ผ่านมาร่วมหลายวัน ที่จวนชินอ๋องก็มีงานใหญ่ นั่นก็คืองานวันเกิดของเซวียนชินอ๋อง เหล่าขุนนางในเมืองหลวงต่างรู้ดีว่า เซวียนชินอ๋องผู้นี้ แม้จะดูเหมือนไม่เอาอันใด ทำสิ่งใดก็ไม่ได้เื่ได้ราว ซ้ำร้ายยังถูกพี่ชายที่เป็ฮ่องเต้ก่นด่าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่อย่างไรก็ไม่อาจจะล่วงเกินเขาได้ เพราะเซวียนซานหลางบุตรชายของเขานั้นมีอำนาจทหารอยู่ในมือ อีกทั้งยังมีความดีความชอบนานัปการ พูดได้ว่าหากจวนชินอ๋องไม่มีเซวียนซานหลางที่เปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่ค่อยหยัดรากลงดินค้ำจุนเอาไว้ ป่านนี้เซวียนชินอ๋องก็ไม่นับเป็ตัวอะไร อีกทั้งเซวียนซานหลางผู้นั้นยังเป็หลานสุดที่รักของฝ่าา ทางที่ดีอย่าไปล่วงเกินพวกเขาจะดีที่สุด
ก็เพราะเป็เช่นนี้ในงานเลี้ยงวันเกิดทุกปีของเซวียนชินอ๋องเหล่าขุนนางจึงนำของขวัญชั้นดีมามอบให้เซวียนชินอ๋องอยู่เสมอ แม้จะไม่ชอบหน้าเขามากเพียงใดก็ตาม
แขนเสื้อยาวย่อมร่ายรำได้งดงาม คนเราแม้จะไม่เป็ที่รักใคร่แต่ขอเพียงมีเงินมีอำนาจย่อมทำสิ่งใดได้ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ
เซวียนชินอ๋องคนหน้าหนาไม่ได้รู้สึกอันใดทั้งสิ้น เขาคิดเพียงว่า เซวียนซานหลางมีหน้าที่กตัญญูต่อเขาที่เป็บิดา การทำให้เขามีหน้ามีตาก็นับว่าเป็ความกตัญญูอย่างหนึ่ง
เซวียนซานหลางคร้านจะสนใจ ตราบใดที่บิดาผู้นี้ไม่ทำสิ่งใดที่มาล้ำเส้นเขา หรือไปรับสินบนจากเหล่าขุนนางและทำเื่ชั่วช้าเขาเองก็คร้านจะคิดเล็กคิดน้อย
งานเลี้ยงในวันนี้ค่อนข้างคึกคัก ฮ่องเต้เซวียนจงส่งขันทีข้างกายตนมาเป็ตัวแทนนำของขวัญมามอบให้น้องชาย แม้จะไม่ชอบที่น้องชายทำตัวไม่เอาไหน แต่เพราะเห็นแก่เซวียนซานหลาง เขาจึงส่งคนนำของมามอบให้เพื่อรักษาหน้า
สวีเมิ่งเหยารีบตื่นขึ้นมาแต่งหน้าทำผมและแต่งกายอย่างงดงามั้แ่เช้าตรู่ งานเลี้ยงครั้งนี้นางจะต้องโดดเด่นที่สุด เซวียนซานหลางชายหนุ่มที่นางหลงรักจะต้องตกตะลึงในความงามของนาง ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างรู้ว่านางงามพร้อม สตรีคนใดก็ไม่อาจเทียบนางได้ นางคือคนที่คู่ควรกับเซวียนซานหลางมากที่สุด ตำแหน่งพระชายาของซื่อจื่อย่อมต้องตกเป็ของนางเพียงผู้เดียว!
แม้แต่มู่หลานเฟินก็ไม่อาจสู้นางได้ เป็แค่บุตรสาวตระกูลคหบดีต่ำต้อยจะเอาอะไรมาเทียบเคียงบุตรสาวที่เกิดจากจวนราชครูเช่นนางกัน
สวีเมิ่งเหยาเดินทางมาพร้อมกับบิดาของตน ราชครูสวีเป็ที่นับหน้าถือตาของคนทั้งเมืองหลวง อีกทั้งยังเป็ถึงอาจารย์ขององค์รัชทายาทเซวียนจิ้น และเซวียนซานหลางเองก็ได้บิดาของนางคอยสั่งสอนความรู้ในวัยเยาว์เช่นเดียวกัน เรียกได้ว่าครอบครัวของนางใกล้ชิดสนิทสนมกับเชื้อพระวงศ์เป็อย่างยิ่ง
เมื่อเข้ามาในงานก็พบกับเซวียนซานหลางที่กำลังยืนสนทนากับเหล่าขุนนาง คนที่ยืนอยู่ข้างเขานั้นคือเซวียนเจ๋อคุณชายรองน้องชายของเขา บิดาของนางแยกไปพบปะพูดคุยกับเซวียนชินอ๋องและพระชายา ส่วนนางก็มารวมตัวกับเหล่าสตรีน้อยที่มาร่วมงาน ทุกคนต่างสนทนากับนางอย่างประจบประแจง และยังพูดอีกว่านางเหมาะสมกับเซวียนซื่อจื่อราวกับกิ่งทองใบหยก นั่นยิ่งทำให้นางเขินอายเข้าไปใหญ่
"พี่ใหญ่ ข้าจะไปดูหรานหร่านเสียหน่อย นางเพิ่งจะออกมาจากโรงครัว เพราะไปช่วยท่านแม่ดูแลเื่อาหาร ไม่รู้ว่าตอนนี้แต่งตัวเสร็จหรือยัง ข้าจะไปบอกนางให้รีบหน่อย ข้ารับรองว่าจะตามประกบนางไม่ห่าง ไม่ให้นางทำให้พี่ใหญ่โมโหแน่นอน"
เซวียนเจ๋อเอ่ยจบก็รีบไปหามู่หลานเฟินที่เรือนทันที เซวียนซานหลางมองตามแผ่นหลังน้องชายของตนไป ก่อนที่เขาจะหันมามองคนในงาน ดวงตาคมพลันสบประสานเข้ากับสายตาหวานล้ำของสวีเมิ่งเหยาเข้าพอดี
เขาเพียงยิ้มตอบนางไปตามมรรยาท แต่ดูเหมือนสวีเมิ่งเหยาจะเขินอายหนักถึงขนาดบิดตัวไปมา เซวียนซานหลางไม่ชอบสายตาที่เหล่าสตรีน้อยมองเขาเช่นนั้นเลยด้วยซ้ำ มันทำให้เขารู้สึกอึดอัด
ชั่วชีิวิตนี้เขาไม่เคยคิดอยากจะแต่งงาน หรือหากจะต้องแต่งจริง ๆ เขาก็ยังคิดไม่ออกว่าสตรีแบบใดกันที่จะสามารถทำให้เขายอมฝากทั้งชีิวิตเอาไว้ด้วย
เขาเคยมีความคิดว่า ภรรยาในภายภาคหน้าจะต้องเหมือนกับท่านแม่ อ่อนโยนและแข็งแกร่งไม่หวั่นเกรงต่อเื่อันตรายใด ๆ ชั่วชีวิตของเขาที่ผ่านมาใช้ชีวิตอยู่แต่ในสนามรบ ผ่านเื่เลวร้ายมาไม่น้อย มีเื่ให้ต้องขบคิดตลอดเวลา มีเื่สำคัญให้ต้องจัดการ หากแต่งสตรีที่วัน ๆ ้าให้สามีเอาใจใส่คอยเคียงข้างกายตลอดเวลา คาดว่าชีวิตคู่คงจะไม่มีความสุข
ช่างเถิด นั่นก็เป็เื่ของภายภาคหน้าค่อยขบคิดก็ยังไม่สาย
เซวียนซานหลางละสายตาจากสวีเมิ่งเหยา ก่อนจะหันไปเห็นเซวียนเจ๋อและมู่หลานเฟินที่กำลังเดินมาพร้อมกันเข้าพอดี วันนี้มู่หลานเฟินแต่งตัวงดงามไม่น้อย นางไม่ได้ประทินโฉมใบหน้าจัดจ้านเช่นแต่ก่อน ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าการที่นางแต่งตัวเช่นนี้ออกจะเป็ผู้เป็คนมากกว่าแต่ก่อนมากนัก
เพราะมู่หลานเฟินไม่มีสตรีในเมืองหลวงคบหาด้วยเท่าใดนัก นางจึงแยกตัวมานั่งใต้ต้นไม้คนเดียว เซวียนเจ๋อเองก็เอาแต่เที่ยวเล่น เดิมทีสหายที่สนิทก็มีไม่มากเช่นเดียวกัน ผู้คนต่างลอบนินทาเขาลับหลังว่ามารดาเขามาจากตระกูลพ่อค้า ต่ำต้อยไม่น่าคบหา จึงไม่อยากสนทนาพาทีกับเขา แม้จะเห็นแก่หน้าบิดาแต่ลับหลังกลับลอบดูแคลน เซวียนเจ๋อเองก็คร้านจะสนใจ ใครไม่คบเขาก็ไม่สน
ชายหนุ่มเดินมานั่งลงข้าง ๆ มู่หลานเฟิน มู่หลานเฟินที่กำลังแทะเมล็ดแตงหันมามองเซวียนเจ๋อก่อนจะเอ่ย
"อันใด ท่านก็ไม่มีสหายคบหาหรือ"
เซวียนเจ๋อแย่งเมล็ดแตงในมือของมู่หลานเฟินไปแทะบ้าง
"พวกเขาชอบดูถูกว่าท่านแม่ข้ามีฐานะต่ำต้อยต่อหน้าไม่พูดอะไร แต่ลับหลังกลับนินทา หากเป็เช่นนี้ไม่มีสหายดีกว่า ไม่มีสหายก็ไม่ตาย ข้ามีพี่ใหญ่ก็พอแล้ว อ้อ หรานหร่าน เ้าก็ไม่มีคนคบเหมือนกันนี่ให้ตายเถอะ เราสองคนนี่น่าสงสารเหลือเกิน เหตุใดพวกเขาจึงไม่ชอบพวกเรากันนะ เ้าเคยคิดไหม"
มู่หลานเฟินส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มตาหยี
"ไม่คิดและไม่เคยเก็บมาใส่ใจ ไม่มีสหายไม่ตายหรอก แต่การมีสหายไม่ดีนี่สิเราอาจจะตายได้ ใครไม่อยากคบก็ปล่อยเขาไป คนพวกนั้นก็ทำได้แค่นินทาลับหลัง ไม่กล้าทำอะไรท่านและข้าอยู่แล้ว พวกเรามีจวนชินอ๋องคอยหนุนหลัง จงใช้ชีวิตตามใจชอบ ปล่อยให้พวกเขาปวดหัวกับนิสัยของพวกเราไปเถอะ ก็พวกเราพอใจจะใช้ชีวิตเช่นนี้ ใครจะทำไม"
"มันจะดีหรือ"
"ดีสิ”
มู่หลานเฟินเอ่ยอย่างไม่เห็นเป็จริงเป็จัง นางมองไปโดยรอบก่อนจะยกข้อศอกตนกระทุ้งแขนของเซวียนเจ๋อเบา ๆ
“ท่านดูนั่น ว่าที่พี่สะใภ้ของท่าน สวีเมิ่งเหยามองพี่ชายท่านตาไม่กะพริบเลย"
เซวียนเจ๋อมองไปที่สวีเมิ่งเหยา ก่อนจะหันขวับกลับมามองมู่หลานเฟินอย่างลนลาน
"เ้าห้ามก่อเื่นะ จำไว้ อดทน อย่าตบ หากเ้าทนไม่ไหว ตบหน้าข้าแก้ขัดไปก่อน!"
มู่หลานเฟินรู้สึกขบขันไม่น้อยเลย ญาติผู้พี่ของนางคนนี้จะว่าไปก็น่ารักดี
"ไม่ตบหรอก ไร้สาระสิ้นดี ข้าตัดใจจากเขาแล้ว โอ้โห เซวียนซานหลางผู้นี้เสน่ห์ร้ายกาจไม่เบา ท่านดูสิ สตรีน้อยหลายนางมองเขาตาเป็มันเลย"
"แน่นอนอยู่แล้ว พี่ใหญ่ข้าดูดีที่สุด"
มู่หลานเฟินลอบเบ้ปาก ในขณะที่นางกำลังกินขนมและพูดคุยกับเซวียนเจ๋อไปเรื่อยเปื่อย ก็มีบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามาหานาง
"น้องหรานหร่าน"
มู่หลานเฟินและเซวียนเจ๋อเงยหน้าขึ้นไปมองพร้อมกัน ก่อนจะพบว่าเป็เสิ่นเหวยอัน หัวหน้าศาลต้าหลี่ผู้นั้นนั่นเอง
มู่หลานเฟินปัดเศษขนมในมือออกก่อนจะยิ้มให้เขา
"ใต้เท้าเสิ่น ท่านก็มาร่วมงานด้วยหรือ"
"แน่นอนอยู่แล้ว ดีใจที่ได้พบเ้าอีกครั้ง ข้าขอเรียกเ้าว่าน้องหรานหร่านก็แล้วกันนะ ส่วนเ้าก็สามารถเรียกข้าว่า พี่เสิ่นได้"
มู่หลานเฟินไม่คิดว่าเขาจะมาสนิทสนมกับนางง่ายดายขนาดนี้ อีกทั้งรู้จักนามรองของนางอีกด้วย แต่นางไม่อยากเสียมรรยาทกับเขาจึงทำได้เพียงพยักหน้า อย่างไรคนมีอำนาจเช่นเขาหากอยากรู้เื่ของผู้ใดย่อมง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ
เสิ่นเหวยอันหันไปพยักหน้าให้คนของตนที่ติดตามมา พวกเขารู้งานยิ่งรีบนำสุราไหหนึ่งมามอบให้มู่หลานเฟิน นางมองมันอย่างสนใจ ก่อนจะเอ่ยถามเขา
"สุราหรือ ให้ข้าหรือเ้าคะ"
"ใช่แล้ว ครั้งก่อนเ้าช่วยข้าจับคนร้ายได้สำเร็จ เดิมทีอยากจะขอความชอบให้เ้า แต่ซื่อจื่อคงจะไม่ชอบใจ ข้าเองก็ไม่อยากล้ำเส้นผู้ใด จึงนำสุราดอกท้อไหนี้มามอบให้้เ้าแทนการขอบคุณ หวังว่าน้องหรานหร่านจะไม่รังเกียจ"
มู่หลานเฟินเมื่อได้ยินก็ยิ้มตาหยี รังเกียจอันใดกันเล่า นางน่ะชอบดื่มสุราเป็ที่สุดเลย
"ไม่รังเกียจเลยเ้าค่ะ ไม่รังเกียจ พี่เสิ่น ขอบคุณท่านมาก สุราดอกท้อไหนี้ข้าจะค่อย ๆ ดื่ม ไม่ทำให้ท่านเสียน้ำใจแน่นอน อ้อ ข้ามีนามเต็มว่ามู่หลานเฟิน"
"หลานเฟินที่แปลว่ากลิ่นหอมของดอกกล้วยไม้ใช่หรือไม่"
“เ้าค่ะ”
“ชื่อนี้เหมาะกับเ้า”
“พี่เสิ่นชมเกินไปแล้ว”
เหล่าสตรีน้อยที่เห็นว่าเสิ่นเหวยอันเข้าไปสนทนากับมู่หลานเฟินก็ไม่พอใจ เสิ่นเหวยอันเป็ใครกัน เขาคือหนึ่งในบุรุษเทพรูปงามของแคว้นต้าหลางเชียวนะ
แคว้นต้าหลางมีบุรุษที่รูปงามและโดดเด่นจนเป็ที่เลื่องลืออยู่สามคน คนแรกคือ เซวียนซานหลาง ซื่อจื่อจวนชินอ๋อง คนที่สองคือเสิ่นเหวยอัน หัวหน้าศาลต้าหลี่ที่แสนเ้าสำราญ คนที่สามคือ ซูอวี้เฉิง หัวหน้าองครักษ์เสื้อแพร ได้ยินว่าเขาไปจัดการงานราชการที่นอกเมือง ครั้งนี้จึงไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยง เพียงส่งคนนำของขวัญมามอบให้เท่านั้น
แต่ยามนี้เสิ่นเหวยอันกลับไปสนทนาอยู่กับมู่หลานเฟินอย่างสนิทสนม นางจิ้งจอกนั่นจะเกินไปหน่อยแล้ว นี่คิดจะยั่วยวนทำให้บุรุษหลงใหลทุกคนเลยอย่างนั้นหรือ
เสิ่นเหวยอันมีหรือจะไม่รับรู้ถึงสายตาริษยาที่สตรีเ่าั้มองมา แต่เขาไม่สนใจ ชายหนุ่มมองมู่หลานเฟินที่ตอนนี้กำลังอุ้มไหสุราอย่างอารมณ์ดี ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
น่ารักน่าชังจริง ๆ
เซวียนซานหลางที่เห็นอย่างนั้นก็เดินเข้ามาหาเสิ่นเหวยอัน
"ใต้เท้าเสิ่น เชิญท่านมานั่งตรงนี้เถอะ อาหารเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว สุราชั้นดีก็มีไม่น้อย ขอบคุณที่มาร่วมงานวันเกิดของท่านพ่อข้า"
เสิ่นเหวยอันหันมามองเซวียนซานหลาง ก่อนจะเอ่ย
"ขอบคุณซื่อจื่อที่ให้การต้อนรับขับสู้เป็อย่างดี ข้าเพียงเอาสุราดอกท้อมามอบให้้น้องหรานหร่านเท่านั้น อีกเดี๋ยวจะไปร่วมดื่มสุรากับท่านสักจอก"
น้องหรานหร่านหรือ?
เซวียนซานหลงหันมามองมู่หลานเฟินที่ในมืออุ้มไหสุรา ปากก็พูดคุยกับเซวียนเจ๋อไม่หยุดปาก เขาส่งเสียงเหอะออกมา ดีนักนี่ ถึงขนาดทำให้เสิ่นเหวยอันยอมพูดคุยด้วย นางมีความสามารถไม่น้อยเลย
มู่หลานเฟินที่เห็นว่าเซวียนซานหลางมองมาก็ลอบกลอกตาไปมาคราหนึ่ง เขาและนางอยู่ร่วมบ้านกันแน่นอนว่าย่อมหลีกเลี่ยงการไม่พบเจอคงไม่ได้ หญิงสาวคร้านจะสนใจเขา จึงเดินอุ้มไหสุราเอากลับไปเก็บที่เรือนด้วยตนเอง ลั่วเหมยจะเอาไปเก็บให้นางก็ไม่ยอม เพราะเกรงว่าลั่วเหมยจะทำไหสุราของนางแตก
หลังจากจัดการเก็บไหสุราเรียบร้อยแล้ว นางก็เดินออกมาจากห้อง แต่กลับพบว่าตอนนี้เซวียนซานหลางกำลังยืนรอนางอยู่ที่หน้าลานเรือน มู่หลานเฟินสะดุ้งโหยง นางมองเขาราวกับเห็นผี หญิงสาวพยายามปรับสีหน้าให้เป็ปกติ ก่อนจะเดินเข้าไปหาเขา
"ซื่อจื่อ ท่านมีเื่อันใดจะพูดกับข้าหรือไม่"
เซวียนซานหลางย่นหัวคิ้ว ทุกครายามที่พบเจอกันนางมักจะเรียกชื่อเขาเสียงอ่อนเสียงหวาน แต่วันนี้กลับต่างออกไป
“เ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ"
"ซื่อจื่อ ต่อไปข้าจะเรียกท่านว่าซื่อจื่อ จะไม่ทำตัวสนิทสนมกับท่านแล้ว บอกตามตรง ข้าไม่อยากอายุสั้น ท่านมีสิ่งใดอยากพูดกับข้าหรือไม่ หากไม่มีเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน"
"ช้าก่อน"
"มีอันใดอีก"
"เ้าไปฝึกฝนวรยุทธ์มาจากที่ใด"
มู่หลานเฟินชะงักไปเล็กน้อย นางเองรู้อยู่แก่ใจดีว่าเขาย่อมไม่มีทางปล่อยผ่านเื่นี้ไปอย่างง่ายดายแน่นอน
"ตอนที่อยู่บ้านเดิมที่นอกเมืองหลวง ข้าได้ช่วยอาจารย์คนหนึ่งที่ได้รับาเ็จากโจรป่าเอาไว้ คราแรกข้าไม่รู้หรอกว่าเขาคือใคร แต่พออาการเขาหายดีเขาก็ตอบแทนข้าด้วยการสอนวรยุทธ์อันน้อยนิดให้ แต่ข้าก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรมาก ซื่อจื่อ ท่านวางใจเถอะ ข้าไม่ทำร้ายท่านหรอก เทียบกันแล้ว วรยุทธ์อ่อนหัดอย่างข้าหรือจะสู้เทพาเช่นท่านได้"
เซวียนซานหลางจ้องมู่หลานเฟินอย่างไม่ละสายตา เขา้ามองหาพิรุธในสายตาของนาง แต่กลับไม่พบอะไรเลยสักอย่าง มู่หลานเฟินในตอนนี้ทำให้เขาคาดเดาสิ่งใดจากนางไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ด้านมู่หลานเฟินที่โกหกตาใสก็ลอบยิ้มอ่อนในใจ
"ไม่มีสิ่งใดแล้วใช่หรือไม่ ข้าไปละ"
"ข้าให้เ้าไปได้แล้วหรือ"
มู่หลานเฟินเริ่มหมดความอดทนแล้ว นางหันมามองเขาด้วยสายตาที่เอือมระอาเต็มทน
"มีอะไรอีกเล่า รีบพูดมา"
"เสิ่นเหวยอันไม่ใช่คนที่เ้าจะหว่านเสน่ห์ใส่ได้ นิสัยเขาไม่ได้ต่างไปจากข้า หากไม่อยากอายุสั้น ก็หัดทำตัวให้มันเงียบ ๆ บ้าง"
มู่หลานเฟินเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมา
"ไม่ใช่ว่าทุกคนจะไร้หัวจิตหัวใจเช่นท่านหรอกนะ ข้ามองออกว่าเขาก็เป็คนดี อ้อ ดีกว่าท่านเสียอีก แล้วที่สำคัญข้าก็ไม่ได้หว่านเสน่ห์ใส่เขา ตาท่านคงมีปัญหาแล้วกระมัง"
"มู่หลานเฟิน!"
"โอ๊ะ สวีเมิ่งเหยาว่าที่ภรรยาท่านเดินมาโน่นแล้ว!"
เซวียนซานหลางหันไปมองก่อนจะพบเพียงความว่างเปล่า เมื่อหันกลับมาก็พบว่ามู่หลานเฟินสตรีเ้าเล่ห์ได้วิ่งหนีเขาไปไกลเสียแล้ว ที่สำคัญก่อนไปนางยังลอบยกข้อศอกกระแทกแผ่นหลังของเขาอย่างแรงอีกด้วย
มันน่านัก!
