นอกคฤหาสน์ตระกูลเย่
คนหลายร้อยปรากฏกายขึ้นบนถนนอันปกคลุมด้วยหิมะจนกลายเป็น้ำแข็ง ล้อมรอบทางทั้งสี่ทิศของคฤหาสน์เอาไว้
บ้างก็ทำกระทั่งตอกกระโจมกันหิมะ บ้างก็ก่อกองไฟสุมหัวคุยกันอยู่ข้างเปลวอัคคี
กลุ่มคนนั่งอยู่เป็กลุ่ม กลุ่มละสองสามคน ท้องฟ้าดำมืดพัดพาเกล็ดหิมะมา อากาศหนาวะเื
คนเหล่านี้สวมเสื้อผ้าบางเฉียบแสนชุ่ย ขาดกะรุ่งกะริ่ง แต่ละคนๆ ล้วนผอมเหมือนไม้เสียบผี หน้าเหลืองตอบ สภาพไม่ต่างจากขอทาน ในดวงตาแทบไร้แวว เหมือนกับศพเดินได้ คนพวกนี้ล้อมคฤหาสน์ตระกูลเย่มานานจนปักหลักเอาที่นี่ลวกๆ เสียเลย
ในกลุ่มคนนั้น ยังมีพวกวัยรุ่นสวมเสื้อผ้าไหมอย่างหนา ท่าทีเืร้อนไม่ยอมคน สีหน้าไม่ได้อ่อนเปลี้ยเหมือนคนอื่น บนตัวมีกลิ่นเหล้า จู่ๆ ก็ตวาดลั่นแล้วให้คนปาพวกก้อนอิฐ ซากอะไรต่อมิอะไรข้ามกำแพงเข้าไป
ไกลออกไปกว่านั้น
พันเมตรทางทิศตะวันตก
ในห้องศิลาในบ้านคนธรรมดา เปลวไฟโหมกระพือ
กลิ่นสุราเมรัยลอดผ่านช่องบนไม้บนบานหน้าต่าง
ในห้องมีคนนั่งอยู่ห้าหกคน สวมชุดหนังหนาๆ ใหม่เอี่ยมกันความหนาวได้ดีเยี่ยม พวกเขานั่งล้อมวงที่โต๊ะซึ่งเต็มไปด้วยอาหารหลากหลายและน้ำเมา ชนแก้วกันเอิกเกริก ต่างคนต่างก็หน้าแดงๆ คึกคักยิ่งกว่าอะไรดี
“ฮ่าๆๆ ตอนนี้ยิ่งคิดก็ยิ่งจะขำค้างตายอยู่แล้วโว้ย พ่อเกือบโดนไอ้สารเลวเย่นั่นขู่เข้าให้แล้ว” คนหนุ่มที่เป็หัวโจก คิ้วขวางพอๆ กับแววตาโกรธขึ้ง เป็คนที่เ่ิูซัดกระเด็นวันนั้นนั่นเอง เขามีนามว่าเถาว่านเฉิง เป็อันธพาลลือชาในเขตเหนือ พูดพลางกระดกเหล้าเข้าปากพลาง “ยังกล้าพูดว่าจะฆ่าคน ถุย พ่อกลัวเอ็งตายล่ะ เฮอะๆ ให้ตายก็ไม่มีใครกล้าฆ่าคนกลางถนนหรอกโว้ย เว้นแต่มันจะเป็ไอ้โง่”
“ไอ้กระจอกเ่ิูนั่นก็แค่ขู่ไปงั้นแหละ” คนหนุ่มอีกคนยิ้มเย็น “พวกเราล้อมบ้านมันมานานขนาดนี้ ไอ้กระจอกมันยังไม่ยอมโผล่หัวออกมาเลย ไม่รู้พวกเราโยนซากหนูเข้าไปเยอะแค่ไหนแล้ว คงจะกล้ำกลืนความเจ็บช้ำอยู่ล่ะมั้ง”
ฮ่าๆๆๆ!
พวกเขาหัวร่อกันยกใหญ่
“คราวนี้พวกเราอยู่ฝ่ายธรรมะนะ ไม่รู้ดวงตากี่คู่จับจ้องเื่นี้อยู่ล่ะนะ เ้ากระจอกนั่นก็ไม่กระจ่าง พัวพันกับนังมารอับแสง หาเื่ใส่ตัวเองแท้ๆ แล้วจะทำอะไรพวกเราอีกเล่า? พวกชนชั้นสูงมีเงินพวกนี้สักแต่จะรักษาหน้าตาตัวเองทั้งนั้นแหละวะ ฮึๆ แค่จับเจ็ดนิ้ว*ของมันไว้ได้ เ่ิูเ้างูพิษก็ไม่กล้าทำอะไรพวกเราแล้ว”
คนหนึ่งตอบกลั้วหัวเราะ
เถาว่านเฉิงขำบ้าง ใบหน้าเปี่ยมด้วยอารมณ์ “ว่ากันตามจริง คราวนี้พวกเราทำงานได้กำไรเน้นๆ ดีจริง แค่หลอกใช้พวกขอทานยาจกพวกนั้นไปตายแทน พวกเราก็รับทรัพย์จากพวกชั้นสูงมาเต็มกระเป๋า ฮึๆ แค่ให้หมั่นโถวนิดเดียวกับพวกขอทานเหม็นโฉ่นั่น พวกมันก็เสี่ยงชีวิตเพื่อพวกเราจะเป็จะตายแล้ว”
อีกคนเสริม “ไม่รู้ว่าคุณชายซุนจะให้เงินเราไปถึงเมื่อไร?”
ผู้เป็หัวหน้าเถาว่านเฉิงตอบด้วยรอยยิ้ม “กลัวอะไร พวกเรากอบโกยได้อยู่แล้ว ตอนนี้ซุนอวี้หู่กับชนชั้นสูงคนอื่นเกลียดไอ้กระจอกเย่นั่นจะตายชัก ถ้าไม่ทรมานให้ตายก็ไม่สาแก่ใจ อีกอย่างเื่นี้ก็ไม่ใช่แค่ซุนอวี้หู่เท่านั้นที่ทำหรอก ไม่งั้นทำไมคนจากกรมสอดแนมไม่มาแทรกกลางเต็มตัวเสียที? ที่ผ่านมามันก็ทำไปงั้นๆ ไม่งั้นก็จับเข้าตารางได้หมดแล้ว...เพราะงั้นพวกเราไม่ต้องกังวล แค่ทำอย่างนี้ต่อไปเงินก็ไหลมาเทมาแล้วพวก”
“เฮ้ยๆ ไอ้กระจอกกล้าทำคุณชายซุนขุ่นเคือง ข้าคิดว่ามันต้องตายเห็นๆ” คนอ้วนหน้าอูมหูกางว่า “คฤหาสน์ตระกูลเย่ก็มีผู้หญิงเยอะเสียด้วย ละมุนละไมน่าเคี้ยว ถ้าพวกเราได้ลิ้มชิมสดๆ...ฮะๆ ถึงต้องตายเป็ผีข้าก็ยอมล่ะวะ”
เหล่ากระทาชายหัวเราะร่วน
“ข้ามีทางออกให้เื่นี้ ฮึๆ รอซุนอวี้หู่กับพวกชั้นสูงฆ่าไอ้เดนแซ่เย่ให้เสร็จก่อนเถอะ ฮึๆ ถึงตอนนั้น พวกเราจะทำอย่างไรกับผู้หญิงในคฤหาสน์ก็ย่อมได้ ฮ่าๆ เล่นเสร็จแล้วก็จับขายให้ซ่อง กอบโกยอีกงวดไป” หัวโจกหัวเราะร่า
“ลูกพี่ พูดเบาๆ หน่อยสิ คนของคุณชายซุนน่าจะมาถึงแล้วนะ อย่าให้เขาได้ยินล่ะ” อีกคนหนึ่งเตือนเถาว่านเฉิงเบาหวิว
คนอื่นพยักหน้าเห็นด้วย
ทันใดนั้นพลันมีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก ปะปนกับเสียงร่ำไห้น่าประหลาด เหมือนมีใครถูกปิดปากจนต้องร่ำร้องขอให้ช่วย
จากนั้นร่างลับๆ ล่อๆ สามสี่คนก็เดินลากกระสอบเข้ามา
เสียงร่ำไห้นั้นดังมาจากในกระสอบ
“เฉินเอ้อร์ พวกเ้ากลับมาแล้ว ได้มาแล้วหรือยัง?” เถาว่านเฉิงตาเป็ประกายเมื่อถามในทันที
“พี่ใหญ่ ข้าได้มาครบแล้ว ฮ่าๆ คราวนี้จับได้ของดีจริงแท้ รับรองว่าท่านต้องติดใจ เด็กขบเผาะสองคน มีน้ำมีนวลดีแท้ นึกไม่ถึงว่าในพวกขอทานจะมีสินค้าชั้นดีแบบนี้อยู่” เฉินเอ้อร์คือบุรุษท่าทางเหมือนพวกหัวขโมย เขาแก้เชือกที่ผูกปากกระสอบไว้ออก
ร่างสั่นเทาสองร่างกลิ้งหลุนออกมาจากกระสอบ
เป็เด็กสาวสองคนโดนมัดมือมัดปาก
ใต้แสงแห่งเปลวไฟนั้น ดรุณีเสื้อผ้าขาดวิ่นดิ้นรนอย่างตระหนก ดวงหน้าเล็กสวยแทบจะบิดเบี้ยวเพราะความกลัว ยามอยู่กลางแสงไฟแล้วน่าสงสารยิ่ง อายุน่าจะสักสิบห้าสิบหก กายเนื้อกระจุ๋มกระจิ๋ม มีบางส่วนที่เสื้อผ้าปิดไม่มิด เผยผิวละเอียดขาวหมดจด สะท้อนกับแสงสลัว
เถาว่านเฉิงมองตาไม่กะพริบ
“ฮ่าๆๆ ไม่คิดเลยว่าในหมู่ขอทานจะมีของดีอยู่ด้วย เฉินเอ้อร์ เ้านี่ใช้ได้จริงๆ” เถาว่านเฉิงหัวเราะร่วน
เฉินเอ้อร์สีหน้าพึงพอใจ เขายิ้มเยาะ “ข้าจะไม่ปิดบังพี่ใหญ่ ข้าสังเกตการณ์อยู่นาน สองคนนี้น่าจะเป็คนนอก หลบซ่อนอยู่ในฝูงชนหนีภัยพิบัติ พวกนางสวยมาก หลงคิดว่าแค่ทาขี้เถ้ากลบหน้าแล้วจะหลอกข้าได้ ไร้เดียงสาเหลือเกิน ตอนกลางวันแสกๆ ข้าก็กะสถานที่พาพี่น้องสองคนไปจับมาเมื่อคืน มัดมาให้ท่านเสร็จสรรพอย่างที่เห็น ฮ่าๆ พี่ใหญ่ เป็ไงบ้าง สองคนนี้ไม่เลวเลย พอท่านชิมเสร็จแล้วอย่าลืมให้พี่น้องฉลองบ้างล่ะลูกพี่”
เถาว่านเฉิงหัวเราะฮ่า เขาปรี่ไปดึงหญิงนางหนึ่งขึ้นมาแล้วว่า “ได้ๆๆ พ่อไม่ได้แตะผู้หญิงมาสามสี่วันแล้ว เอาหญิงสองคนนี้ช่วยทุกคนปลดปล่อยให้สบาย ตามกฎเดิม เสร็จกิจแล้วก็ขายให้ซ่องซะ ได้ราคาดีไม่หยอกแน่ ไอ้พวกงี่เง่าเต่าตุ่น ต่อจากนี้อย่าระห่ำให้มากนักนะโว้ย เบาไม้เบามือหน่อย อย่าทำให้ของเล่นงามๆ สองชิ้นนี้ช้ำล่ะ”
เหล่ากระทาชายหัวเราะกันเริงร่า
เหล่าบุรุษฉกรรจ์โอบล้อมเข้าหา แววตาหื่นกระหาย
“ฮือๆๆ...”
สองนางดิ้นรนสุดชีวิต ดวงตากลมโตเต็มเปี่ยมด้วยความสิ้นหวัง
“ฮึๆ พ่อประเดิมก่อนล่ะนะ...” เถาว่านเฉิงกระชากดรุณีในมือ กระชากเสื้อผ้าที่รุ่งริ่งอยู่แล้วขาดสะบั้น ผิวขาวเกลี้ยงเกลาอวดโฉมให้เห็นแก่สายตา
ห้องทั้งห้องเหมือนมีแสงจันทร์เพิ่มขึ้นอีกชั้น
ต่างคนต่างก็เบิกตากว้าง
พวกเขาจะเคยพบเห็นหญิงที่ผิวงามเหมือนหยกเช่นนี้ได้เยี่ยงไรกันเล่า?
ไม่แตกต่างจากพวกคุณหนูทองพันชั่งของชนชั้นสูงเลยปะไร
ตอนที่เฉินเอ้อร์และพรรคพวกกลืนน้ำลาย จะพุ่งปรี่เข้าไปอย่างอดใจไม่ไหว ครู่ต่อมา กลับเห็นเถาว่านเฉิงที่ลุกโชนด้วยไฟราคะไม่ได้ทำขั้นต่อไป เขายืนแข็งทื่ออยู่บนพื้น ไม่ขยับเขยื้อนราวกับถูกใครพรากเอาสิทธิ์ในร่างกายไป ั์ตามองไปทางประตู ทั้งตระหนกและตื่นกลัว
เกิดอะไรขึ้น?
คนอื่นมองไปตามทางที่เขามอง
มองเห็นร่างในหน้ากากทองแดงซิวลัวปรากฏอยู่หน้าประตู
เทพสังหารซิวลัว
หน้ากากทองแดงซิวลัวยามรัตติกาล หยิบยืมแสงไฟแห่งเปลวเพลิงสะท้อน จนมองผ่านๆ นึกว่าเทพความตายมาเอาชีวิต อาภรณ์ดำรัดรูปดั่งภูตล่องลอยยามค่ำคืน แผ่รัศมีหนาวสะท้านเสียดกระดูกยามหิมะโปรย
ไม่มีใครรู้เลยว่าร่างทมิฬนี้โผล่มาตอนไหน
ดั่งิญญาตรงดิ่งจากขุมนรก
คนขี้ขลาดหน่อย พอเห็นเงาแห่งซิวลัวก็กลัวจนร่ำร้อง
ทว่าร้องได้ไม่ทันไรก็หยุดลงทันที
แสงดาบเสือกแทง ทะลุลำคอเขาเป็รูโบ๋
กลิ่นคาวเืคละคลุ้งห้องศิลาแคบ
“เ้า...คนหรือผี?” อีกคนถามเสียงสั่นเทิ้ม กลัวจนแทบบ้า
คำตอบของเขา คือแสงดาบอีกครา
เืพุ่งกระฉูด
คนพูดล้มแน่นิ่ง
“บัดซบเอ๊ย ผีป่ามาจากไหนวะเนี่ย กล้าเป็ปรปักษ์กับพี่น้องเรา ทุกคนไม่ต้องกลัว ลุยมันเข้าไป ฆ่ามันซะ” เถาว่านเฉิงได้สติคืนก็รีบชำเลืองหา เขากัดฟันเตะโต๊ะไม้ตรงหน้าสุดแรง
ปั้ง!
โต๊ะลอยละลิ่ว น้ำแกงน้ำดื่มทั้งกลายสาดกระจาย
อีกสามสี่คนที่เหลือเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน ละล่ำละลักชักอาวุธคมๆ ออกมาจากบั้นเอว ทั้งห้องวาววับด้วยความเยือกเย็น ใบหน้าแต่ละผู้ล้วนดุร้าย ก่อนบุกเข้าจู่โจม
ทันใดนั้นเองที่เถาว่านเฉิงผู้เป็หัวโจกกลับวิ่งหนี แล้วพาร่างเตี้ยๆ ะโออกทางหน้าต่าง ไม่กล้าประมือต่อหน้าแต่แรก แค่้าให้เพื่อนดึงดูดความสนใจเ้าเงาซิวลัวทองแดงแล้วตัวเองเผ่น เขาดูออกว่าถึงจะรวมเขาด้วยอีกคนก็เอาชนะคนๆ นี้ไม่ได้
ฟิ้ว!
ประกายดาบวับวาวขึ้นมาอีกครั้ง
โต๊ะไม้ถูกผ่ากลางอย่างไร้เสียง
ห้าหกชีวิตที่พุ่งเข้ามาแข็งทื่อในทันที
เงาซิวลัวทองแดงโบกมือ
เถาว่านเฉิงรู้สึกถึงร่างกายที่เสียการควบคุม ถูกพลังไร้รูปร่างลากกลับ เหวี่ยงเขากับพื้นอย่างแรง ทุบลงบนหม้อกระทะที่แตกละเอียด เสียงปั้งดังมาอีกหน โดนเหวี่ยงจนเอวเกือบขาด เจ็บจนร้องไม่ออก ความรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ใช่ตัวเอง
เถาว่านเฉิงเบิกตามองเงาซิวลัวทองแดงย่างกรายมาใกล้ นั่งลงบนเก้าอี้ ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
ท่าทางเหมือนว่าเป็ิญญาของจริง
ตุบๆ
เฉินเอ้อร์และคนที่เหลือเืพุ่งออกจากตัว ล้มลงระเนระนาด
ที่แท้แล้วพวกเขาถูกคมกระบี่ตายไปนานแล้ว
เถาว่านเฉิงรู้สึกถึงความกลัวที่เขาไม่เคยเผชิญมาก่อนในชีวิตกำลังจ่อมจมเขามิดเหมือนน้ำท่วม
* จุดอ่อนของงู
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้