
เวลานี้มู่อวิ๋นจิ่นเข้าใจความจริงที่ว่าิญญาของตนได้ทะลุมิติมาอีกโลกหนึ่งแล้ว นางนึกถึงภาพที่ตนเองตื่นขึ้นเมื่อครู่แล้วเอื้อมมือไปลูบที่คอพลันรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาจากการที่เพิ่งถูกบีบคอไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง มุมปากของมู่อวิ๋นจิ่นก็ปรากฏรอยยิ้มกระหายเืขึ้น นางกระพริบตาพลางกล่าวว่า “จื่อเซียง ฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว วันนี้ก็ให้ข้าทำงานบ้างเถอะ เดี๋ยวข้าจะไปให้อาหารปลาหลีฮื้อ*ในสระบัวก็แล้วกัน”
(*ปลาคาร์ป)
...
“ตูม!!!”
น้ำในสระบัวที่สงบนิ่งพลันปรากฏระลอกคลื่น ตามมาด้วยเสียงน้ำกระเซ็น จนคล้ายกับจะดังมากเป็พิเศษในค่ำคืนนี้
มู่อวิ๋นจิ่นยืนกอดอกอยู่ข้างสระบัว พลางปรายตามองเงาร่างหนึ่งที่กำลังดิ้นรนอยู่ในสระบัว มุมปากของนางปรากฎรอยยิ้มเหยียดหยาม
ดีที่ตอนโยนป้าซูลงสระบัวมันช่วยปิดปากนางได้ มิเช่นนั้นจังหวะนี้คงไม่สนุกแล้ว
จื่อเซียงที่เห็นฉากตรงหน้าพลันใจนหน้าซีด นางหันไปทางมู่อวิ๋นจิ่นก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังอมยิ้มอยู่ จู่ ๆ จื่อเซียงก็รู้สึกเหมือนคนตรงหน้าไม่ใช่มู่อวิ๋นจิ่นที่นางรู้จักในอดีต
“คุณหนู พวกเราไม่เข้าไปช่วยนางขึ้นมาหรือเ้าคะ” จื่อเซียงลังเลเล็กน้อย เหลือบมองไปทางมู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นหัวเราะคิกคัก สายตายังคงจับจ้องไปที่ร่างของป้าซู “ช่วยขึ้นมา ช่วยให้นางรีบไปฟ้องอย่างนั้นหรือ ถึงตอนนั้นไม่แน่ว่าคนที่ถูกโยนลงสระบัวก็คงเป็พวกเราแล้ว”
คำพูดของมู่อวิ๋นจิ่นทำจื่อเซียงตกตะลึงไปชั่วขณะ นางประหลาดใจกับคำพูดที่เพิ่งหลุดออกมาจากปากมู่อวิ๋นจิ่นเมื่อครู่
ดูเหมือนางจะยังไม่รู้จักคุณหนูดีพอ
มู่อวิ๋นจิ่นเหลือบสายตามองจื่อเซียง เด็กสาวคนนี้เติบโตมาพร้อมกับนางั้แ่ยังเป็เด็ก ในยามปกติที่มู่อวิ๋นจิ่นตัวจริงถูกรังแก นางก็มักจะวิ่งมาขวางหน้าเพื่อปกป้องมู่อวิ๋นจิ่น คนผู้นี้น่าจะเชื่อใจได้
“ไปเถอะ เ้ากลับไปได้แล้ว”
“คุณหนู หากพรุ่งนี้คุณหนูสี่มาที่นี่จะทำอย่างไรเ้าคะ” จื่อเซียงกล่าวอย่างเป็กังวล
“เหอะ กลัวแต่นางจะไม่มามากกว่า”
เดินไปได้สองก้าว จู่ ๆ ก็มีเสียง “ตึง” ดังขึ้น มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกเหมือนมีของชิ้นหนึ่งร่วงจากชุดของนาง
ครั้นได้ยินเสียงดังกล่าว มู่อวิ๋นจิ่นก็ย่อตัวลงหยิบจี้หยกขาวพระจันทร์ชิ้นหนึ่งขึ้นมา ตลอดชิ้นอาบไล้ด้วยรัศมีสีหยกขาว ทำให้ราตรีมืดมนอันเงียบสงัดพลันปรากฏแสงสว่างขึ้น
มองผ่านรัศมีหยกขาว จะเห็นอักษรที่สลักอยู่บนจี้หยกสองตัวเป็คำว่า “อวิ๋นจิ่น”
มู่อวิ๋นจิ่นพินิจจี้หยกชิ้นนี้ เนื้อหยกใสกระจ่าง เจียระไนอย่างประณีต ดูท่าคงเป็หยกชั้นเลิศ
“นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าที่ตัวข้าจะมีของมีค่าแบบนี้อยู่ด้วย” มู่อวิ๋นจิ่นหัวเราะเย้ยหยันตนเอง