กองกำลังข้าศึกบุกประชิด กระทั่งเหล่ากาดำก็ยังพากันบินหนี
แม้ว่าพวกมันจะประทังชีวิตด้วยเนื้อจากซากศพก็ตาม ทว่าพวกมันก็หวาดกลัวคาวเืจากการเข่นฆ่าเหลือเกิน
ผืนฟ้ายังคงมืดมน แม้จะเป็ยามสนธยาก็ไร้วี่แววของแสงตะวันยามอัสดง
สายลมที่โบกพัดก็หยุดแล้ว ทว่าต้นหญ้ากลับไม่ฟื้นคืน ยังคงเอนลู่ไปกับผืนดินดังเดิม
กองทัพจิงเคลื่อนพลมาแล้ว ทั้งยังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ทั้งยังไม่ได้มากันแค่สิบหรือยี่สิบคนเหมือนก่อนหน้า ฟังแค่เสียงก็ยังพอประมาณได้ว่าอย่างน้อยต้องมีนับพันคน
มากกว่าทหารยี่สิบคนเมื่อครู่ไม่รู้ตั้งกี่สิบเท่า
แคว้นจิงมีาภายในมายาวนาน กระทั่งเื่เล็กน้อยก็ยังทำากันได้ สู้กันจนตายก็มีถมเถ
คนที่มีชีวิตรอดต่อล้วนแต่เป็กองกำลังที่มีอาวุธครบมือ
ยามนี้หมู่บ้านไป๋กู่ก็ได้ทุ่มกองกำลังทั้งหมดที่ตนจะหาได้มาไว้ที่นี่แล้ว ไม่ว่าจะเป็ช่างฝีมือที่หลอมอาวุธกู่ เหล่าสตรีจากโรงทอผ้า เหล่าคนจากถ้ำเชลยที่ถูกช่วยออกมา ชาวบ้านที่เพิ่งจะเข้ามาอาศัยอยู่ใหม่ในหมู่บ้านไป๋กู่ หรือจะเป็คนที่มาขึ้นทะเบียนภูมิลำเนาไว้ในหมู่บ้านไป๋กู่ ชาวหน่วยลาดตระเวน หรือเหล่าผู้รักษาความปลอดภัยในด่านเก็บค่าผ่านทาง คนที่พอมีกำลังก็ล้วนแต่ถูกลากมาช่วยกัน
รวมๆ แล้วก็น่าจะมีกันราวเกือบพันคน
ความจริงแล้วเดิมทีนั้นก็มีกันเกือบสองพันคน แต่เพียงแค่เห็นว่ากองทัพจิงบุกมา เหล่าคนที่เพิ่งจะเข้ามาอาศัยในหมู่บ้านไป๋กู่ก็พากันหนีเอาตัวรอดไปมากมาย
แต่ก็คงจะเป็เพราะคนเหล่านี้ไม่ได้ใกล้ชิดกับหัวใจสำคัญของหมู่บ้านไป๋กู่มากนัก
หากอยากไป นายท่านสามก็ล้วนปล่อยพวกเขาไป
ทว่าตรงหน้านี้นอกจากชาวหมู่บ้านไป๋กู่ที่ยังมีชีวิตรอด หมู่บ้านอื่นๆ บนทุ่งหญ้าล้วนแต่โดนฆ่ากันแทบไม่เหลือ กระทั่งวัดศักดิ์สิทธิ์บนูเาหิมะก็ยังโดนเผาจนราบเป็หน้ากลอง เหล่าคนที่หนีไปก็คาดว่าคงไม่เหลือแล้วเช่นกัน
ยามอยู่บนสนามรบจึงได้เห็นได้เห็นธาตุแท้ของคน
คนที่เคยคิดว่าไว้ใจได้ กลับไว้ใจไม่ได้ พากันหนีไปหมด
คนที่เคยคิดว่าไว้ใจไม่ได้ เช่นคนอย่างท่านนายอำเภอเฉินและเสมียนซูกลับยืนหยัดไม่หนีไปไหน
เสมียนซูนั้นพาเหล่านักการในศาลาว่าการไปช่วยเหล่าราษฎรที่ได้รับาเ็
ท่านนายอำเภอเฉินเมื่อรู้ว่าทางราชสำนักไม่ยอมส่งกองทัพมา ก็ออกเดินทางบนหลังม้าติดกันหลายราตรี เพื่อจะขอกองทัพมาช่วยเหลือให้ได้
นายทหารกองทัพจิงทั้งยี่สิบคนเมื่อครู่นับว่าแค่ฝึกฝีมือ ก่อนหน้าก็ยังมีทหารแคว้นจิงหลุดมาให้ฝึกฝนกันอยู่ไม่ขาด ทว่าบัดนี้เหล่าทหารแคว้นจิงเต็มกองทัพกำลังประชิดมาแล้วจริงๆ
เฉินโย่วกล่าวว่าห้ามถอย
พวกเขาจึงไม่ถอย
ไม่ใช่ว่าพวกเขางมงายที่เชื่อคำนาง
เฉินโย่วต่อให้เก่งกาจเพียงใด อย่างไรก็เป็เพียงเด็กหญิงคนหนึ่ง ทว่าพวกเขาต่างก็รู้ว่าไม่มีทางให้ถอยอีกแล้ว
หากหนีกลับไป อย่างไรก็ถูกฆ่าอยู่ดี
แทนที่จะโดนฟันตายในยามชุลมุน ไม่สู้เผชิญหน้าต่อสู้กับข้าศึกเสีย ไม่แน่ว่าอาจจะมีทางรอดอยู่บ้าง
ขบวนจากหมู่บ้านไป๋กู่จึงค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้
อาลู่ เสี่ยวอู่ และนายท่านสามล้วนแต่มาหยุดอยู่ตรงหน้าเฉินโย่ว
พวกเขาอยากจะบอกลาน้องสาว ทว่ายามมาอยู่ตรงหน้านาง กลับไม่รู้จะเอ่ยคำใด
ยามนี้ไม่มีอะไรน่าบอกลา หากต้องตายก็ย่อมต้องตายด้วยกัน
นายท่านสามเองก็เช่นกัน เพราะเขารู้ว่าหากพวกเขาตายกันหมดแล้ว อู๋เลี่ยงเองก็คงจะไม่มีชีวิตอยู่ต่อเพียงลำพังเช่นกัน
นางย่อมจะต้องตามพวกเขาไปเป็แน่ ทั้งยังไม่ต้องให้นางมาเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้
เมื่อคิดเช่นนั้น ในใจเขาก็พลันผ่อนคลายลง
กระทั่งคำพูดและรอยยิ้มก็ดูผ่อนคลายขึ้นมาเช่นกัน ราวกับว่าเขานั้นไม่ได้ยินเสียงตึงตังของกองทัพจิงที่กำลังย่ำมา
เ้าเสี่ยวอวี้ อินทรีศักดิ์สิทธิ์ที่บินอยู่บนฟ้าก็ค่อยๆ ร่อนลงมา แล้วจึงหยุดยืนอยู่ข้างรถม้า จะงอยปากแหลมของมันมีคราบเืเปรอะเปื้อน
ปกติมันกับเ้าม้าสีนิลต้าเฮยยามอยู่ด้วยกันก็ราวน้ำกับไฟ แค่ได้เจอกันก็ต้องต่อยตีกันอยู่ร่ำไป ทว่ายามนี้มันกลับยืนข้างเ้าม้าสีนิลอย่างเป็มิตร
เพียงแต่แววตาของเสี่ยวอวี้ เ้านกหน้ามนุษย์ดูราวกับกำลังเศร้าโศกอยู่ก็ไม่ปาน ทั้งยังมีแววเหี่ยวเฉา
เฉินโย่วยืนมือไปลูบหัวมันเบาๆ
อาลู่เมื่อเห็นเสี่ยวอวี้ก็ยิ้มขึ้น “เสี่ยวอวี้ช่างร้ายกาจนัก นกตัวหนึ่งสามารถสังหารทหารจิงได้นับสิบนาย ทั้งยังช่วยข้าไว้ตั้งหลายครา ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะไม่พ่ายแพ้ก็เป็ได้ บางที่เสี่ยวอวี้อาจจะร้องเรียกพวกมาอีกสักฝูงให้มาช่วยพวกเราได้”
เฉินโย่วฟังแล้วก็หัวเราะคิกขึ้นมา
“พี่ชาย ให้ข้าลองเป่าดูสักเพลงเถิด”
แม้ว่าเวลานี้จะดูไม่เหมาะนัก ทว่าเขาก็ยังคงล้วงสร้อยออกมาจากอกตน
น้องสาวเป็คนเก็บวงกลมเหล็กเป็สนิมนี้มาจากพื้นหญ้า เขาสวมมันไว้กับตัวมานานเหลือเกิน นานวันจึงได้เห็นว่ามันเริ่มทอประกายสีแดงออกมา ดูแล้วงดงามไม่เบา
รูปนก้าก็ยิ่งดูคล้ายกับว่ามีชีวิต ยามที่เป่ามันก็เหมือนกับว่าตนกำลังได้เห็นเ้านกในภาพกำลังสยายปีกโบยบิน
เพราะว่าน้องสาวเป็คนมอบสิ่งนี้ให้เขา เขาจึงรู้สึกว่ามันล้ำค่านัก
เฉินโย่วยื่นมือมารับวงกลมเหล็ก จากนั้นก็จรดลงบนริมฝีปาก หลับตาคู่งามลง แล้วเป่าเบาๆ
เสียงแ่เบาพลันดังขึ้น นางเพียงแค่เป่าออกมา ไม่ได้มีทำนองอะไร
ทว่าเสียงนี้เพียงแค่เพิ่งจะดังขึ้น เสี่ยวอวี้ก็พลันเงยหน้าขึ้นทันใด ใบหน้าคล้ายมนุษย์ของมันเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
เ้านกั์สยายปีกขึ้นกระพือขึ้นทันที แล้วจึงบินจากไปอย่างรวดเร็ว
“แคว้ก…” เสี่ยวอวี้ที่กระพือปีกอยู่กลางท้องฟ้าพลันร้องขึ้นเสียงดังลั่น
เสียงของมันราวกับอยากจะสับเมฆตรงหน้าให้แหลกเป็หมื่นชิ้น
“แคว้ก...แคว้ก…” ทันใดก็มีเสียงคล้ายกันดังขึ้นสองครั้ง มีเสียงเช่นเดียวกันดังขึ้นอีกนับครั้งไม่ถ้วน
เสียงแหลมดังขึ้นเป็ระยะ ส่วนเฉินโย่วก็ยังคงเป่าเพลงของนางอยู่ ทว่าทุกคนกลับอดไม่ได้ที่จะแหงนขึ้นมองฟ้า
เพราะเหมือนว่าทุกสารทิศนั้นกำลังมีอินทรีศักดิ์สิทธิ์กำลังบินมาที่นี่ มากมายเสียจนบดบังดวงตะวันให้มืดมิด
ช่างมหัศจรรย์นัก หัวของอินทรีศักดิ์สิทธิ์ช่างใหญ่โต ปีกของแต่ละตัวก็ใหญ่ราวกับหมู่เมฆที่ครอบคลุมผืนฟ้าเบื้องบนไว้
จวบจนบทเพลงที่ดังขึ้นจบลง ใบหน้าของเฉินโย่วก็เปลี่ยนเป็ซีดขาว มือคู่น้อยยื่นวงกลมเหล็กคืนให้พี่ชาย
เอาลู่สวมสร้อยวงกลมเหล็กลงบนคออย่างมึนงง จากนั้นก็เห็นเสี่ยวอวี้กำลังบินดิ่งลงมา แล้วจึงมาหยุดข้างกายเขาพร้อมใบหน้าเปรมปรีดิ์
มันใช้จะงอยปากจิกมือเขาเบาๆ เหมือนยามปกติที่มันก็เคยเล่นเช่นนี้กับเขา
อาลู่ใช้วิธีการนี้ในการฝึกมัน เริ่มต้นจากการสร้างพื้นฐานในการสื่อสาร
ครั้งนี้เสี่ยวอวี้จิกมือเขาเสียหลายครา
เสี่ยวอู่เห็นเช่นนั้นก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย “พี่ลู่ เสี่ยวอวี้กล่าวอันใดรึ”
อาลู่ก็เอ่ยตอบเสี่ยวอู่ด้วยความใ “เสี่ยวอวี้กล่าวว่าครอบครัวมันกำลังมาหามัน ทั้งพวกมันยังยินดีจะช่วยเหลือ”
เมื่อได้พบกับเื่พลิกผันเช่นนี้ ความเชื่อมั่นของทุกคนก็พลันทวีขึ้นทันที
แม้ว่าเสียงของกองทัพจิงจะยิ่งใกล้เข้ามาทุกขณะ ทว่าฝีเท้าของพวกเขายิ่งออกเดินก็ยิ่งมั่นคงขึ้นเช่นกัน
ยามนี้กระทั่งอินทรีศักดิ์สิทธิ์ก็ยังมาคุ้มครองพวกเขา พวกเขาย่อมไม่มีทางจะสิ้นชีพ พวกเขาย่อมต้องชนะ
เหล่านกั์ยังคงกระพือปีกที่ใหญ่โตเสียจนบดบังแสงตะวันอยู่เหนือศีรษะชาวหมู่บ้านไป๋กู่
ในที่สุดทั้งสองกองทัพก็ได้มาประจันหน้ากัน
กองทัพจิงที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามพลันตกตะลึง
พวกเขาไม่เคยพบเหตุการณ์เช่นนี้
เ้านกพวกนั้นน่าจะเป็อินทรีศักดิ์สิทธิ์ั์กระมัง ก่อนหน้ายามที่พวกเขาเผาวัดบนูเาหิมะ พวกเขาก็ถือโอกาสเผารังของพวกมันไปด้วยเสียเลย ตอนนั้นยังเห็นเ้าอินทรีโชคร้ายตัวหนึ่งโดนเผากับตา ตอนนั้นก็ไม่เห็นว่าพวกมันจะมาแก้แค้นอันใด เพียงแต่พากันบินหนีไปเท่านั้น
ช่างน่าขันนักที่พวกคนป่าเถื่อนยังอุตส่าห์บอกว่าพวกมันเป็นกศักดิ์สิทธิ์
นกย่างล่ะสิไม่ว่า
ทว่าบัดนี้เ้าอินทรีพวกนั้นมันกลับมาแล้ว ทั้งยังมากันเป็ฝูงใหญ่ ราวกับมีคนสามารถควบคุมพวกมันได้ก็ไม่ปาน
ใต้ฝูงอินทรีที่โบยบินอยู่นั้น ยังมีกลุ่มคนบนหลังม้าอีกกลุ่มใหญ่
แม้ว่าจะมีกันค่อนข้างมาก แต่ก็ล้วนไร้ซึ่งระเบียบ ทั้งด้านในยังมีสตรี เ้าพวกนี้ช่างราวกับส่งอาหารมาให้พวกเขาเคี้ยวเล่นแท้ๆ
บนธงยังมีรูปหัวกะโหลกกับนกที่ร่างเป็เปลวเพลิงนั่นอีก ดูอย่างไรก็ช่างน่าขันนัก
ตลอดเส้นทางของกองทัพจิงเจอเทพก็สังหารเทพ เจอพระก็สังหารพระ กระทั่งวัดพวกเขาก็ยังเผาเสียจนวอดวาย แน่นอนว่าย่อมไม่มีสิ่งใดที่ต้องกลัว เมื่อเห็นคนบนหลังม้ากลุ่มนี้พวกเขาก็ไม่จำเป็ต้องยี่หระอันใด แค่ขู่ให้เสียงดังหน่อยก็เป็อันใช้ได้
แม่ทัพแคว้นจิงที่นำทัพอยู่พลันะโขึ้น “รีบสู้ให้จบไปเสีย ภายในหนึ่งเค่อต้องฆ่าให้หมด แล้วค่อยกลับไปตั้งค่าย บนทุ่งหญ้าหมาป่านับวันก็ยิ่งเยอะขึ้น ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน”
“รีบฆ่าให้จบ ฆ่าให้หมด ฆ่าให้หมด ฆ่าให้หมด!”
เสียงกู่ก้องดังลั่นฟ้า
อาลู่บนหลังม้า ออกตัวพุ่งเข้าสู่สนามรบเป็คนแรก
เสี่ยวอู่กวัดแกว่งลูกเหล็กของตนไปมา ฟาดไปอย่างไม่ลังเล
นายท่านสามยกหอกยาวขึ้น แล้วออกแรงแทงไม่ละเว้น
เหล่าแม่นางกระชับมีดในมือแน่น แล้วก้าวออกไปอย่างมั่นใจ ก่อนจะพุ่งเข้าโจมตี
ไม่มีใครหันหลังกลับแม้สักคนเดียว
เืสดๆ พลันเจิ่งนอง
กระเซ็นขึ้นท้องฟ้า แล้วหลั่งรินลงสู่พื้นดิน
ตรงขอบฟ้าไม่รู้ว่าเมฆดำเ่าั้หายไปั้แ่เมื่อใด ทว่าบัดนี้อาทิตย์ยามอัสดงกลับปรากฏขึ้นอีกครั้งแล้ว
ช่างออกมาช้านัก ยามปรากฏริมขอบฟ้าอีกครั้งก็เห็นเพียงแค่ครึ่งดวง เพียงพริบตาก็หายลับไปในทุ่งหญ้าอีกครั้ง
เหล่าทหารจิงพากันตื่นตระหนก
เดิมทีพวกเขาคิดจะรีบเข่นฆ่าให้มันจบไป แต่ไม่คิดว่ากองทัพเช่นนี้จะโจมตียากเย็นนัก สามารถกล่าวได้ว่านี่เป็ครั้งแรกที่พวกเขาได้ต่อสู้กับกองทัพที่มีฝีมือพอๆ กับพวกตน
ทั้งยังมีเ้าพวกอินทรีดุร้ายพวกนั้นอีก
ช่างไม่กลัวตายอย่างแท้จริง เอาแต่พุ่งลงมาปลิดชีพมนุษย์เบื้องล่าง
มีอินทรีตัวหนึ่งที่โดนฟันปีกเข้า มันยังอุตส่าห์ใช้ปีกอีกข้างที่เหลือมากวาดพวกเขาให้ล้มลง
ขนาดอินทรียังเป็เช่นนี้ คนกลุ่มนี้ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง
เหล่าสตรีร่างอ้อนแอ้นแคว้นเชินเ่าั้ช่างไม่กลัวตาย แม้จะฟันลงไปบนหน้าพวกนาง พวกนางก็มิได้สนใจ ยังคงพุ่งเข้ามาจู่โจมหวังจะปลิดชีพ
เ้าพวกเด็กหนุ่มพวกนั้นก็ยิ่งแล้วใหญ่ อาจหาญเกินมนุษย์นัก
โดยเฉพาะเ้าเด็กหนุ่มร่างกำยำที่แบกโซ่อยู่นั้น เอาแต่ฟาดลูกเหล็กนั่นไม่ยั้งจนตกจากม้าไปไม่รู้จำนวนเท่าใด เด็กหนุ่มเช่นนี้หากอยู่ในแคว้นจิงของพวกเขาย่อมจะต้องเป็วีรบุรุษที่ผู้คนสรรเสริญอย่างแน่นอน
ยังมีไอ้เ้าเด็กหนุ่มที่ถือมีดสั้นนั่นอีก เ้าเด็กนี่นับว่าอันตรายที่สุด เชือดใครแล้วก็เชือดแต่ที่คอ ทั้งยังขว้างมีดเป็ ใครที่ตกเป็เป้าเข้าแล้วย่อมไม่มีทางรอด
ฝีมือนั้นก็เป็เลิศนัก แต่พวกเขาชาวจิงกลับไม่ชื่นชมเื่นี้เท่าใดนัก
ยังมีชายคิ้วบากอีกคน กองทัพจิงพอจะรู้มาว่า ดูเหมือนเขาคือนายท่านสามคิ้วบากอะไรนั่น
ช่างร้ายกาจนัก ทั้งยังอันตรายไม่เบา
ฝีมือนับว่าปานกลาง แต่ทักษะการหลบหลีกเอาชีวิตรอดนับว่าเป็เลิศนัก
นอกจากคนเหล่านี้ยังมีคนชราที่พิการอีกส่วนหนึ่งที่ก็จัดการยากไม่แพ้กัน
กระทั่งบางครั้งก็ถึงขั้นใช้ปากกัดคน กัดกระชากจนใบหูของฝ่ายตรงข้ามหลุดออกมา กัดจนหน้าเหวอะหวะก็มีเช่นกัน เทียบกันแล้วยังเหี้ยมโหดกว่าทหารจิงอย่างพวกเขาเสียด้วยซ้ำ
