ด้วยความหน้าหนาของหลันซินหยูจะต้องคิดหาวิธีให้ท่านพ่อแต่งนางอย่างสุดความสามารถแน่นอน ผนวกกับมีเหล่าไท่ไท่คอยให้ท้ายสนับสนุน แม้บิดาไม่เห็นด้วย พวกนางก็ต้องสรรหาเหตุผลนับร้อยพันให้ท่านพ่อยอมรับจนได้ นี่ต่างหากคือสาเหตุที่ทำให้นางหงุดหงิดอยู่ในยามนี้ เงามืดของชาติก่อนยังคงทิ้งรอยไว้
โม่เสวี่ยถงคิดใคร่ครวญเงียบๆ ชาติที่แล้วไม่ใช่ว่าหลันซินหยูหรือโม่เสวี่ยิ่เฉลียวฉลาดมากมายนักหรอก แต่เพราะตนเองโง่งมเกินไปต่างหาก ถูกความรักบังตาจนคิดว่าสองแม่ลูกฟางอี๋เหนียงเป็คนดี หลงเชื่อว่าซือหม่าหลิงอวิ๋นรักนางจริง ดังนั้นจึงเดินเข้าสู่ขุมนรกด้วยตนเองทีละก้าว
เมื่อเห็นปิ่นโตอาหารยามนี้ ก็นึกถึงชาติก่อน ความะเืใจนับหมื่นพันจึงสาดซัดอยู่ในห้วงอารมณ์
“คุณหนูเป็อะไรเ้าคะ ไม่สบายหรือเปล่า จะให้ท่านหมอมาดูอาการหน่อยหรือไม่” โม่เยี่ยรู้สึกได้ว่าวันนี้เ้านายของตนมีท่าทางผิดปรกติ เมื่อครู่ที่โม่หลันอธิบายนางก็รู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มขมเฝื่อนที่ริมฝีปากของโม่เสวี่ยถงยามนี้ก็อดใจไม่ไหว เอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“ไม่เป็ไรหรอก แค่อยากดูว่าวันนี้มีอะไรกินบ้าง คุณหนูหลันเตรียมอาหารพิเศษมาให้พวกเราด้วยหรือไม่” เมื่อปล่อยวางความคิดได้แล้ว โม่เสวี่ยถงก็ลุกขึ้นเดินมาดูอาหารที่โม่อวี้กำลังจะจัดวางบนโต๊ะ แล้วเลียบเคียงถามอย่างอ้อมค้อม
“คุณหนูทายถูกจริงๆ ด้วย ช่างเฉลียวฉลาดนัก” โม่อวี้วางเตาอุ่นมือลงแล้วอุทานอย่างตื่นตะลึง พลางหยิบน้ำแกงออกมาจากปิ่นโตชั้นล่างสุด “นี่เรียกว่าน้ำแกงหลัวซ่ง[1] คุณหนูหลันได้ยินว่าคุณหนูร่างกายอ่อนแอ ทั้งยังเบื่ออาหาร จึงลงครัวทำอาหารด้วยตนเอง และยังกล่าวด้วยว่าหากคุณหนูชอบ พรุ่งนี้จะทำมาให้อีกเ้าค่ะ”
หลันซินหยูคิดประจบเอาใจตนเองจริงๆ ตัวเพิ่งมาถึงจวนโม่ หนำซ้ำยังไม่ได้พบกันอย่างเป็ทางการก็ลงครัวทำอาหารให้แล้ว แบบนี้อย่างไรเล่าจึงจับซือหม่าหลิงอวิ๋นได้อยู่หมัด
“เอาล่ะ วางไว้ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวพวกเราทุกคนมาช่วยกันชิม ดูว่าฝีมือของคุณหนูหลันเป็อย่างไร” โม่เสวี่ยถงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่โม่หลันส่งน้ำปรุงหอมให้ หลังจากล้างมือเสร็จแล้วก็นั่งลง “โม่เยี่ย เ้าไปดูว่าที่เรือนของท่านพ่อมีน้ำแกงของคุณหนูหลันหรือไม่”
“เ้าค่ะ” โม่เยี่ยรับคำสั่งแล้วเลิกม่านขึ้นเดินออกไป ไม่นานก็กลับมารายงานว่าโต๊ะอาหารของนายท่านก็มีน้ำแกงหลัวซ่งชามหนึ่ง ทั้งยังบอกด้วยว่านายท่านมีงานต้องรับผิดชอบมากมาย น้ำแกงชามนี้ช่วยให้สมองสดชื่นกระฉับกระเฉง
“น้ำแกงนี้ช่างวิเศษนัก บำบัดได้สารพัดโรค คิดอะไรล้วนได้ทั้งสิ้น” โม่อวี้โค้งเอวพลางยิ้มหยอก
“ก็นั่นน่ะสิ คุณหนูหลันไม่คิดว่าตนเองเป็คนนอกเลย เพิ่งมาอยู่ที่นี่แท้ๆ ก็ประจบประแจงทั้งนายท่านทั้งคุณหนูของพวกเราแล้ว” โม่หลันกล่าวพลางยิ้มหัว
“จวนของพวกเราพิเศษกว่าที่อื่น ไม่เคยเห็นผู้ใดเป็คนนอกเลย ไม่ใช่แค่คุณหนูหลันคนเดียวเสียหน่อย” เสียงโม่เยี่ยกล่าวแทรกขึ้นมา โม่หลันและโม่อวี้จึงหันไปมอง “เมื่อครู่บ่าวเห็นว่าที่ท่านเขยคนใหม่เดินไปทางเรือนของคุณหนูใหญ่ หากไม่รู้มาก่อนว่านั่นคือคู่หมั้นของคุณหนูสี่ บ่าวยังนึกว่าเป็คู่หมั้นของคุณหนูใหญ่เสียอีก”
“ใครหรือ?” โม่อวี้กะพริบตาปริบๆ รีบถามด้วยความอยากรู้
“จะเป็ใครได้ ก็เจิ้นกั๋วโหวซื่อจื่อผู้นั้นอย่างไรเล่า ข้าเห็นโม่ซิ่วพาเขาเดินไปทางเรือนฝูฉิงของคุณหนูใหญ่ จึงตามไปดูก็เห็นพวกเขาเข้าไปจริงๆ ไม่ผิดแน่นอน” โม่เยี่ยตอบพลางอมยิ้ม
โม่เสวี่ยิ่ยังแก้ปัญหาของตัวเองไม่ได้ แล้วไปตามซือหม่าหลิงอวิ๋นมาทำไม? โม่เสวี่ยถงวางตะเกียบลง หยิบผ้ามาเช็ดปากหัวเราะเยาะหยันในใจ ดูท่าสตรีผู้นั้นคงนั่งไม่อยู่แล้วล่ะสิ
แต่แบบนี้ก็ดี ่นี้โม่เสวี่ยิ่ก็ถูกบีบจนเกือบหมดหนทางแล้ว ดูซิว่านางจะเดินหมากอย่างไรต่อไป ยิ่งรีบร้อนก็ยิ่งว้าวุ่น ยิ่งว้าวุ้นก็ยิ่งเกิดความผิดพลาดได้ง่าย
เช้าวันต่อมา โม่เสวี่ยถงไปคารวะเหล่าไท่ไท่ เมื่อไปถึงบ่าวไพร่แต่ละคนในเรือนดูกระตือรือร้นกว่าปรกติ สาวใช้ที่เลิกม่านให้ยิ้มกล่าวประจบประแจง “คุณหนูสามมาแล้ว เชิญเข้าไปด้านในเลยเ้าค่ะ เหล่าไท่ไท่คอยอยู่พอดี เมื่อครู่ยังบ่นถึงอยู่ว่าสุขภาพของคุณหนูจะดีขึ้นหรือยัง อากาศหนาวเช่นนี้ คุณหนูร่างกายอ่อนแอต้องระมัดระวังเป็พิเศษ”
โม่เสวี่ยถงยังไม่ทันเอ่ยตอบ ก็มีเสียงกล่าวอย่างสนิทสนมแทรกขึ้นมาก่อน “เสี่ยวเหลียน ไปยืนคุยกับคุณหนูสามที่หน้าประตูเยี่ยงนั้นได้อย่างไร ไม่รีบเชิญเข้ามาก่อน ข้างนอกอากาศหนาวจัด เดี๋ยวคุณหนูสามจะไม่สบายได้”
“เ้าค่ะ คุณหนู” สาวใช้ที่ชื่อเสี่ยวเหลียนรีบให้ทางแล้วเชิญโม่เสวี่ยถงเข้าไป แล้วคุกเข่ากล่าวขออภัย “คุณหนูสาม บ่าวเซ่อซ่าไม่รู้จักคิด รีบเข้ามาเถิดเ้าค่ะ คุณหนูของพวกเรารอคุณหนูสามอยู่นานแล้ว”
เสี่ยวเหลียน? สาวใช้ประจำตัวของหลันซินหยู? โม่เสวี่ยถงกวาดตามองสาวใช้ที่วางท่าอ่อนน้อมอยู่ข้างกายปราดหนึ่ง เหลียนเอ๋อร์... ไฉนตนเองจะจำไม่ได้เล่า ก็วันที่อากาศหนาวจนเป็น้ำแข็งวันนั้น นางเป็คนสาดน้ำเย็นออกมาอย่างแรง ทั้งตนเองและโม่อวี้ต่างตัวเปียกปอน สายลมจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือดั่งคมมีดน้ำแข็งที่กรีดผิวเนื้อให้ปริแตก พวกนางหนาวจนสั่นสะท้านไปทั้งตัว
หลันซินหยูอุ้มเตาอุ่นมือไว้แนบอก คลุมร่างด้วยเสื้อขนสัตว์หนานุ่มตัวใหญ่ ยืนนำสาวใช้กลุ่มหนึ่งหัวเราะเยาะ พูดจาถากถางตนเองต่างๆ นานาอยู่ใต้ชายคาระเบียง ความอัปยศและความหนาวเหน็บเยี่ยงนั้น นางจะลืมได้อย่างไร
เพียงแต่ชาติที่แล้วพวกนางวางท่าสูงส่ง ชาตินี้กลับต่ำต้อยถึงเพียงนี้...
วันนี้ผู้ที่ติดตามนางมาคือโม่เยี่ย ไม่ใช่โม่หลันผู้อ่อนโยนหรือโม่อวี้ผู้ระมัดระวังตัวอยู่เป็นิจ เมื่อเห็นสาวใช้ที่ชื่อเสี่ยวเหลียนอาศัยจังหวะที่เลิกม่านขึ้นยืนขวางอยู่ด้านหน้าโม่เสวี่ยถงก็รู้สึกไม่พอใจ บัดนี้เมื่อเห็นนางยังรู้จักเจียมตัว จึงค่อยสงบอารมณ์ลงได้
โม่เยี่ยเข้ามาประคองโม่เสวียถง แทรกตัวกันเสี่ยวเหลียนออกไป พลางแค่นเสียงเย็นใส่อย่างไม่นำพา ราวกับรู้ทันว่าเป็การเสแสร้งขอโทษเท่านั้น แล้วพาโม่เสวี่ยถงเข้าไปด้านใน ปล่อยให้อีกฝ่ายยืนหน้าแห้งอยู่หน้าประตู
ท่าทางไม่เห็นหัวคนและไม่มีความเกรงใจแม้แต่น้อยเยี่ยงนั้น ทำให้สาวใช้ประจำตัวของหลันซินหยูรู้สึกกระอักกระอ่วน จะค้อมกายก็ไม่ได้ จะยืนตรงก็ไม่ได้ใบหน้าแดงเห่อขึ้นมาทันที หลันซินหยูซึ่งแต่งกายงดงามสวมชุดกระโปรงยาวสีเขียวอ่อนยืนอยู่ข้างกายเหล่าไท่ไท่กลับหน้าซีด ส่วนเหล่าไท่ไท่ที่นั่งอยู่บนเตียงเตาสีหน้าพลันขรึมลง
“วันนี้น้องสามเป็อะไรไป หรือว่าใครทำให้หงุดหงิดอารมณ์เสีย จึงหน้าง้ำหน้างอต่อหน้าท่านย่าเช่นนี้ มีสิ่งใดไม่พอใจก็บอกมาเถิด ในจวนนี้ใครหนอช่างใจกล้ามายั่วโทสะน้องสาม จะได้ให้ท่านย่าช่วยจัดการเสียเลย” เสียงประชดประชันที่แฝงไปด้วยการตำหนิของโม่เสวี่ยเยี่ยนลอยนำมาก่อน นางนั่งอยู่บนเตียงเตาด้านขวามือของเหล่าไท่ไท่ อุ้มเตาอุ่นเล็กๆ ใบหนึ่งไว้แนบอก สีหน้าเต็มไปด้วยการเยาะหยันเสียดสี
โม่เสวี่ยเยี่ยนไม่ชอบโม่เสวี่ยถงเพราะเห็นว่านางหน้าตาสะสวยกว่าตนเอง สายตาที่จ้องมองเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา
โม่เสวี่ยถงย่อมเข้าใจความหมายของนาง ที่้าบอกว่าตนเองเป็เด็กไม่รู้จักเคารพกตัญญูต่อผู้ใหญ่ ต่อหน้าเหล่าไท่ไท่ยังชักสีหน้า เหล่าไท่ไท่ฟังคำแล้วก็ยิ่งไม่พึงพอใจ ถลึงตาใส่โม่เสวี่ยถงไม่พูดไม่จา จะว่าไปแล้วนางก็ไม่เคยรู้สึกดีกับธิดาสามของโม่ฮว่าเหวินอยู่แล้ว เดิมทียังรู้สึกว่าโม่เสวี่ยิ่ก็เป็เด็กฉลาดรู้ความคนหนึ่ง แต่ไม่คิดว่าจะเกิดเื่ใหญ่เช่นนั้นได้
ถึงตอนนี้ปัญหาก็มิใช่ว่าได้รับการสะสางอย่างเบ็ดเสร็จ แม้ตระกูลหลี่จะไม่ออกมาโวยวายหาเื่ โม่เสวี่ยิ่ก็ถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ภายในเรือน เื่ราวจึงปิดเงียบอยู่ แต่ใครจะรับรองได้ว่าเื่น่าอับอายนี้จะไม่ถูกแพร่งพรายออกไป ชื่อเสียงบุตรสาวของโม่ฮว่าเหวินจะเป็อย่างไรนางไม่ใส่ใจ แต่ชื่อเสียงของเยี่ยนเอ๋อร์หลานสาวที่น่ารักของนางจะให้ผู้อื่นทำลายไม่ได้เด็ดขาด
เหล่าไท่ไท่เองก็ไม่ทราบว่าเื่นี้โม่ฮว่าเหวินจัดการไปอย่างไร เพราะบุตรชายกล่าวเพียงว่ายังไม่ถึงเวลา แต่ได้ปรึกษาหารือกับใต้เท้าหลี่แล้ว รอให้เื่ซาไปก่อนค่อยมาคุยเื่แต่งงานอีกที บอกเหล่าไท่ไท่ว่าไม่ต้องวิตกกังวล นางย่อมรู้ว่าโม่ฮว่าเหวินกล่าวมามีเหตุผล ยามนี้จะให้โม่เสวี่ยิ่แต่งงานกับหลี่โย่วโม่ไม่ได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นชื่อเสียงของนางคงย่อยยับ วันนั้นผู้เห็นเหตุการณ์และได้ยินเื่ราว นอกจากหลี่โย่วโม่กับโหยวเยวี่ยเฉิงที่เพียงพูดคุยกันเบาๆ ก็ไม่น่าจะมีใครล่วงรู้ว่าสตรีที่ปรากฏตัวขึ้นที่หอเซียงหม่านโหลวคือโม่เสวี่ยิ่
แต่โม่ฮว่าเหวินก็ยังรู้สึกว่าเื่นี้ต้องค่อยเป็ค่อยไป รอให้พ้น่นี้ไปก่อน แล้วสกุลโม่กับสกุลหลี่ค่อยมาคุยเื่งานแต่งงานอีกครั้ง การตัดสินใจเช่นนี้เป็ผลดีต่อทั้งสองฝ่าย เพราะสกุลหลี่ก็ไม่อยากแต่งสตรีที่มีชื่อเสียงย่ำแย่เข้าจวนเช่นกัน
นอกเหนือจากหลี่โย่วโม่ผู้ที่ร่ำร้องจะแต่งโม่เสวี่ยิ่เข้าจวนให้ได้ท่าเดียว กับมารดาของท่านเสนาบดีที่ตามใจหลานจนเสียคน ก็มีท่านเสนาบดีผู้นี้ที่กระจ่างใจในเหตุผล และเข้าใจดีว่าเื่นี้รีบร้อนไม่ได้ ชื่อเสียงของทั้งสองฝ่ายคือสิ่งสำคัญที่สุด หลังจากเจรจากับโม่ฮว่าเหวินถึงจวนด้วยตนเองเรียบร้อย กลับมาก็บังคับให้หลี่โย่วโม่ร่ำเรียนวิชาอยู่แต่ในจวน แม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะร้องไห้ลั่นบ้านด้วยความสงสารหลานรักสักเท่าไรก็ไม่นำพา
โม่เสวี่ยิ่เกิดเื่ เหล่าไท่ไท่จะอยากเห็นหน้านางได้อย่างไร เมื่อครู่โม่เสวี่ยิ่มาคารวะก็ถูกปิดประตูใส่หน้าไม่ต้อนรับ ยามที่โม่เสวี่ยิ่เห็นว่าตนเองถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าไป นางกลับยิ้มแย้มยอมรับแต่โดยดี ไม่แสดงกิริยาท่าทางใดๆ ที่เป็การยั่วยุโทสะของเหล่าไท่ไท่แม้แต่น้อย จากนั้นจึงล่าถอยออกไป
ระหว่างพวกนาง คนหนึ่งเข้าคนหนึ่งออก แม้จะมิได้พูดคุย แต่กลับมองเห็นกันอยู่ไกลๆ และยังยิ้มให้กันเล็กน้อย จากนั้นก็ต่างคนต่างไป
คนที่รับมือยากยิ่งกว่าเหล่าไท่ไท่ ก็คือโม่เสวี่ยิ่ที่เก็บมือเก็บเท้าอยู่อย่างสงบเสงี่ยมผู้นี้เอง
“พี่รอง ถงเอ๋อร์จะกล้าชักสีหน้าใส่ท่านย่าได้อย่างไร แค่สาวใช้ไม่รู้จักธรรมเนียมมารยาท พูดสอดขึ้นมาต่อหน้าเ้านาย ข้างกายของท่านย่าไม่มีผู้อื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้วหรือ แค่นึกว่าท่านย่าขาดแคลนสาวใช้ที่รู้ความคอยปรนนิบัติก็รู้สึกเศร้าใจ สีหน้าจึงอาจไม่ดีไปบ้าง อีกประเดี๋ยวถงเอ๋อร์จะไปบอกท่านพ่อให้ช่วยจัดเตรียมคนมาปรนนิบัติท่านย่าเพิ่มอีกสักสองสามคน” โม่เสวี่ยถงยิ้มกล่าวกับเหล่าไท่ไท่อย่างนุ่มนวล เพียงแต่ในรอยยิ้มกลับแฝงไปด้วยความหมายลึกล้ำ
ในจวนโม่ยามนี้ผู้ที่มีฐานะสูงสุดย่อมเป็เหล่าไท่ไท่ หากมีสาวใช้ที่ออกตัวเกินหน้าเกินตาเ้านายแบบนี้ อย่าว่าแต่ตัวสาวใช้ผู้นั้นเอง แม้แต่คุณหนูผู้เป็นายก็พลอยถูกคนดูิ่ไปด้วย การปล่อยให้คนของตนแสดงพฤติกรรมเหิมเกริมไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเยี่ยงนี้ มิใช่วิสัยของธิดาตระกูลสูงพึงกระทำ
แม้ว่าหลันซินหยูจะหน้าหนาเพียงใด ยามนี้ก็หน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย ครานี้นางเตรียมใจมาแล้ว หากโม่เสวี่ยถงไม่สนใจนางก็ต้องพึ่งพาคนที่สูงกว่า นางกับเหล่าไท่ไท่มีความคิดเห็นพ้องกัน การมาครั้งนี้มิได้เตรียมมาเพื่อถอยกลับ ตนเองจะต้องเป็นายหญิงของจวนโม่ให้ได้
แต่การจะเป็นายหญิงของจวนโม่ ด่านแรกจะต้องผ่านโม่เสวี่ยถงให้ได้ก่อน ได้ยินมาว่านางเป็เด็กสาวที่เคยถูกทอดทิ้ง หากเป็เมื่อก่อนหลันซินหยูก็คงไม่ยอมลดตัวลงมาเอาอกเอาใจโม่เสวี่ยถงถึงเพียงนี้ แต่สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว ท่านอาบอกว่าเด็กคนนี้กลายเป็แก้วตาดวงใจของโม่ฮว่าเหวิน ไม่อาจล่วงเกินได้เป็อันขาด
“น้องสามเข้าใจผิดไปแล้ว ท่านย่ามิได้ขาดคนปรนนิบัติเสียหน่อย กลับมากไปด้วยซ้ำ ดูสิ นี่ใคร? ท่านอาซินหยูมาแล้ว เพิ่งมาถึงก็มาปรนนิบัติท่านย่าด้วยตนเอง ทั้งยังสั่งให้สาวใช้คอยติดตามดูแลท่านย่าตลอดเวลา เพราะเกรงว่าจะขาดตกบกพร่องดูแลไม่ดี” แม้ว่าโม่เสวี่ยเยี่ยนจะฝีปากกล้าแค่ไหน แต่ก็รู้ว่าครานี้โม่เสวี่ยถงกล่าวถูกทุกคำ นางกลอกตารอบหนึ่งก่อนเปลี่ยนเื่หันไปแนะนำหลันซินหยูที่ยืนอยู่ด้านข้าง
เมื่อได้ยินโม่เสวี่ยเยี่ยนเอ่ยถึงตนเอง หลันซินหยูก็รีบปรับสีหน้าส่งรอยยิ้มอบอุ่นออกมา ก่อนเดินเข้าไปจับมือโม่เสวี่ยถงและกล่าวอย่างสนิทสนม
“โถๆ อาก็นึกอยู่ว่าใคร ใแทบแย่ ที่แท้ก็คุณหนูสามนี่เอง ยิ่งโตหน้าตาก็ยิ่งสะสวย อีกสองปีหญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงไม่แคล้วต้องเป็คุณหนูสามสกุลโม่แน่นอน สง่างามโดดเด่นถึงเพียงนี้ คุณหนูคนอื่นๆ หรือจะเทียบเทียมได้”
หลันซินหยูแสดงท่าทางอบอุ่นเป็กันเองราวกับสนิทสนมกับโม่เสวี่ยถงเป็อย่างยิ่ง แม้เบื้องหน้าจะเป็การแสดงความชื่นชม แต่แท้จริงแล้วกำลังค่อยๆ เลื่อนระดับความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดขึ้น
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดว่าตัวเองเป็อาแท้ๆ ของนางไปแล้วหรือไร ขนาดถูกโม่เยี่ยตอกหน้าไปขนาดนั้น ยังหน้าด้านหน้าทนได้ขนาดนี้
โม่เสวี่ยถงรู้ว่าแค่ตนเองเรียกหลันซินหยูว่าท่านอาสักคำ ต่อไปอีกฝ่ายก็จะอาศัยสถานะท่านอาของนางเข้ามาอยู่ในจวนโม่อย่างเปิดเผย แม้ว่าเหล่าไท่ไท่จะกลับไปแล้ว นางก็ยังถือสิทธินี้อยู่ต่อได้
เห็นว่าตนเองยังเด็กไม่อาจปฏิเสธผู้อื่นได้ล่ะสิ แต่เกรงว่าความตั้งใจของนางคงจะสูญเปล่าแล้ว
โม่เสวี่ยถงยกยิ้มบางเบา ค่อยๆ ดึงมือของตนเองออกอย่างเมินเฉย แล้วเดินไปหาเหล่าไท่ไท่ย่อกายคารวะอย่างนอบน้อม “คารวะท่านย่าเ้าค่ะ วันนี้ท่านย่าสบายดีหรือไม่ อีกประเดี๋ยวค่อยเรียกท่านหมอมาตรวจดูอาการอีกครั้ง ท่านพ่อเป็ห่วงอาการเจ็บป่วยของท่านย่าจนกินไม่ได้นอนไม่หลับมาสองวันแล้ว”
นางตั้งใจปล่อยให้หลันซินหยูยืนหน้าซีดอยู่ที่นั่น หลังจากผ่านวายุคาวโลหิตมาแล้วชาติหนึ่ง โม่เสวี่ยถงก็มิใช่สาวน้อยผู้เป็พลับนิ่มคนเดิมอีกแล้ว
“แม่หนูถงช่างกตัญญูยิ่งนัก ย่าดีขึ้นมากแล้ว แม้จะอ่อนเพลียอยู่บ้าง แต่อีกประเดี๋ยวบิดาของเ้ามาก็คิดจะบอกเขาว่าหายแล้ว เขาเองก็งานยุ่งยังต้องมาดูแลคนแก่อย่างข้าอีก แม่หนูถงมาก็ดีแล้ว นี่คือท่านอาซินหยูของเ้า คงจะเคยพบกันแล้วกระมัง” เมื่อเห็นโม่เสวี่ยถงทำท่าไม่แยแสต่อหลันซินหยู เหล่าไท่ไท่ก็พยายามระงับโทสะในหัวใจ สีหน้ายังคงแย้มยิ้มด้วยความเมตตา ชี้ไปที่หลันซินหยูที่ยังยืนเก้อกระดากอยู่ที่เดิม ทว่าเบื้องลึกในแววตาฉายแววขุ่นเคือง
รอให้หลานสาวของนางขึ้นเป็ฮูหยินใหญ่ของจวนโม่ได้ก่อน คิดจะจัดการเด็กสาวผู้นี้อย่างไรก็ย่อมได้ ตอนนี้ยัง้าให้นางยอมรับ ขอเพียงเด็กสาวผู้นี้เปิดทางให้ หลานสาวของนางก็ย่อมเข้ามาอยู่ในจวนนี้ได้โดยสะดวก เหล่าไท่ไท่คิดจะให้โม่ฮว่าเหวินแต่งธิดาของตระกูลฝ่ายมารดาตนเข้าจวนมาโดยตลอด แต่คิดไม่ถึงว่าปีนั้นยังไม่ทันที่นางจะคัดเลือกใคร โม่ฮว่าเหวินกลับตัดสินใจเลือกลั่วเสียไปแล้ว ด้วยอำนาจของจวนฝู่กั๋วกง ผนวกกับนางมีฐานะเป็เพียงมารดารองของโม่ฮว่าเหวิน มิใช่บ้านเอก จึงไม่มีสิทธิทัดทานใดๆ ทั้งสิ้น
งานแต่งครั้งนั้นมิใช่คราวของนางที่จะเอ่ยคำว่าไม่!
ด้วยเหตุนี้ นางจึงไม่ค่อยมาจวนโม่บ่อยครั้งนัก แต่ทุกครั้งที่มาก็มักจะกลั่นแกล้งลูกสะใภ้ผู้นี้อยู่เป็ประจำ นอกเหนือจากเื่สุขภาพที่ไม่ค่อยแข็งแรง อุปนิสัยของลั่วเสียนับว่าดียิ่ง เพราะโม่ฮว่าเหวินเคารพต่อเหล่าไท่ไท่ นางจึงไม่กล้าต่อต้านอันใด และไม่เคยใช้สถานะคุณหนูใหญ่จวนฝู่กั๋วกงมาข่มเหล่าไท่ไท่เลยสักครั้ง เมื่อโม่ฮว่าเหวินรู้ว่าเหล่าไท่ไท่กลั่นแกล้งให้ลั่วเสียลำบากใจ ก็มักจะมาพูดแทนภรรยาทั้งทางตรงและทางอ้อม
คิดไม่ถึงว่านั่นกลับทำให้เหล่าไท่ไท่ยิ่งโมโหหนัก ภายในใจคิดจะบีบคั้นข่มเหงลั่วเสียให้ตาย แต่เื้ัของสะใภ้ผู้นี้แข็งแกร่งยิ่ง ไม่ใช่ว่านางจะลงมือได้ง่ายๆ ในที่สุดก็ตัดสินใจถอยออกมา แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานถึงเพียงนี้ แต่ความไม่พอใจในตัวลั่วเสียก็ยังคงฝังแน่นอยู่ในอก ยามที่เห็นโม่เสวี่ยถงมีหรือจะรู้สึกชอบพอสักนิด
ตอนนี้ลั่วเสียไม่อยู่แล้ว ความคิดของนางมีเพียงหนึ่งเดียวคือจะต้องให้โม่ฮว่าเหวินแต่งหลานสาวของนางคนนี้เข้าจวนให้ได้
……………………………………………………………………………………………………...
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] น้ำแกงหลัวซ่ง หรือซุปเปรี้ยวรัสเซีย เป็ซุปผักทำจากแครอท เนื้อวัว มันฝรั่ง มะเขือเทศและหัวหอมใหญ่