"เหลียนเซวียน ทะ... ท่านรออยู่ตรงนี้ อย่าขยับเลยนะ"
ดึกมากแล้ว ท้องฟ้ามืดสนิทไร้จันทราและดารา ในป่ารกชัฏยื่นมือไปข้างไม่เห็นทั้งห้านิ้ว
แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวคือคบไฟจากมือของเหลียนเซวียน ยามนี้สายลมเย็นะเืโชยแ่คล้ายมีคล้ายไม่มี รัตติกาลมืดมิดน่าสะพรึงกลัวอย่างประหลาด
ขาทั้งสองเซวียเสี่ยวหรั่นสั่นระริก เดินเข้าไปในพงป่าได้ไม่กี่ก้าวก็ไม่กล้าเข้าลึกไปกว่านั้น
เธอหันกลับมามองเหลียนเซวียนซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก อาภรณ์ตัวยาวสีขาวพลิ้วลมโชยชายเสื้อพะเยิบน้อยๆ แม้ร่างกายจะอ่อนแอ แต่เอวและแผ่นหลังยังคงหยัดตรงดุจต้นสน แม้ไม่เห็นสีหน้าของเขาชัดเจนนัก แต่เซวียเสี่ยวหรั่นก็ยังรู้สึกใจชื้น
หันกลับมายังป่ามืดมิดไร้สุ้มเสียง เซวียเสี่ยวหรั่นกลืนน้ำลายลงคออย่างตึงเครียด กระเพาะปัสสาวะที่ใกล้ะเิเต็มทนทำให้เธอไม่เอาแต่กลัวอีก
กัดฟันก้าวเข้าไปหลังต้นไม้ด้านซ้าย ถอดกางเกงแล้วนั่งยองๆ ลงไป
เหลียนเซวียนทำตัวเหมือนตุ๊กตาไม้แกะสลักไม่ขยับเขยื้อน
ราตรีสงัดเงียบ เสียงซู่ที่แว่วมานั้นกลับได้ยินชัดแจ๋ว
แม้ใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยาแจะไม่เห็นอารมณ์ความรู้สึก แต่ใบหูกลับค่อยๆ ย้อมไปด้วยสีแดงระเรื่อ
นี่คงเป็สถานการณ์ชวนกระอักกระอ่วนที่สุดแล้วในชีวิตของเขา
เซวียเสี่ยวหรั่นเองก็รู้สึกขัดเขิน ตอนเดินออกมาจากป่า ใบหน้าก็แทบคั้นเป็โลหิต
นี่เป็ครั้งแรกของเธอเหมือนกันที่ให้ผู้ชายมาเป็เพื่อนเพื่อทำธุระส่วนตัว
"แฮ่ม เอ่อ... ขอบคุณนะ เหลียนเซวียน" เธอเกาหัวอย่างเก้อเขิน "เอ่อ... ท่านจะไปทำธุระส่วนตัวด้วยหรือไม่ ข้าถือคบไฟให้ท่านได้"
จะเป็การสิ้นคิดแค่ไหน หากให้นางรอเขาปลดทุกข์ เหลียนเซวียนสั่นศีรษะด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เซวียเสี่ยวหรั่นทำตาปริบๆ เขาก็ดื่มน้ำแกงสองถ้วยเหมือนกัน แต่กลับไม่อยากปลดทุกข์ ระบบย่อยดีเกินไปไหม
อุณหภูมินอกถ้ำต่ำมาก ลมหนาวหอบหนึ่งพัดโชยมา เซวียเสี่ยวหรั่นตัวสั่นสะท้าน เธอรีบประคองเหลียนเซวียนกลับถ้ำ
หลังเติมฟืนเข้าไปในกองไฟพอแล้ว เซวียเสี่ยวหรั่นก็ล้มตัวลงนอน ไม่ช้าก็ดำดิ่งสู่ห้วงนิทรา
ช่างเป็สตรีที่นอนเก่งจริงๆ เพียงครึ่งเค่อก็หลับสนิทแล้ว
พอได้ยินเสียงลมหายใจยาวสม่ำเสมอของนาง เหลียนก็ค่อยๆ ลุกขึ้น ฝืนสังขารเดินออกไปด้านนอก
ใช่ว่าเขาไม่อยากไปปลดทุกข์ แค่ไม่อยากปลดทุกข์ต่อหน้าสตรีคนหนึ่ง
เช้าวันรุ่งขึ้น
เซวียเสี่ยวหรั่นลืมตาขึ้นมาก็เห็นกิ่งไม้แห้งกองหนึ่งอยู่เบื้องหน้า รวมถึงกองไฟที่ห่างออกไปไม่ไกล
ไอ้หยา ถ้าไม่มีกิ่งไม้มากั้นไว้ เธอไม่กลิ้งเข้าไปในอ้อมกอดของกองไฟพอดีหรือ เมื่อสองคืนก่อนต้องขอบคุณที่มีคนมาขวางเธอไว้
นึกมาถึงตรงนี้ เธอก็หันไปมองเหลียนเซวียนด้วยจิตใต้สำนึก
แต่กลับเห็นเขานั่งขัดสมาธิหลับตา หลังตรงแน่ว สองมือวาดท่ามุทรา [1] กำลังทำสมาธิ
เซวียเสี่ยวหรั่นจ้องตาปริบๆ อ้าปากหวอ นี่เป็ครั้งแรกที่เธอได้เห็นคนนั่งสมาธิจริงๆ
แม้ใบหน้าที่อนาถจนทนมองไม่ได้ของเขาจะทำลายอาณาจักรลึกลับอันวิเศษนี้ แต่ก็ชวนให้ตกตะลึงไม่ได้เหมือนกัน
เขาเป็ถึงยอดฝีมือในยุทธภพเชียวนะ
เธอหย่อนก้นนั่ง จ้องเขาตาปริบๆ
เหลียนเซวียนััความรู้สึกได้ ค่อยๆ ลืมตาขึ้น สายตาไร้คลื่นความรู้สึกแม้กระผีกจ้องมาทางนี้อย่างแม่นยำ
"เหลียนเซวียน การนั่งสมาธิสามารถขจัดพิษได้หรือไม่" สีหน้าของเซวียเสี่ยวหรั่นเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ในละครทีวีแทบจะทุกเื่ล้วนบอกว่าผู้เยี่ยมยุทธ์สามารถใช้กำลังภายในขับพิษออกจากร่างกาย เขาจะทำแบบนั้นได้เหมือนกันรึเปล่า
เหลียนเซวียนหลุบตาเล็กน้อย พลางส่ายหน้า
หลังต้องพิษ กำลังภายในแทบสูญสลายไปทั้งหมด ไม่อาจจะรวบรวมได้ แล้วจะขับพิษอย่างไร อีกอย่างพิษประหลาดลึกลับของซีฉีไหนเลยจะแก้ง่ายดายปานนั้น
"อ้อ ไม่ได้หรือ น่าเสียดายจัง จอมยุทธ์อย่างท่านนับว่าเป็ัเกยน้ำตื้น พยัคฆ์ตกอับสู่ผิงหยาง[2] ตะบึงอาชาท่องทั่วหล้า ตามจับห่านป่าทั้งวัน แต่กลับถูกห่านจิกตาบอด มีความสามารถเต็มตัวแต่ทำอะไรไม่ได้เลย"
เซวียเสี่ยวหรั่นส่ายหน้าด้วยความเสียดายแทนเขา
หากร่างกายของเขากลับมาเป็ปรกติ ไม่แน่ว่าเขาอาจพาเธอออกไปจากป่าบ้าๆ แห่งนี้ก็ได้
ไหนเลยจะต้องมาปากกัดตีนถีบหาเลี้ยงปากท้องเช่นนี้ทุกวัน
เื่ราวหนักหน่วงจริงจังแท้ๆ แต่พอมาถึงปากนางเหตุใดจึงเปลี่ยนอารมณ์ไปได้ เหลียนเซวียนเงยหน้าถลึงตาใส่นาง อยากจะบอกเหลือเกินว่าถึงเขาจะเป็วรยุทธ์ แต่ไม่ใช่คนพเนจรในยุทธภพ
เซวียเสี่ยวหรั่นลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง ท้องฟ้าด้านนอกเปลี่ยนเป็สีพุงปลาแล้ว
ทั้งแขนและต้นขายังคงปวดเมื่อย แต่เธอก็เริ่มจะชินกับมันแล้ว หลังออกกำลังอยู่ครู่หนึ่ง ก็คว้าหม้อดินสองใบไปริมแม่น้ำ ล้างถ้วยชามช้อนตะเกียบให้สะอาด เพื่อสุขอนามัยที่ดี แล้ววิ่งสองรอบยกน้ำกลับมา
"เหลียนเซวียนในถ้วยมีน้ำสะอาดอยู่ ท่านใช้ล้างหน้า กลั้วปากสักหน่อยเถอะ บนเตากำลังต้มน้ำอยู่ วานท่านช่วยดูไฟให้ด้วย ข้าจะไปขนดินกลับมาสักสองกระบุง วันนี้พวกเราจะทำอ่างน้ำขนาดใหญ่ เอาไว้อาบน้ำ สระผมได้ ฮ่าๆ "
เซวียเสี่ยวหรั่นหิ้วตะกร้าหวายวิ่งออกไปข้างนอกอย่างเริงร่า
เมื่อวานสาบานเป็มั่นเหมาะว่าจะทำประตู พอตื่นขึ้นก็มาเปลี่ยนความคิดเสียแล้ว เหลียนเซวียนไม่รู้จะพูดอย่างไร
กว่าเซวียเสี่ยวหรั่นจะขนดินเหนียวหนักอึ้งกลับมา เวลาก็ผ่านไปแล้วสองเค่อ [3]
น้ำบนเตาเดือดแล้ว เหลียนเซวียนค่อยๆ เขี่ยเอาถ่านติดไฟออกไปไว้ด้านข้าง
"ยังคงเป็ท่านที่หลักแหลม" เซวียเสี่ยวหรั่นปาดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วฉีกใบเผือกป่ามารองขอบหม้อดินแล้วยกลงจากเตา ใช้ช้อนตักน้ำแกงตักน้ำใส่ถ้วยดินเผาสีแดงใบเล็กจนเต็ม "รอให้เย็นสักหน่อย หลังข้ากลับมาแล้วค่อยดื่ม"
หลังจากนั้นก็วิ่งไปมุมถ้ำฉีกกล้วยน้ำว้ามาสองหวี ส่งให้เหลียนหนึ่งผล แล้วหิ้วตะกร้าหวายวิ่งออกไป
ครั้งนี้เธอกลับมาช้าหน่อย
เหลียนเซวียนนับโมงยามพลางมองไปที่ปากถ้ำอยู่เป็ระยะ
จนกระทั่งผ่านไปสามเค่อ เสียงฝีเท้าหนักหน่วงและรีบร้อนของแม่นางคนนั้นก็แว่วมาแต่ไกล
"โอ๊ย ซวยจริงๆ"
เซวียเสี่ยวหรั่นวางตะกร้าหวายลง ก่อนหยิบน้ำต้มสุกที่ตั้งจนเย็นแล้วมาดื่มอึกๆ
ไม่รอให้เหลียนเซวียนถามไถ่ แม่นางผู้นั้นก็เล่าเื่ให้เขาฟังหมดเปลือก
ขณะอยู่ข้างเนินดิน เซวียเสี่ยวหรั่นพบกับงูเหลือมตัวใหญ่
เธอกำลังขุดดินเหนียว เลยไม่ได้ยินเสียงแกรบๆ ในพงหญ้าไม่ไกลนัก เซวียเสี่ยวหรั่นนึกว่าเป็ไก่ป่าหรือไม่ก็กระต่ายป่า ก็ลอบยิ้มย่องในใจ พลางยกไม้ที่เสี้ยมปลายแหลมในมือขึ้นแล้วค่อยๆ ย่องเข้าไป
ขณะอยู่ห่างจากพงหญ้าราวสามเมตร หัวงูก็โผล่ออกมาจากพงหญ้า เซวียเสี่ยวหรั่นใถอยหลังกรูดไปตั้งหลักราวสิบกว่าเมตร
พอมองให้ดี ให้ตายเถอะ เจออริเก่าบนทางแคบอีกแล้ว
งูเหลือมั์ลำตัวใหญ่เท่าแขนเลื้อยออกมาจากพงหญ้าอย่างเอ้อระเหย
"เ้างูั์ตัวนั้นมันต้องจงใจแน่ๆ มันเลื้อยบนเนินดินไม่ยอมไปไหน ตอนนั้นข้าคิดอยู่ว่า ตรงนั้นไม่มีไข่ห่านป่าให้แย่งสักหน่อย เลยไม่คิดจะถือสาหาความกับมัน แต่ใครจะไปรู้ มันกลับจ้องตาข้าอยู่เป็ครึ่งค่อนวันถึงยอมจากไป น่ารังเกียจจริงๆ ทำข้าเสียเวลาไปตั้งเยอะ คราวหน้าหากพบมันอีก ข้าจะตัดหัวมันเอาไปทำน้ำแกงให้ได้เลยคอยดู"
เซวียเสี่ยวหรั่นแค่นเสียงฮึดฮัดด้วยความโมโห เริ่มลงมือผสมดินเหนียว
พลางโยนเ้าลูกหนามจำนวนหนึ่งเข้าไปในกองไฟ ตั้งใจว่าอีกประเดี๋ยวจะกินเป็มื้อเช้า
สีหน้าของเหลียนเซวียนกลับสงบนิ่ง คลำหาก้อนหินแล้วเขียนอักษรบนพื้น
"งูเหลือม... มา... ดี... อย่า... บุ่มบ่าม"
เซวียเสี่ยวหรั่นพอคาดเดาความหมายของอักษรตัวเต็มบนพื้นได้
"ฮิๆ ข้ารู้หรอกน่า ก็แค่บ่นไปอย่างนั้นเอง งูเหลือมตัวนั้นตัวใหญ่เท่าแขน ข้ากล้าตีมันที่ไหน ข้าไม่ใช่จอมยุทธ์อย่างท่านนี่"
เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกขัดเขิน เมื่อครู่เธอก็พูดไปอย่างนั้นเอง ถ้าเจองูเหลือมั์ตัวนั้นอีกครั้ง อย่างมากสุดเธอก็กล้าแค่ขับไล่มันไปเท่านั้นเอง
...
[1] หมายถึงการทำมือในปางต่างๆ เป็สัญลักษณ์ทางศาสนาฮินดูหรือศาสนาพุทธ สื่อความหมายแฝงนัยทางจิติญญา
[2] มาจากสำนวนัเกยน้ำตื้นถูกกุ้งหยอกเย้า พยัคฆ์ตกอับสู่ผิงหยางถูกสุนัขข่มเหง หมายถึงคนเคยเรืองอำนาจพอถึงคราวตกอับก็มักจะถูกคนต่ำศักดิ์ทับถมรังแก
[3] เค่อเป็หน่วยบอกเวลา หนึ่งเค่อมีค่าเท่ากับสิบห้านาที สองเค่อคือครึ่งชั่วโมง