เผิงเจี้ยนยกยิ้มมุมปากพลางเอ่ย “เฮอะ เด็กหนุ่มที่ชอบดื่มน้ำผลไม้จะจับดาบเป็ได้อย่างไร?”
เผิงสือเอ่ยกับเมิ่งเซวียนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คุณชายเซวียน ตอนนี้เ้าศึกษาที่สำนักใดหรือ?”
“สำนักศึกษาอิ๋งฮุ่ยในเมืองหลวง พวกเ้าสองคนเล่า?” เมิ่งเซวียนเอ่ยตอบขณะเหลียวมองเหอตังกุยที่นั่งฝั่งตรงข้ามทางเดิน สาวน้อยผู้นั้นเอียงศีรษะคล้ายครุ่นคิดบางอย่าง น่าสงสัยเหลือเกินว่านางคิดอะไร?
“เหอ ๆ ” เผิงเจี้ยนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นพวกเราก็เป็ศิษย์สำนักเดียวกัน ข้าและพี่ชายเคยเรียนที่สำนักศึกษาอิ๋งฮุ่ยมาก่อน แต่ตอนนี้ย้ายมาที่สำนักศึกษาเฉิงซวี่แล้ว”
“การเรียนการสอนในสำนักศึกษาเฉิงซวี่สู้สำนักศึกอิ๋งฮุ่ยไม่ได้ ฟังจากสำเนียงดูเหมือนเ้าจะมาจากเมืองหลวง เหตุใดจึงเรียนที่สำนักศึกษาเฉิงซวี่ในเมืองหยางโจวเล่า?” เมิ่งเซวียนมองเด็กหญิงตัวเล็กอีกครั้งพลันพบว่านางแย้มยิ้มราวคิดบางอย่างออก ทันใดนั้นเมิ่งเซวียนก็รู้สึกเสมือนเปิดตลับบรรจุมุกเยี่ยจู รอยยิ้มทำให้ใบหน้าของนางเปล่งประกาย มีเสน่ห์จนเมิ่งเซวียนตะลึงงันไม่น้อย เหอตังกุยพลันรู้สึกคล้ายมีใครบางคนจากฝั่งตรงข้ามกำลังมองมา นางจึงเงยหน้าพลันพบว่าเป็เมิ่งเซวียนที่จ้องมองอยู่ นางไม่ตื่นตระหนกซ้ำยังตวัดแววตาดำขลับมองเขา ท่าทีของนางสงบนิ่งเหมือนน้ำในทะเลสาบยามเย็น่ฤดูใบไม้ร่วง แสงไฟในห้องโถงขับให้ผิวสีเหลืองของนางคล้ายแผ่รัศมีอ่อน ๆ
“ฮึ ใครบอกว่าสำนักศึกษาเฉิงซวี่สู้สำนักศึกษาอิ๋งฮุ่ยไม่ได้?” เผิงเจี้ยนกล่าวอย่างไม่ยอม “เมิ่งเซวียน เ้าช่างเหมือนกบในกะลาเสียจริง ตอนนี้นักเรียนจากทางใต้ทุกคนรู้แล้วว่านักพรตไป๋หยางไป่ผู้มีชื่อเสียงจะมาสอนการทำนายและการวางแผนกลยุทธ์ทั้งแปดทิศที่สำนักศึกษาเฉิงซวี่เป็เวลาหนึ่งปี ขณะที่สำนักศึกษาอิ๋งฮุ่ยยังเรียนเพียงมารยาท ดนตรี ยิงธนู ขี่ม้า เขียนอักษรและการคำนวณ คงน่าเบื่อไม่น้อย”
“ไป๋หยางไป่? เขาเป็เพียงคนหลอกลวงเท่านั้น” เมิ่งเซวียนกล่าวพลางส่ายหัว สายตายังคงจับจ้องสาวน้อยคนนั้น ใบหน้าของนางเรียกได้ว่างดงามไร้หญิงใดเปรียบ เพียงแต่นางยังเด็กและไม่สูงเท่าไรนัก นอกจากนี้ผิวของนางยังเป็สีเหลืองเผยให้เห็นถึงความอ่อนแอ ถือเป็ข้อบกพร่องเล็กน้อยในความงดงามนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อแววตาดำขลับนิ่งสงบมองมาที่เมิ่งเซวียน เขาก็อ่อนระทวยเสมือนโดนอุ้งเท้าสัตว์ป่าตัวเล็กขนฟูััหัวใจ ไม่ว่าชาติที่แล้วหรือชาตินี้ แม้เมิ่งเซวียนจะไม่เคยรู้จักนางมาก่อนแต่เขาก็รู้สึกเสมอว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้พบกัน...
เผิงเจี้ยนโกรธจนลุกเป็ไฟเมื่อได้ยินเมิ่งเซวียนใส่ร้ายท่านนักพรต ก่อนพบว่าเมิ่งเซวียนยังคงมองน้องสามที่นั่งตรงข้ามไม่ละสายตา เผิงเจี้ยนก็ยิ่งทวีความโกรธ เมื่อสังเกตเห็นน้องสามจับจ้องเมิ่งเซวียนเช่นกัน ไฟโทสะก็ลุกไหม้ถึงสามจั้ง ขณะคิดจะะโไปสั่งสอนเ้าเด็กเหม็นผู้นั้น จู่ ๆ ก็ถูกเผิงสือผู้เป็พี่ชายตบก่อนเอ่ยกระซิบ “เ้าดูทางนั้นสิ” กล่าวจบก็มองไปนอกห้องโถงใหญ่
เผิงเจี้ยนหันหน้ามองตามอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เอ๋? นั่น…คุณชายต้วนไม่ใช่หรือ? เขาถ่อมาทำอะไรถึงที่นี่? เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลหลัวสักหน่อย”
……
แม้เหอตังกุยจะอึดอัดจนกินอะไรไม่ลงเมื่อหลัวไป๋ฉยงนั่งตรงข้าม แต่เมื่อคิดว่าร่างกายนี้เป็ของตน เหตุใดต้องทนทุกข์ทรมาน เบื้องหน้ามีอาหารคาวชั้นยอดวางเต็มโต๊ะ ไม่ว่าจะเป็กุ้งทอด ปีกไก่ผัดใส่ถั่วงอก ยำผัก ซุปเห็ดหูหนูและหูฉลามตุ๋น เหอตังกุยทำได้เพียงกินอาหารเหล่านี้ทันที ทว่าไม่สามารถห่อกลับไปให้สาวใช้สองคนของนางกินได้ เหอตังกุยคิดว่ายิ่งกินมากเท่าไรก็ยิ่งคุ้มค่ามากเท่านั้นจึงก้มหน้าก้มตาตั้งใจกิน
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องของคางคกจากระยะไกล เมื่อนางมองต้นกำเนิดเสียงก็พบว่าเป็บ่าวรับใช้ที่ชื่อเฟิงเหยียนหรือไม่ก็เฟิงอวี้ซ่อนตัวในต้นไม้ พลางทำท่าแปลก ๆ ส่งมาทางห้องโถงหลายครั้ง เหอตังกุยจึงหันมองหนิงยวนและเฟิงหยางตัวปลอมก่อนเห็นหนิงยวนกลอกตาพลางยืนขึ้นเตรียมออกไปพร้อมเฟิงหยางตัวปลอมโดยอ้างว่าจะไปเข้าห้องน้ำ ทำให้เหอตังกุยนึกถึงข้อมูลในบทสนทนาระหว่างนางและบ่าวรับใช้คนนั้น จึงอดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดหนิงยวนและเฟิงหยางตัวปลอมจึงทำตัวลึกลับเพียงนี้ พวกเขาเป็ใคร? ซ่อนความลับอะไรไว้? จากนั้นเหอตังกุยก็พลันช้อนตามองสายตาสงสัยของเมิ่งเซวียนโดยบังเอิญ
เฮอะ เหอตังกุยแอบคิดในใจ ‘ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง’ นางอยากรู้ความลับของหนิงยวน ขณะเดียวกันก็มีคนคิดเช่นเดียวกับนาง แต่กระนั้นเด็กหนุ่มผู้นี้ก็เป็คนลึกลับคนหนึ่งเช่นกัน...ไม่มีใครในแผ่นดินที่สามารถทำให้เหอตังกุยประหม่ากับการเล่นหมากรุกได้นอกจากไป๋หยางไป่และหนิงยวน อีกทั้งอายุของเขาก็น้อยกว่าไป๋หยางไป่เกือบยี่สิบปี...ทันใดนั้นเหอตังกุยพลันได้ยินเผิงเจี้ยนเอ่ย “ใครบอกว่าสำนักศึกษาเฉิงซวี่สู้สำนักศึกษาอิ๋งฮุ่ยไม่ได้? นักพรตไป๋หยางไป่ผู้มีชื่อเสียงจะมาสอนที่สำนักศึกษาเฉิงซวี่เป็เวลาหนึ่งปี…” อะไรนะ? เหอตังกุยแปลกใจยิ่งนัก นักพรตชราจอมหลอกลวงจะไปสอนหนังสือหรือ ่นี้เขาคงขาดแคลนเงินไม่น้อยกระมัง
ครู่ต่อมาก็ได้ยินเสียงแหบพร่าเอ่ยต่อ “นั่น…คุณชายต้วนไม่ใช่หรือ? เขาถ่อมาทำอะไรถึงที่นี่? เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลหลัวสักหน่อย” คุณชายต้วน? คุณชายต้วนคนไหน เหอตังกุยมองคนในชุดคลุมแดงที่เดินเข้ามาเป็คนแรก คนผู้นั้นคือสตรีที่ปลอมตัวเป็บุรุษ คนที่สองคือคุณชายใหญ่กวนไป๋แห่งตระกูลกวนสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้ม คนที่สามสวมชุดคลุมสีเขียวเข้มคอกว้าง ดูจากใบหน้าและการแสดงออก...คนผู้นั้นคือต้วนเสี่ยวโหลวแน่นอน
เหล่าไท่ไท่ดีใจยิ่งนักเมื่อเห็นเด็กทั้งสามคุยกันอย่างสนุกสนาน ทำให้งานเลี้ยงครั้งนี้เต็มไปด้วยความครึกครื้น เมื่อนางเห็นกวนไป๋ กวนอวินและต้วนเสี่ยวโหลวเข้ามาก็ดีใจยิ่งขึ้น ก่อนลุกจากที่นั่งพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ในที่สุดคนที่ข้ารอคอยก็มาถึง เ้าคือซื่อจื่อของจวนหรูถิงผอใช่หรือไม่?” เด็กแปลกหน้าที่มีใบหน้าเปื้อนยิ้มเอ่ยตอบ “ผู้น้อยชื่อต้วนเสี่ยวโหลว ขอคารวะเหล่าไท่ไท่ เสียมารยาทที่ทำให้ท่านรอนานขอรับ” เขามองโดยรอบพลันเห็นเมิ่งชานในงานเลี้ยงจึงแสดงสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวโหลวขอคารวะท่านลุงเมิ่ง ผู้น้อยไม่ได้เจอท่านหลายปีแล้ว ท่านเป็อย่างไรบ้างขอรับ?”
เหตุการณ์เบื้องหน้าทำให้เหอตังกุยนึกถึงภาพหนิงยวนและเฟิงหยางตัวปลอมที่รีบหลบไปซ่อนตัว พวกเขาอาจได้รับคำเตือนจากคนรับใช้ในพุ่มไม้ บ่าวรับใช้คนนั้นต้องรู้จักต้วนเสี่ยวโหลวและลู่เจียงเป่ยเป็แน่ เหตุเพราะหนิงยวนปลอมตัวเป็ลู่เจียงเป่ย เมื่อเขาเห็นว่าต้วนเสี่ยวโหลวเข้ามาทางประตูใหญ่จึงส่งสัญญาณให้ตัวปลอมเช่นพวกเขาถอยจากที่นี่ทันที เหอตังกุยเดาว่าสองคนนั้นจะไม่ปรากฏตัวอีกจนกว่างานเลี้ยงจะเลิก เอ๊ะ? แต่เมิ่งเซวียนเป็คนที่ควรซ่อนตัวมากที่สุด เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยถูกต้วนเสี่ยวโหลวไล่ฆ่าไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงยังอยู่ที่นี่...ทั้งยังเอาแต่จ้องนางไม่กะพริบตาเช่นนี้อีก
“นี่ เ้ามองอะไรอยู่” เผิงเจี้ยนเห็นว่าเมิ่งเซวียนยังคงมองน้องสามไม่เลิกจึงเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เ้าเด็กเหม็น ห้ามมองนางเด็ดขาด”
เมื่อเมิ่งเซวียนเห็นเด็กน้อยเสียงดังข้าง ๆ ก็เอ่ยเนิบนาบ “ไม่ใช่เื่ของเ้า”
เผิงเจี้ยนะโด้วยความเดือดดาล “เ้าไม่เพียงใส่ร้ายท่านนักพรตผู้มีชื่อเสียงเท่านั้น ซ้ำยังเอาแต่มองสิ่งที่ไม่สมควรมอง ข้าจะสั่งสอนเ้าเอง เมื่อครู่เ้าขอให้เซียนดาบฝูหลิวช่วยแนะนำเ้าไม่ใช่หรือ เ้าก็คงเป็วรยุทธ์เช่นกัน มา! มาประลองกันสักหมัดสองหมัด”
เหอตังกุยครุ่นคิดว่าเหตุใดเมิ่งเซวียนจึงไม่ซ่อนตัวจากต้วนเสี่ยวโหลว ต้วนเสี่ยวโหลวก็ดูเหมือนจะไม่รู้จักเมิ่งเซวียน ทันใดนั้นก็ได้ยินเผิงเจี้ยนะโพลางชี้มาที่นาง “ของที่ไม่ควรมอง” เหอตังกุยอดเหงื่อซึมไม่ได้ กระทั่งตอนนี้ต้วนเสี่ยวโหลวก็ยังไม่หันมองทิศทางที่นางนั่งจึงไม่รู้ว่านางอยู่ที่นี่ หากเขาจำนางได้จะต้องเอ่ยด้วยความประหลาดใจว่า “ข้าเคยพบนางมาก่อน” เป็แน่ หากเป็เช่นนั้น นางก็จำเป็ต้องอธิบายกับเหล่าไท่ไท่ว่า “คุณชายต้วนไปไหว้พระที่วัดสุ่ยซัง ด้วยเหตุนี้จึงมีวาสนาได้พบกันหนึ่งครั้ง”
เผิงเจี้ยนและเมิ่งเซวียนไม่ได้หันหน้าตรง เหล่าไท่ไท่จึงไม่เห็นว่าสายตาของเมิ่งเซวียนมองผู้ใด ไม่เช่นนั้นนางคงจะดีใจจนคลั่งเป็แน่ เหล่าไท่ไท่คิดว่าพวกเขาทะเลาะกันเพราะเล่นบางอย่างจึงคิดหาวิธีเบี่ยงเบนความสนใจ เมื่อเหล่าไท่ไท่มองหลานสาวนั่งอมทุกข์ที่โต๊ะก็เดาว่านางต้องคิดถึงเื่ชาผลไม้แน่นอน เหล่าไท่ไท่เสียใจยิ่งนัก เมื่อนางครุ่นคิดพักหนึ่งจึงกล่าว “ปกติจวนของข้าไม่ค่อยได้ฟังดนตรีบรรเลง ตอนนี้ก็ไม่มีแม้แต่นักดนตรีจะเล่นเครื่องดนตรีในงานเลี้ยง ทำให้สูญเสียบรรยากาศของงานเลี้ยงไป เด็ก ๆ ยกกู่ฉินจากห้องข้างเข้ามาซิ” นางยิ้มให้เป่าติ้งผอพร้อมเอ่ย “หลัวไป๋ฉยงหลานสาวข้าค่อนข้างเก่งดนตรี ให้นางบรรเลงกู่ฉินเพื่อสร้างความสนุกสนานแก่แขกทุกท่านจะดีกว่า” ดวงตาของหลัวไป๋ฉยงทอประกายทันทีเมื่อได้ยินเหล่าไท่ไท่กล่าว
เหล่าไท่ไท่เอ่ยแนะนำกับทุกคน “ท่านนี้คือซื่อจื่อแห่งจวนหรูถิงผอ นี่คือคุณชายใหญ่กวนไป๋และคุณหนูสามกวนอิ๋นจากตระกูลกวน สาวน้อยผู้นี้ชอบแต่งตัวเป็บุรุษยิ่งนัก ฮ่า ๆ ”
เหอตังกุยมองสตรีที่ปลอมตัวเป็บุรุษผู้นั้น นางอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี ท่าทางคล้ายเด็กผู้ชาย บุคลิกก็น่าประทับใจแตกต่างจากท่าทีเสแสร้งของหลัวไป๋ฉยงสิ้นเชิง นางเป็หญิงงามที่ยากจะพบเห็นทว่าดวงตาของนางคล้ายสตรีที่เหอตังกุยรังเกียจเข้าไส้หลายส่วน เมื่อจ้องมองก็ขัดหูขัดตาเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้เหอตังกุยจึงก้มศีรษะพลางปลอบใจตัวเองว่ามีคนจำนวนมากที่รูปร่างหน้าตาคล้ายกัน แม้พวกเขาจะมีดวงตาคล้ายกันแต่มันจะสำคัญอะไร เติบโตเป็เช่นไรก็มิใช่เื่ที่คนอื่นจะตัดสิน...
“น้องสาม” เผิงเจี้ยนเอ่ยเรียก “เ้ามากินข้าวที่โต๊ะกับพวกเราเถอะ”
“หืม?” ความคิดของเหอตังกุยถูกขัดจังหวะ นางเห็นว่าเป็เผิงเจี้ยนผู้น่ารำคาญจึงเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เหตุใดข้าต้องไปที่โต๊ะกับพวกเ้าด้วย?”
“เป็คำสั่งของเหล่าไท่ไท่” เผิงเจี้ยนเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “เ้าไม่ได้ยินหรือ? ดูสิ จานของเ้าถูกยกไปหมดแล้ว”
เหอตังกุยเพิ่งสังเกตเห็น คงเป็เพราะมีแขกพิเศษเช่นคุณหนูสามแห่งตระกูลกวน คุณหนูสามแห่งตระกูลหลัวเช่นเหอตังกุยจึงได้ที่นั่งที่ดีกว่าหนึ่งที่นั่ง แม้หนิงยวนและเฟิงหยางตัวปลอมที่นั่งด้านขวาจะไม่อยู่ แต่พวกเขาเพียงออกไปทำธุระส่วนตัวเท่านั้น อีกไม่นานก็จะกลับมา ที่นั่งแถวสองด้านขวาจึงถูกทิ้งว่าง แต่ขณะนี้กลับถูกนั่งแทนที่ด้วยกวนไป๋และต้วนเสี่ยวโหลว เหอตังกุยเคยนั่งด้านขวาในแถวสามแต่ตอนนี้สาวใช้ยกจานของนางออกจากประตูข้างเสียแล้ว มามาก็เริ่มเช็ดโต๊ะด้วยผ้าแห้งและผ้าเปียกพร้อมจัดเรียงเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารใหม่ แน่นอนว่าเป็ที่นั่งของคุณหนูสามแห่งตระกูลกวน
แม้เหอตังกุยจะเพิ่งได้สติและไม่ได้ยินคำสั่งของเหล่าไท่ไท่ แต่ “ผู้ชายและผู้หญิงห้ามนั่งด้วยกัน” เป็กฎพื้นฐานของงานเลี้ยง หากจำเป็ต้องนั่งร่วมโต๊ะก็ควรนั่งกับหลัวไป๋ฉยง เหล่าไท่ไท่จะให้นางนั่งกับเผิงเจี้ยนและผู้ชายคนอื่นได้อย่างไร? เหอตังกุยหันมองเหล่าไท่ไท่พลันพบว่าที่นั่งของ “แขกสูงศักดิ์สิบปียากจะพบ” ทั้งสองท่านถูกเติมเต็มเรียบร้อยแล้ว หนึ่งในนั้นคือซื่อจื่อแห่งจวนหรูถิงผอ เหล่าไท่ไท่จึงทักทายเขาด้วยความกระตือรือร้น ไม่แม้แต่จะเหลียวมองมาที่นาง
“ว่าอย่างไรน้องสาม?” เผิงเจี้ยนเอ่ยถามอย่างมีความสุข “มากินข้าวกับพวกเราได้หรือไม่? ข้าจะเล่าเื่นักพรตให้ฟัง”
เหอตังกุยมองไปยังที่นั่งตรงข้าม เมิ่งเซวียนก้มศีรษะพลางหาว เผิงสือเชิดคางเล็กน้อยก่อนก็มองนางด้วยสายตาเ็า เหตุใดจึงทำท่าทางคล้าย้ารักษาระยะห่างกับใครบางคน ขณะที่หลัวไป๋ฉยงสังเกตเห็นสถานการณ์กระอักกระอ่วนของเหอตังกุยจึงรู้สึกว่าเหตุการณ์น่าอับอายเกี่ยวกับศิลปะการชงชาของนางก่อนหน้านี้จางลงแล้ว พลางยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดปากก่อนยกยิ้ม
เหอตังกุยหัวเราะในใจ เื่เล็กน้อยเพียงนี้ก็ทำให้หลัวไป๋ฉยงมีความสุขได้ ชาติก่อนนางหลงกลหญิงโง่ผู้นี้ได้อย่างไร ทันใดนั้นเหอตังกุยก็ได้กลิ่นหอมของดอกเหมยโชยมาจากด้านหลัง เดาว่าคุณหนูสามแห่งตระกูลกวนคงทนไม่ไหวจึงคิดจะลุกให้อีกฝ่ายนั่ง เมื่อนางยืนขึ้นสตรีที่ถือผ้าแห้งและผ้าเปียกก็รีบเข้ามาเช็ดโต๊ะของเหอตังกุยทันที เหอตังกุยเลิกคิ้วเล็กน้อยพลางคิดในใจ “จำเป็ต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือ? ในงานมีเก้าอี้มากกว่าสิบตัว หากคิดว่าคุณหนูสามแห่งตระกูลกวนไม่สามารถนั่งที่นั่งเดียวกับนางได้ เพียงเปลี่ยนตัวใหม่ให้นางก็พอแล้ว เหตุใดต้องทำเช่นนี้ด้วย?”
เมื่อเห็นท่าทีพอใจของหลัวไป๋ฉยง เหอตังกุยจึงเดาว่าสตรีที่รักการทำงานผู้นี้คือคนที่หลัวไป๋ฉยงส่งมาแน่นอน พลันหมุนตัวเดินไปที่ประตูห้องโถงโดยไม่พูดอะไร
เผิงเจี้ยนรีบะโหยุดเหอตังกุย “น้องสามจะไปไหน?” เสียงดังแฝงความกังวลของเขาทำให้การสนทนาของเหล่าไท่ไท่ ต้วนเสี่ยวโหลวและกวนไป๋หยุดชะงัก ทั้งสามหันมองอย่างพร้อมเพรียงกัน เหล่าไท่ไท่คิดว่าทั้งสองทะเลาะกันเพราะการละเล่นบางอย่าง แต่เมื่อเห็นคุณชายเจี้ยนเอาใจใส่เสี่ยวอี้ก็ดีใจไม่น้อย ขณะเหล่าไท่ไท่เห็นต้วนเสี่ยวโหลวก็หันมองทางนั้นด้วยจึงรีบกวักมือเรียกเหอตังกุยทันที “เสี่ยวอี้ มาทักทายแขกเร็วเข้า”
เมื่อเหอตังกุยได้ยินเสียงเรียกของเหล่าไท่ไท่จึงมองข้ามสิ่งกีดขวางเช่นเผิงเจี้ยน ก่อนเดินไปทักทายแขกผู้มาเยือน “คารวะต้วนซื่อจื่อ คารวะคุณชายกวน”
เหล่าไท่ไท่ชี้เหอตังกุยพลางแนะนำนางให้รู้จักต้วนเสี่ยวโหลวด้วยรอยยิ้ม “นี่คือเสี่ยวอี้หลานสาวอายุสิบปีของข้า นางจะเข้าศึกษาที่สำนักศึกษาเฉิงซวี่ในเดือนหน้า ทว่านางรู้หนังสือเพียงไม่กี่คำ ทั้งยังไม่เคยเรียนมาก่อน หวังว่าเมื่อถึงตอนนั้นซื่อจื่อจะดูแลให้คำแนะนำนางเป็อย่างดี”
เหอตังกุยมองต้วนเสี่ยวโหลวด้วยความแปลกใจ ดูแลเป็อย่างดี? หรือต้วนเสี่ยวโหลวที่อายุยี่สิบปีจะเข้าเรียนที่สำนักศึกษาเฉิงซวี่เช่นกัน? เป็ไปไม่ได้ จิ่นอีเว่ยมีงานมากมายต้องจัดการ เขาไม่ได้ว่างเหมือนหลัวไป๋เฉียน…หรือนี่จะเป็ภารกิจลับขององครักษ์? จริงสิ ไป๋หยางไป่จะไปสอนหนังสือที่สำนักศึกษาเฉิงซวี่ ฮ่องเต้้าดึงไป๋หยางไป่เป็พวก ดังนั้นต้วนเสี่ยวโหลวจึงถูกส่งไปที่สำนักศึกษาเฉิงซวี่ ใช้ความซาบซึ้งสั่นไหวใจผู้คน ใช้เหตุผลทำให้ผู้อื่นเข้าใจ ฮ่องเต้้าหลอกล่อไป๋หยางไป่ให้รับใช้ราชสำนัก หากไป๋หยางไป่ปฏิเสธ ต้วนเสี่ยวโหลวก็สามารถจับกุมเขาส่งให้ฮ่องเต้ได้
ต้วนเสี่ยวโหลวยิ้มให้เหมือนครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจากกัน ทว่าสายตาคู่นั้นคล้ายมองคนแปลกหน้าก็ไม่ปาน เขามองใบหน้านางอย่างสุภาพก่อนหันมองเหล่าไท่ไท่ด้วยรอยยิ้มพลางเอ่ย “ข้าสอนวิชาขี่ม้า ยิงธนูและดนตรี ทั้งหมดนี้ล้วนเป็วิชาเลือกสำหรับนักเรียนหญิง ไม่รู้ว่าเสี่ยวอี้้าเลือกหนึ่งในวิชาเหล่านี้หรือไม่?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้