และผมยังไม่ทันตั้งตัว ร่างของผมก็ถูกดูดไปยังสถานที่หนึ่ง ในสถานีตำรวจสมัยปี พ.ศ.2515 คุณภูมิพลเดินทางมาถึงที่ทำงานด้วยท่าทางอิดโรย เขาทิ้งกายลงนั่งเงียบ ๆ เหมือนคิดอะไรในใจ ที่ไม่อาจหาทางออกได้ ก่อนเสียงของตำรวจชั้นผู้น้อยเดินเข้ามาแล้วเอ่ยทัก
“ผู้กองครับ คุณพรรณีมา” ดวงตาเขาลุกวาว ท่าทีเหนื่อยหน่าย เมื่อครู่หายไปในพริบตา ก่อนร่างของหญิงสาวจะเดินเข้ามาพร้อมกับปิ่นโตในมือ
“วันนี้ฉันทำอาหารเช้ามาให้ค่ะ ตามสัญญา” เขายิ้มแล้วเอื้อมมารับปิ่นโตจากมือของพรรณีพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะหันไปยังตำรวจผู้น้อย แล้วส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายออกไป เพื่อจะใช้เวลาส่วนตัวอยู่กับพรรณี
‘ที่ไม่กินข้าวบ้าน ไม่ใช่เพราะข้าวเย็นชืด แต่เพราะแท้จริงแล้ว คุณกำลังรออาหารจากคนอื่นต่างหาก’ ผมพยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ อย่างเข้าใจ พร้อมกำมือแน่น มยุราคนเก่าทั้งอ่อนแอ ไม่ทันโลก แต่สำหรับผมไม่ใช่! ผู้ชายเลว ๆ อย่างภูมิพลควรได้รับกรรมอย่างสาสม
ผมยืนมองเขาเปิดปิ่นโต แล้วตักกินพร้อมรอยยิ้มมีความสุข สายตาที่เขามองพรรณี เป็สายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก แตกต่างจากสายตาที่มองมยุราอย่างสิ้นเชิง...
ผมค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นบนเตียงคนไข้ดังเดิม พร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาท่วมหมอน แน่นอน เมื่อรู้ฐานะของมยุราแล้วว่าเธอเป็ใคร ความรู้สึกที่อยากเปลี่ยนหมอในตอนแรกกลับกลายหายไป แปรเปลี่ยนเป็อยากให้เขาเป็หมอประจำตัวผมต่อไป...
อย่างที่บอก ชาตินี้นิสัยผมเป็คนเทา ๆ อยู่แล้ว และใครที่เคยทำอะไรผมไว้ คนคนนั้นต้องชดใช้เป็ร้อยเท่า
ฝีเท้าของคุณหมอนาวินเดินเข้ามาหาผมเหมือนในทุก ๆ วัน ก่อนจะมองผมแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่น แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมลุ่มหลงเลยแม้แต่น้อย กลับกัน...เขา!คือเป้าหมายหลักที่ผมต้องเอาคืน
“ฝันร้ายอีกแล้วเหรอครับ” คำถามของเขาทำให้ผมนิ่งไม่ตอบ ก่อนเขาจะหันไปยังพยาบาลที่เพิ่งเดินตามเข้ามา
“บอกให้แม่บ้าน เปลี่ยนผ้าปูเตียงและหมอน ให้คุณอาคิราห์ด้วย”
“ค่ะ” หลังจากพยาบาลรับคำ ผมหันมองไปยังปลอกหมอนที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า แค่ผมกลับไปเห็นเื่ราวเก่า ๆ ในอดีตเพียงเศษเสี้ยว ยังเ็ปและมีน้ำตามากขนาดนี้ และมยุราในตอนนั้น เธอต้องเ็ปกับความรักโง่ ๆ ที่มอบให้เขาเท่าไร ความรักที่เขาไม่เคยเห็นค่า มองข้ามอย่างไร้ความหมาย น้ำตาของเธอนับรวมแล้วคงมากมายกว่านี้หลายเท่า
ระหว่างที่เริ่มทำการกายภาพ ผมมองคุณหมอนาวินพร้อมความคิดมากมายผุดขึ้นมา จนลืมไปว่าร่างกายก็ตอบสนองไปพร้อมกับความคิดเช่นกัน รู้ตัวอีกที เขาก็ค่อย ๆ แกะมือผม ที่กำแน่นอยู่ให้คลายออกช้า ๆ
“จะเริ่มการกายภาพแล้ว ทำตัวให้ผ่อนคลาย อย่าเกร็งมือแบบนี้” ผมเลื่อนสายตามองมือตัวเองที่กำแน่นเพราะความคับแค้นใจที่มีต่อเขาในอดีต แล้วยอมคลายมือตามแรงของคุณหมอช้า ๆ ระหว่างนั้นเสียงเปิดประตูดังขึ้น ทำให้ผมหันมองไป พบกับคุณพ่อและคุณแม่เดินเข้ามาหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พวกเขาเอ่ยทักทายกันด้วยความสนิทสนม ด้วยเพราะคุณหมอนาวินเป็แพทย์ประจำตัวของคุณปู่ธลากร ย่อมคุ้นเคยกันเป็เื่ปกติ ก่อนคุณแม่จะเดินเข้ามาหา แล้วยกมือลูบศีรษะผมด้วยความรัก
“คุณหมอนาวิน บอกว่าลูกมีเื่จะคุยกับแม่งั้นเหรอ?” ผมหันหน้าไปหาเขา ที่ยืนนิ่งอยู่ไม่ไกลนัก
“คุณอาคิราห์ ยืนยันกับหมอสองครั้งแล้ว ว่าจะเปลี่ยนหมอประจำตัว” เขาชิงพูดก่อน ทั้งที่ผมเพิ่งคิดเปลี่ยนใจไปแล้วแท้ ๆ ก่อนแม่จะหันไปหาพ่อ แล้วแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา
“เปลี่ยนหมอ เปลี่ยนทำไมล่ะลูก คุณหมอนาวินเป็แพทย์ที่เก่งมาก รักษาอาการของคีย์มาขนาดนี้ ทำไมต้องเปลี่ยน รู้หรือเปล่า ว่าคุณหมอต้องสละเวลาแค่ไหน ความจริงแล้วการกายภาพให้คีย์ ไม่ใช่หน้าที่ของคุณหมอด้วยซ้ำ แต่เพราะว่าแม่ขอร้องคุณหมอไว้ อย่าเื่มากนะคีย์!” ปลายเสียงสุดท้ายเข้มขึ้น ทำให้ผมรู้ว่าคุณแม่อาจไม่พอใจ ผมหันไปยังคุณหมอนาวินที่ยืนอยู่เขาไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมาจนกระทั่งผมเอ่ยขึ้น
“ผมไม่ได้คิดเปลี่ยนหมอจริง ๆ ก็แค่พูดเล่น” ด้วยความมือไวของแม่ ที่รู้นิสัยผมมาั้แ่เด็ก เอื้อมมาหยิกผมในทันทีด้วยความเอือมระอา
“ใช่เื่จะพูดเล่นไหม เพราะคีย์คนเดียวนะ คุณหมอต้องสละเวลามากขนาดไหน ใช่เื่พูดเล่นเหรอ ไม่ได้เหมือนพี่เลี้ยงสมัยเด็ก ๆ น่ะ ที่เวลาไม่พอใจก็สั่งให้คุณปู่เปลี่ยนเป็ว่าเล่น แต่นี่คือคุณหมอ ที่รักษาชีวิตของคีย์ไว้” ผมหันมองไปยังคุณหมอนาวินอีกครั้ง คราวนี้ผมว่า ผมไม่ได้ตาฝาดที่เห็นเขาแอบยิ้มระหว่างที่ผม โดนคุณแม่ต่อว่าอยู่
“เมื่อวานตอนบ่ายผมพาคุณอาคิราห์ไปสูดอากาศด้านนอก เขาได้พบกับ คุณพรรณี ลูกสาว สส.พิชัย เธอมาหาผมครับ” แม่ผมนิ่งอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก เพราะพยายามกันตัวไม่ให้ผมกับ พรรณีเจอกันมาตลอด แต่คุณหมอก็ไม่ปล่อยให้ความสงสัยของแม่เกิดขึ้นนานเกินไป เขารีบอธิบายต่อทันที
“แต่ไม่ใช่อย่างที่ทุกคนเข้าใจ ทุกอย่างเป็ความ้าของคุณพ่อ ไม่เกี่ยวกับผม” คราวนี้จากที่แม่ผมไม่มีความมั่นใจ ก็รีบหันไปหาคุณพ่อทันที ทั้งสองมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ
“หมอช่วยอธิบายให้มากกว่านี้หน่อยได้ไหม”
“ผมกับคุณพ่อ เราไม่ได้อยู่ด้วยกันหลายปีแล้วครับ ผมแยกออกมาอยู่ข้างนอกคนเดียว สำหรับพรรณี เธอไม่ใช่คนของผม แต่เป็คนของคุณพ่อ” ผมหันมองไปยังคุณแม่ ทำไมจะไม่รู้ว่าท่านเองก็สับสน และเริ่มไม่ไว้ใจ
“คุณวิภาวี จะเปลี่ยนหมอก็ได้นะครับ ผมยินดี” คุณหมอนาวินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ ไม่รู้สิ คำพูดของเขา แฝงไปด้วยความมั่นใจว่า คุณแม่ไม่มีทางเปลี่ยนหมอ แววตามั่นใจคู่นั้นผมคุ้นเคยดี
“เอาไงคุณ!” แม่ผมหันไปหาคุณพ่อ ท่านเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบกลับ
“จริง ๆ แล้ว คีย์มันก็อาการดีขึ้นมาก เหลือแค่กายภาพนิด ๆ หน่อย ๆ เรารบกวนเวลาของคุณหมอมากแล้ว เปลี่ยนหมอตามความ้าของคีย์ก็ได้” แม่ผมนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วหันกลับมายังผม
“ตกลงเอาไง จะเปลี่ยนคุณหมอไหม? ที่ว่าพูดเล่นน่ะ จริงหรือเล่นเอาดี ๆ” นั่นไง ผมบอกแล้วว่าคนที่ใหญ่สุดในบ้านไม่ใช่แม่ แต่เป็ผมต่างหาก ผมหันไปยังเขา เื่อะไรจะปล่อยคนร้ายกาจอย่างเขาไปง่าย ๆ อะไรที่เคยทำไว้กับผมในอดีต จะเอาคืนเป็ร้อยเท่า
“ผมบอกแล้วว่าแค่พูดเล่น ไม่คิดเปลี่ยนจริง ๆ ซะหน่อย ทำเป็เื่ใหญ่ไปได้”
“คุณหมอคะ ถ้างั้นฉันขอเื่เดียว อย่าให้พรรณี มาเจอกับลูกชายของฉันอีก เื่คดีความยังไม่เสร็จค่ะ ฉันอยากเอาผิดคนที่ชนคีย์เต็ม ๆ ขอโทษด้วยนะคะ หากความ้าของฉันอาจกระทบความสัมพันธ์ของคุณหมอกับเพื่อน”
“ผมรับปาก ว่าจะไม่ให้เธอ มาเจอคุณอาคิราห์อีก”
“ขอบคุณค่ะ” ว่าแล้วคุณแม่กับคุณพ่อก็เตรียมเบี่ยงตัวเดินออกจากห้องไป
“แม่ครับ” ผมเรียกแม่เบา ๆ
“มีอะไร”
“เื่ของพรรณี ความจริงแล้วแม่ไม่ต้องกีดกันเธอก็ได้ ในเมื่อผู้หญิงคนนี้มีเงินเยอะมากนัก ก็เรียกค่ารักษา ค่าทำขวัญ เรียกทุกอย่างให้คุ้มกับสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนจะให้เธอเข้าคุกนั้น ผมมองว่าเราต้องหาหลักฐานอีกนาน จะทำให้พ่อกับแม่เสียเวลาเปล่า ๆ และโอกาสที่เธอจะเข้าคุกก็ยากมาก ๆ เหมือนกัน”
“แต่มันทำกับคีย์ ทำให้คีย์เกือบตาย ถ้าคีย์ตายไปจริง ๆ แล้วแม่จะอยู่ยังไง มันต้องเข้าคุกสิ” คุณแม่เอ่ยแย้งทันที ด้วยความรักที่มีให้ผมอย่างเต็มเปี่ยม
“แต่ตอนนี้ผมก็ปลอดภัยดีแล้ว แม่ดูสิ ผมเกือบจะหายดีแล้ว เอาเวลาที่มีไปดูแลโรงแรมของเราดีกว่า เชื่อผมเถอะนะ” ผมพูดจบ แม่ก็หันตัวเดินจากไป ไม่รู้หรอกว่าแม่ผมจะยอมหยุดไหม แต่ผมคนหนึ่งไม่หยุดแน่ ๆ ชาตินี้พรรณีขับรถชนผมเกือบเอาชีวิตไม่รอด เธอต้องชดใช้เหมือนกัน ชดใช้ไปพร้อม ๆ กับคุณหมอนาวิน...
ขณะที่ผมกำลังกายภาพอยู่นั้น ความคิดบางอย่างของผมก็ผุดขึ้นมา ทำให้ผมหันไปยังเขา ใบหน้าของคุณภูมิพลก็ลอยเข้ามาแทรก เขาเป็ผู้ชายที่ใจร้ายมากที่สุด เป็คนใจดำที่ไม่ควรกลับมาเกิดเป็คนด้วยซ้ำ
“จ้องมองผมนาน ๆ แบบนั้นคิดอะไรอยู่” เขาไม่ถามเปล่า แต่หันใบหน้าหล่อเหลามองตรงมา ผมพยายามกลั้นน้ำตาไว้แล้วฝืนยิ้ม
“ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ผมอยากรู้เื่ส่วนตัวของหมอบ้างได้ไหม”
“เราสนิทกันั้แ่เมื่อไร?” เขายังคงเว้นระยะห่าง หากเป็เมื่อก่อนผมอาจไม่สนใจ แต่ตอนนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมแล้ว อะไรที่เขาเคยทำไว้กับผม ผมจะสนองกลับคืนเป็ร้อยเท่า ซึ่งคนเทา ๆ อย่างผมถนัดมาก
“ตอนนี้ยัง แต่ต่อไปอาจไม่แน่ คุณหมอบอกว่าต้องไปเยี่ยมอาการคุณปู่ที่บ้านเดือนละสองครั้ง ยังไงเราก็ต้องได้พบกันบ่อย ๆ”
“คุณคิดอย่างนั้นเหรอ?” ผมพยักหน้า แล้วนึกบางอย่างได้จึงเอ่ยขึ้น
“จริงสิกับพรรณี ถ้าหมอไม่ชอบ ผมขอนะ” เขายิ้มเล็กน้อย ดันกายผมนอนลงบนเตียงพลางยกผ้าห่มขึ้นคลุมให้เบา ๆ ก่อนมองตรงมาแล้วตอบกลับ
“รักษาตัวเองให้หายดีก่อน เื่อื่นค่อยคิดทีหลังก็ได้”
“คุณหมอมีเวลามากมายในการรักษาผม แล้วคนไข้คนอื่นล่ะ ได้ทุ่มเทแบบนี้ไหม หรือว่ารักษาแค่คนที่บ้านรวย?” คำพูดของผม ทำให้มือที่กำลังจับผ้าห่มของเขาชะงักนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนที่เขาจะดึงปลายผ้าให้เข้าที แล้วพูดเสียงเรียบ
“ผมรักษาทุกคนตามหน้าที่” เขาพูดจบก็เบี่ยงกายเดินออกจากห้องไป ผมที่นอนอยู่ได้แต่มองตาม พร้อมความรู้สึกคุกรุ่นที่อบอวลอยู่ภายใน แน่นอนว่าเขาเป็คนช่วยชีวิตให้ผมรอดพ้นจากความตาย แต่ใครขอร้องล่ะ? ในเมื่อผมไม่ตาย และเขาก็ดูมีความสุขดีกับพรรณี ผมไม่ปล่อยให้เวลานับจากนี้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์