บทที่ 2 กุมารทอง
"สายเกินไปแล้ว" เขากระซิบเสียงแหบโหย
เขาคือปรมาจารย์สายพระเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค เขาอาจหาญต่อกรกับภูตผี เขาสั่งการพรายนับร้อย แต่เขาไม่สามารถสู้กับชะตากรรมได้ เขาทำได้เพียงยื้อหรือเบี่ยงเบนเท่านั้น อาจารย์จักรเหลือบมองนาฬิกาดิจิทัลบนผนังห้องของมีนา ตัวเลขสีแดงฉานกำลังนับถอยหลัง เขารู้ เขามีเวลาไม่มากเขาไม่สามารถหยุดอุบัติเหตุครั้งนี้ได้ มันคือเคราะห์ที่ต้องชดใช้ เขาไม่สามารถปกป้องร่างกายของลูกได้แต่เขาสามารถรักษาิญญาของเธอได้! ในเสี้ยววินาทีแห่งความสิ้นหวังนั้น อาจารย์จักรตัดสินใจทำในสิ่งที่เขาสาบานว่าจะไม่ทำ คือการยุ่งเกี่ยวกับชะตาของลูกสาวโดยตรง
เขาไม่สนใจตะกรุดที่ตกอยู่บนพื้นอีกต่อไป เขาลุกขึ้นเดินไปที่ย่ามของเขาที่วางไว้มุมห้องเขาไม่ได้หยิบพระเครื่องหรือมีดหมอแต่เขาหยิบขวดโหลขนาดเล็ก ที่บรรจุน้ำมันสีเหลืองข้นหนืด และภายในน้ำมันนั้นมีร่างของทารกขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ นอนขดตัวอยู่อย่างสงบนิ่งนี่ไม่ใช่ของโชว์ นี่ไม่ใช่เครื่องรางนี่คือไอ้หนูกุมารทองพรายที่ทรงพลังที่สุดที่เขาสร้างขึ้นพรายที่เขาเลี้ยงด้วยเืจากหัวใจของเขาเองมาตลอดชีวิต!
อาจารย์จักรไม่ลังเล เขากัดนิ้วหัวแม่มือของตนเองจนเืซิบเขาป้ายเืสดๆ ที่เข้มข้นนั้นลงบนฝาโหลที่ปิดผนึกไว้
"ตื่น!"
ซู่มมมมม!
น้ำมันสีเหลืองข้นเดือดพล่าน! ร่างทารกน้อยในขวดลืมตาโพลง ดวงตาของมัน ในตอนแรก สว่างวาบเป็สีแดงก่ำ!
ฮวบบบ!!!
อุณหภูมิในห้องเพนต์เฮาส์ที่ควบคุมด้วยเครื่องปรับอากาศ ลดลงทันที 5 องศา! เปลวเทียนบนหิ้งบูชาที่อาจารย์จักรนำติดตัวมา พลิ้วไหวอย่างรุนแรงทั้งที่ไม่มีลม กลิ่นกำยานจันทน์ที่เคยอบอวลถูกกลบสิ้นแทนที่ด้วยกลิ่นเย็นเยียบของน้ำมันชัน ผสมกับกลิ่นหวานแปลกๆ ของน้ำอบไทยโบราณ กลิ่นหอมที่ชวนให้ขนลุก
แล้วเงาดำเล็กๆ ก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นตรงมุมห้องมันคือเงาที่ ควบแน่นค่อยๆ ปรากฏเป็รูปร่างของเด็กชายอายุราวหกขวบ
นี่คือรูปลักษณ์ที่เ้าหนูน้อยเลือกใช้
เขาอ้วนกลมป้อมสมบูรณ์ แก้มป่องเป็ลูกซาลาเปา พุงน้อยๆ กลมกลึงดันโจงกระเบนผ้าไหมสีแดงชาดสดใสงดงามที่สวมใส่อยู่ออกมาเล็กน้อย ผมของเขาถูกรวบขึ้นเป็จุกเล็กๆ น่าเอ็นดู มัดไว้ด้วยด้ายทองคำแท้
ผิวของเขาไม่ได้ขาว แต่เป็สีคล้ำเนียนสวย ราวกับถูกอบอาบด้วยทองคำทั้งร่างสมกับที่เป็กุมารสายเทพที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีที่สุด ที่ข้อเท้าเล็กๆ นั้น มีกำไลทองเกลี้ยงวงหนึ่งสวมไว้
เด็กกุมารตัวอ้วนหัวจุก ก้มศีรษะลงอย่างเคารพ แต่มุมปากเล็กๆ นั่นกลับยกยิ้มมันคือรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความ เ้าเล่ห์ แววตาสีทองที่เรืองรองนั้นฉายแววฉลาดเกินเด็กและเบื่อหน่ายเล็กน้อย
"พ่อจ๋า"
เสียงของเด็กก้องสะท้อน เหมือนดังจากสองโลกในเวลาเดียวกันมันเป็เสียงเด็กแต่กลับมีความทุ้มลึกของพลังโบราณซ่อนอยู่ "มึงเรียกกูมาทำไม" เขาเอียงคอเล็กน้อย ทำหน้ายุ่ง
"กูกำลังฝันว่าได้กินไก่ย่างราดน้ำผึ้งอยู่เลย เซ็งจัง"
อาจารย์จักรไม่สนใจท่าทีที่เหมือนเด็กถูกขัดใจนั่น เขารู้ดีว่าภายใต้รูปลักษณ์ที่น่าเอ็นดูราวกับลูกคุณหนู กุมารทองตนนี้ อันตรายเพียงใดมันคือความโเี้ที่ถูกห่อหุ้มด้วยความน่ารัก
อาจารย์จักรไม่ได้พูดแต่เขาใช้จิตสั่งการ เสียงของเขาก้องกังวาน ไม่ใช่เสียงแหบโหยของชายชรา แต่คือเสียงของปรมาจารย์ แต่แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่เรียกว่าอันตราย เขาก็ไม่วายที่จะสั่งสอนมัน
"ไอ้หนู ลูกพ่อ!!อย่าพูดจาหยาบคายพ่อสอนแล้วว่าให้แทนตัวเองว่า หนู มึงกูห้ามพูดกับผู้ใหญ่"
ก่อนจะเอ่ยเข้าเื่ทันทีเพราะกลัวไม่ทันการณ์
"มีนาพี่สาวของเอ็ง กำลังจะจากไป เคราะห์ของมันมาถึงแล้วพ่อพยายามจะห้ามมันและช่วยมันแล้วแต่ทำไม่ได้" เขาเองก็เป็เพียงมนุษย์ธรรมดาไหนเลยจะกล้าต่อกรกับพญายม
“ผู้ใดถึงได้ยิ่งใหญ่จนพ่อสู้ไม่ได้”
เ้าหนูน้อยตัวอ้วน ทำท่าขึงขังขึ้นมาราวกับพร้อมจะต่อยตีแทนพ่อของมัน
“เองก็สู้ไม่ได้เช่นกันลูกพ่อ ดังนั้นต้องทำเื่ที่สำคัญก่อน”
พ่อจักรบอกเ้าหนูที่พร้อมบวกแทนเขา ก่อนจะบอกถึงสิ่งที่เขาอยากจะให้กุมารทองลูกรักไปทำ
"หน้าที่ของเ้า คือตามมันไป!เกาะิญญาของมันไว้! ไม่ว่าร่างของมันจะเป็อย่างไร ไม่ว่าิญญาของมันจะไปตกอยู่ที่นรกขุมไหนหรือมิติใดเ้าต้องดูรักษาและช่วยเหลือของลูกข้าตลอดไป"
เด็กอ้วนหัวจุกร่างทองลอยตัวขึ้น เขาพยักหน้าแต่มันคือการพยักแบบขอไปที
"พ่อไม่ต้องห่วง"
ไอ้หนูตบอกอ้วนๆ ของตัวเองดังปุ ราวกับจะสร้างความมั่นใจให้พ่อจักรของมัน
"แค่ตามพี่สาวสมองทึบนั่นไปงานง่ายๆ! พี่มีนาน่ะไม่มีหนู ก็เหมือนไม่มีสมองนั่นแหละ! ไว้ใจ 'ไอ้หนู' คนนี้ได้เลย!"
อาจารย์จักรหลับตาลง เขาไม่มีแรงจะต่อล้อต่อเถียงกับความอวดดีของพรายที่เขาสร้างมากับมือ เวลากำลังจะหมดลงทุกวินาที เขาตัดสินใจทำในสิ่งที่ปรมาจารย์ทุกคนหวั่นเกรง เขาไม่ได้แค่สั่งเขาส่งมอบ
ชายชราที่ร่างกายสั่นเทา จู่ๆ ก็นั่งตัวตรง ดวงตาของเขาเบิกโพลง สว่างวาบเขารวบรวมพลังทั้งหมด อาคมที่สั่งสมมาทั้งชีวิต จิติญญาและอายุขัยของเขา อัดแน่นลงที่ฝ่ามือ
"ไอ้หนู ลูกพ่อ" เขากระซิบเสียงแหบโหย
"เอาไปให้หมด!"
ผัวะ!
เขาตบฝ่ามือที่เรืองแสงอาคมลงบนขวดโหล! อั่ก! เขากระอักเืสีคล้ำออกมาคำหนึ่ง มันคือเืที่หล่อเลี้ยงอาคม พลังงานมหาศาลที่มองไม่เห็น อัดกระแทกเข้าไปในขวดโหล ร่างของไอ้หนูสว่างวาบเป็สีทองอร่าม มันดูดซับพลังนั้นไว้ทั้งหมดจนแทบะเิ
ร่างของอาจารย์จักรทรุดฮวบลงทันทีผมของเขาขาวโพลนขึ้นอีกหลายส่วนในบัดดล เขาได้มอบเกราะที่ทรงพลังที่สุด เท่าที่พ่อจะมอบให้ลูกได้ เพื่อส่งข้ามมิติไปด้วย เขาใช้พลังเฮือกสุดท้ายที่เหลือ เปล่งเสียงสั่งการที่ก้องกังวาน
"ไป!!!"
เพล้ง!
ขวดโหละเิแตกละเอียดคามือของอาจารย์จักร! น้ำมันสีเหลืองข้นหนืดสาดกระเซ็นและร่างของกุมารทอง...หายไปแล้ว
มันกลายเป็เพียงเงาดำเล็กๆ ...จุดเดียวที่เข้มข้นยิ่งกว่าความมืดมิด เงาที่เล็กที่สุดนั้นไม่สนใจตรรกะไม่สนใจฟิสิกส์มัน ทะลุผนังคอนกรีตของอพาร์ตเมนต์ดิ่งลง 30 ชั้น...เร็วกว่าแรงโน้มถ่วง มันพุ่งผ่านเพดานลานจอดรถแทรกผ่านหลังคาเหล็กกล้าของรถยนต์ซีดาน...ราวกับเหล็กนั้นเป็เพียงอากาศธาตุ
ฟุ่บ!
เงานั้นลงจอดอย่างนุ่มนวลบนเบาะหลังที่ว่างเปล่า
ที่เบาะคนขับ...มีนากำลังเร่งเครื่องสมองของเธอกำลังคำนวณค่าแรงเสียดทานของน้ำฝนบนพื้นถนน เธอััได้ถึงอุณหภูมิที่ลดลงเล็กน้อยที่เบาะหลังแต่สมองวิศวกรของเธอ...ปัดมันทิ้งว่าเป็แค่ ‘ความแปรปรวนของระบบปรับอากาศ’ เธอไม่รู้ตัวเลยสักนิด...ว่าความงมงายที่เธอเพิ่งปฏิเสธบัดนี้ได้กลายเป็ผู้โดยสารที่แนบสนิทที่สุดติดตามเธอไปสู่ความตาย...และภพภูมิใหม่
การติดตามของไอ้หนูผู้นี้คือพันธสัญญาคือเกราะเพชรเจ็ดชั้นที่ถูกตีขึ้นด้วยชีวิตของพ่อเพื่อปกป้องเธอในภพภูมิที่เธอกำลังจะไป
บนเพนต์เฮาส์อาจารย์จักร ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา เขาหมดแล้วพลังถูกใช้จนเกลี้ยง เขามองเศษแก้วที่บาดมือ...มองหยดเืของตัวเองที่ปนกับน้ำมันอาถรรพ์บนพื้น
"มีนา...พ่อทำได้...เท่านี้จริงๆ"
เขามองออกไปนอกหน้าต่าง... ที่ซึ่งฝนเริ่มเปลี่ยนเป็พายุ พายุที่จะพัดพาชีวิตลูกสาวของเขา...ให้จากไป...ตลอดกาล
กลางพายุฝนที่สนามบินเสียงใบปัดน้ำฝนดังถี่เป็จังหวะ
ติ๊ด…
ติ๊ด…
ติ๊ด…
มีนาขับรถฝ่าพายุด้วยสมาธิแน่วแน่สมองของเธอยังคำนวณทุกตัวแปร ทัศนวิสัยลดลง 40% แรงเสียดทานลดลง 22% ความเร็วควรปรับเหลือ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เวลาถึงปลายทางล่าช้า 18 นาที ยังอยู่ในค่ามาตรฐาน
“สมาธิโฟกัสที่ตัวแปร ไม่ใช่อารมณ์”
เธอพึมพำ กุมารน้อยที่นั่งอยู่ด้านข้างถึงกับถอนหายใจและส่ายหน้ากับพี่สาวโง่ๆของมัน จะตายอยู่แล้วยังจะมาคำนวณค่ามาตรฐานอีก!!
แต่สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่อยู่ในสมการใดที่เธอเคยคำนวณ คนขับรถบรรทุกเมื่อมีแอกอฮอร์อยู่ในสายเืมากมายเขาหาได้ไม่ได้สนใจตรรกะใดๆ ทั้งนั้น แสงไฟบรรทุก 18 ล้อสาดเข้ามาเต็มตาเสียงแตรดังแผดราวฟ้าผ่าเธอหักพวงมาลัย แต่สายฝนทำให้ถนนลื่นกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเสี้ยววินาทีสุดท้าย สมองของวิศวกรยังคงทำงาน มวล 40 ตัน ความเร็ว 90 กม./ชม. มุมปะทะ 35 องศา
เธอคำนวณได้ทุกค่ายกเว้น ‘โชคชะตา’ เสียงเหล็กบดขยี้ดังสะท้อนกลางฝนโลหะบิดงอราวกับคำสาปจากฟ้าและในวินาทีนั้นเอง
‘ปัง!!!!’
“กรีด!!!!”
สติของเธอดับวูบ!!
ตรรกะสิ้นสุด
*******กดหัวใจ เพิ่มเข้าชั้น คอมเมนต์ เป็กำลังใจให้ไรท์ด้วยนะเ้าคะ ไรท์จะพาทะลุมิติอีกแล้ว ****
