บทที่ 32 เงยหน้าอ้าปาก[1]
“ออกมาสู้สิ” เมื่อเห็นเหล่าศิษย์สายในจากยอดเขาหลักนิ่งเงียบ ฉินชูก็เอ่ยปากพูดขึ้นอีกครั้ง
เหล่าศิษย์สายในยังนิ่งเงียบเช่นเดิม อีกทั้งยังไม่มีใครออกมาสู้ สีหน้าผู้าุโระดับสูงของยอดเขาหลักก็ยิ่งยับยู่ยี่ยิ่งกว่าเดิม
การที่ลูกศิษย์จากยอดเขาหลักไม่กล้าออกมาสู้เช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าศิษย์สายนอกและศิษย์สายในจากยอดเขาหลัก ถูกศิษย์รับใช้ที่เพิ่งเข้าสำนักมาไม่ถึงสามเดือนและเพิ่งบรรลุขั้นที่สองหนิงหยวนมาหมาดๆ เอาชนะขาดลอยไป
ฉินชูหันหน้าไปหาซูซานเหอกับจางจี้ “พวกท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเป็ศิษย์รับใช้ แต่ข้าไม่กลัวที่จะสู้ แพ้ก็แพ้ ในเมื่อข้ากล้าสู้ ข้าก็แพ้เป็ แต่หันไปดูลูกศิษย์ที่พวกท่านสั่งสอนมาสิ...” พูดไปได้ครึ่งหนึ่ง ฉินชูก็หยุดพูด แต่ทุกคนกลับรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าใจความที่ฉินชู้าจะสื่อนั้นคืออะไร
“แล้วเ้าจะได้ตายสมใจ” สีหน้าจางจี้แดงก่ำ ตัวเขาแทบอยากจะฆ่าฉินชูให้ตายเต็มทน แต่เขาก็ไม่กล้าทำเช่นนั้นในตอนนี้
เห็นว่าไม่มีใครออกมาสู้ ฉินชูก็เดินเข้ามายืนด้านหน้าศพของหลิ่วเจ๋อ ท่ามกลางสายตาเคียดแค้นของคนจากยอดเขาหลัก ฉินชูเก็บกำไลมิติ เก็บของและกระบี่ของหลิ่วเจ๋อมา เป็ที่รู้กันว่าทรัพย์ของผู้แพ้ย่อมตกเป็ของผู้ชนะ
หลังจากเก็บของกำนัลหลังจากชนะการต่อสู้แล้ว ฉินชูก็หันกลับมามองไป๋อวี้ เอ้อพั่งและเหล่าศิษย์รับใช้ของสำนักชิงหยุน “เห็นหรือยังว่าการเป็ศิษย์รับใช้ไม่ใช่เื่น่าอาย ใครรังแกดูถูกพวกเรา พวกเราก็เอาคืนได้ วันนี้พวกเราสู้เสร็จก็กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ อีกอย่าง หอศิษย์รับใช้ของพวกเราขาดคน หากผู้ใดคิดว่าเป็ศิษย์สายนอกและศิษย์สายในที่นั่งกินนอนกินไปวันๆ แล้วรู้สึกว่าตนไร้ความหมาย ก็สามารถแวะมาเยี่ยมพวกเราที่หอศิษย์รับใช้ของยอดเขาชิงจู๋ได้ เป็ศิษย์รับใช้แล้วมันอย่างไรกัน ขอแค่ไม่ละเมิดกฎ ก็สามารถเดินยืดอกได้เช่นกัน”
เมื่อพูดจบ ฉินชูก็พาเหล่าศิษย์รับใช้จากยอดเขาชิงจู๋จากไป ก่อนจะจากไปก็ไม่ลืมแสยะยิ้มดูถูกใส่บางคน
หากถามว่าได้ผลหรือไม่...ได้ผลแน่นอน! คำพูดและรอยยิ้มของฉินชูทำให้สีหน้าของพวกซูซานเหอกับจางจี้เหมือนกำลังฝืนใจกลืนแมลงวันก็ไม่ปาน
เมื่อฉินชูกลับมาถึงหอศิษย์รับใช้บนยอดเขาชิงจู๋ เขาก็เรียกเหล่าศิษย์รับใช้มารวมตัวกัน
“ครั้งนี้พวกเรากู้หน้ากู้ศักดิ์ศรีกลับมาได้ก็จริง แต่ในเวลาเดียวกันพวกเราก็ตกเป็เป้าหมายของคนที่ไม่พอใจด้วย และอาจจะไม่ใช่คนจากยอดเขาเดียวกัน เวลาออกไปทำอะไรข้างนอกยอดเขาชิงจู๋ก็จงระวังคนจากยอดเขาอื่นๆ ต่อจากนี้เวลาออกไปทำภารกิจ ก็อย่าออกไปไกลมาก ทำภารกิจอยู่ในขอบเขตของตัวเองก็พอและอย่าลืมฝึกตนพัฒนาฝีมือตัวเองให้ดี” เมื่อเห็นเหล่าพี่น้องศิษย์รับใช้มารวมตัวกันที่ลานกว้างพร้อมหน้า ฉินชูก็วิเคราะห์ให้ทุกคนฟังและเตือนทุกคนด้วยความหวังดี
“ฉินชู ข้าอยากมาอยู่ที่หอศิษย์รับใช้” หลินเจิงโผล่ออกมาพร้อมกับศิษย์สายนอกอีกสองสามคน
“ข้าขอขอบคุณพวกเ้ามากที่ยืนอยู่เคียงข้างพวกเราในวันที่หอศิษย์รับใช้เผชิญหน้ากับการรุกรานภายนอก แต่ในเมื่อพวกเ้าเดินไปในทางที่สูงกว่าแล้ว จงอย่าได้หวนกลับ” ฉินชูพูดกับหลินเจิง
หลินเจิงส่ายหน้า “พวกเรายังคงเดินอยู่ในเส้นทางนั้นต่อไป จริงอยู่ที่สวัสดิการของศิษย์รับใช้กับศิษย์สายนอกนั้นเปรียบเทียบกันไม่ได้ แต่พวกเรากลับได้เรียนรู้อะไรนอกเหนือจากการต่อสู้จากหอศิษย์รับใช้ ซึ่งก็คือจิติญญาและแรงศรัทธาจากหอศิษย์รับใช้” หลินเจิงพูดความคิดเห็นของตัวเองออกมา
“เช่นนั้นก็แล้วแต่พวกเ้า แน่นอนว่าข้าอยากให้พวกเ้ามาเข้าร่วมอยู่แล้ว อีกอย่างพวกเ้าสามารถพาพวกเขาไปทำภารกิจได้ พวกเขาไม่มีทางคลำหินข้ามแม่น้ำแน่นอน เอ้อพั่ง เ้าคอยดูแลเื่นี้แล้วกัน” หันไปสั่งเอ้อพั่งเสร็จ ฉินชูก็จากไป เขายังต้องกลับไปวิเคราะห์และตกผลึกการต่อสู้ในวันนี้อีก
เอ้อพั่งมองตามแผ่นหลังของฉินชู จากนั้นก็หันกลับมามองพวกหลินเจิง “พวกเราขอต้อนรับพวกเ้า แต่ข้าขอบอกไว้ก่อน หัวหน้าของศิษย์รับใช้มีเพียงหนึ่งเดียวและพวกเราศิษย์รับใช้ก็เห็นพ้องต้องกันว่าคนที่เหมาะสมคือฉินชู”
แน่นอนว่าพวกหลินเจิงไม่มีปัญหากับเงื่อนไขนี้ เพราะเขา้าซึมซับจิติญญาและความมุ่งมั่นที่อยากจะพัฒนาตนเองจากฉินชู พวกเขาไม่มีเจตนามาแย่งตำแหน่งแต่อย่างใด
ในขณะที่ฉินชูกลับไปฝึกต่อ พวกหลินเจิงเองก็ไปยังหอศิษย์สายนอกเพื่อทำเื่ย้ายไปหอศิษย์รับใช้
เื่นี้ทำเอาผู้ดูแลหอศิษย์สายนอกถึงกับกุมขมับว่า มีเื่แบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ที่ผ่านมามีแต่ศิษย์รับใช้ที่กระเสือกกระสนขอเลื่อนขั้นเป็ศิษย์สายนอก มีศิษย์สายนอกสติดีที่ไหนกันที่ขอย้ายไปเป็ศิษย์รับใช้
แต่ผู้ดูแลศิษย์สายนอกก็ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อพวกเขา้าเช่นนี้ ผู้ดูแลหอศิษย์สายนอกจึงทำได้แค่รายงานให้เหล่าผู้าุโรับทราบ
เมื่อทราบเื่ เหล่าผู้าุโก็เปิดประชุมหารือกันถึงเื่นี้ทันที แม้แต่หลัวเจินเองยังใ ตอนนี้ ไม่ว่าเื่อะไรที่เกี่ยวกับหอศิษย์รับใช้แห่งยอดเขาชิงจู๋ล้วนไม่ใช่เื่เล็กน้อยเลย
“ปล่อยพวกเขาไป หอศิษย์รับใช้จำเป็ต้องมีลูกศิษย์หน่วยก้านดีที่มีฝีมือคอยปกป้องอีกชั้นหนึ่ง จงเพิ่มกฎไปอีกหนึ่งข้อ ลูกศิษย์หน้าใหม่ที่เข้ามาบรรจุที่ยอดเขาชิงจู๋จะต้องถูกส่งตัวไปฝึกฝนขัดเกลาที่หอศิษย์รับใช้ก่อนครึ่งปี จากนั้นถึงจะกลายเป็ลูกศิษย์อย่างเป็ทางการ” หลัวเจินเสนอขึ้น
เมื่อได้ยินข้อเสนอของหลัวเจิน เหล่าผู้าุโแห่งยอดเขาชิงจู๋คนอื่นๆ ต่างพากันพยักหน้าคล้อยตาม ตอนนี้ หอศิษย์รับใช้แห่งยอดเขาชิงจู๋เปรียบเสมือนสถานที่ขัดเกลาคนชั้นดี ยังไม่ต้องพูดถึงเื่พลัง แต่รับรองว่านิสัยการวางตัวและทัศนคติจะต้องถูกยกระดับเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
วันเวลาผ่านไป หอศิษย์รับใช้แห่งยอดเขาชิงจู๋ก็เริ่มมีผู้คนหลั่งไหลเข้ามามากขึ้น เหล่าลูกศิษย์หน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าสำนักมาในปีนี้ล้วนถูกส่งมาที่หอศิษย์รับใช้ ก่อนหน้านี้พวกเขามีนิสัยเย่อหยิ่งมากน้อยต่างกันไป แต่ตอนนี้นิสัยเ่าั้กลับหายไปหมด
หากจะถามว่าหอศิษย์รับใช้แห่งยอดเขาชิงจู๋คือสถานที่แบบไหนกันแน่...
ตอนนี้มันกลายเป็สถานที่ที่มีอัตราการรับสมัครศิษย์หน้าใหม่ที่สูงกว่ายอดเขาหลักเสียอีก หลายคนที่รู้เื่วีรกรรมของฉินชูล้วนอยากมาขัดเกลาฝีมือและฝึกตนที่นี่
แต่ศิษย์รับใช้หน้าใหม่กลับได้เจอแค่เอ้อพั่งกับไป๋อวี้เท่านั้น ไม่ได้เจอฉินชูด้วยตัวเอง
หลังจากกลับมาจากการต่อสู้ที่ยอดเขาหลัก ฉินชูก็เอาแต่เก็บตัวฝึกตนที่ผาหินตัดอยู่ตลอด เขาฝึกปราณและขัดเกลาวิชากระบี่พื้นฐาน เขาเพิ่งจะบรรลุขั้นที่สองหนิงหยวน แต่กลับสามารถสู้กับขั้นที่สองหนิงหยวนตอนปลายกับขั้นสามเจินหยวนได้ นั่นก็เป็เพราะพละกำลังทางกายภาพที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานของเขา แต่ตอนนี้ด้านพลังปราณของเขายังเป็รองอยู่มากนัก เขาจึงจำเป็ต้องยกระดับตบะของตนเองให้สูงขึ้น
เพียงพริบตา เวลาหนึ่งเดือนก็ผ่านไป ตบะของฉินชูพัฒนาไปถึงขั้นที่สองหนิงหยวนระดับสองแล้ว ทำให้พลังจากวิชากระบี่พื้นฐานของเขาเพิ่มขึ้นสูงตามไปด้วย ส่งผลให้พลังแต่ละส่วนของเขาเพิ่มขึ้นไปในทางเดียวกัน
ั้แ่นั้นมา ทางยอดเขาหลักก็ไม่มีวี่แววจะมาหาเื่ฉินชูอีก
วันนี้เป็วันที่ฉินชูออกจากพื้นที่ของศิษย์รับใช้มายังหอคุณูปการแห่งยอดเขาชิงจู๋เพื่อรับภารกิจไปทำ
เมื่อเขามาถึง เหล่าลูกศิษย์ยอดเขาชิงจู๋ที่อยู่ด้านในล้วนพากันพยักหน้าทักทายอย่างเป็มิตร ไม่มีสายตาเจือแววดูถูกเหยียดหยามเลยสักคน
มันก็แน่นอนอยู่แล้ว!
ศิษย์รับใช้ในชุดผ้าธรรมดาๆ คนนี้ กำราบพวกศิษย์สายนอกกับศิษย์สายในแห่งยอดเขาหลักเสียอยู่หมัด มีใครที่ทำได้อย่างเขาอีก มิหนำซ้ำยังทำให้ยอดเขาชิงจู๋ที่ตกอับมาตลอดสามารถเงยหน้าอ้าปากได้เสียที
“ผู้ดูแลหาน ข้ามาแล้ว!” ฉินชูเดินเข้ามาทักทายผู้ดูแลหาน
ฉินชูค่อนข้างรู้สึกดีกับผู้ดูแลหานั้แ่แรก เพราะก่อนหน้านี้เขาเป็คนพาฉินชูไปรับภารกิจที่ยอดเขาหลัก อันที่จริงเขาไม่จำเป็ต้องทำเช่นนี้เลย แต่ที่ทำก็ล้วนเป็เพราะมิตรภาพที่ดี
“ฮ่าๆ! เ้าหายหน้าหายตาไปตั้งหนึ่งเดือน ข้าไม่ชินเอาเสียเลย นี่มารับภารกิจใช่หรือไม่ โน่น...ข้าเพิ่งติดป้ายภารกิจใหม่บนกระดานไปหยกๆ ลองไปดูเองสิ” ผู้ดูแลหานยิ้มร่าเมื่อเห็นฉินชู แววตาของเขาที่มองมายังฉินชูเปลี่ยนไป ตอนนี้สายตาของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชมที่มีต่อฉินชู
ตอนนี้เขาไม่ทำภารกิจเก็บสมุนไพรและภารกิจระดับสองแล้ว ฉินชูจึงเดินมาหยิบภารกิจตามล่าผลึกพลังสัตว์อสูรขั้นที่สามแทน
“ฉินชู ที่ผ่านมาถือว่าเ้าเชี่ยวชาญภารกิจการเก็บสมุนไพรพอตัวเลยไม่ใช่หรือ ทำไมครั้งนี้ไม่รับไปทำเล่า” ผู้ดูแลหานถามอย่างสงสัย เพราะก่อนหน้านี้ฉินชูมักจะกวาดภารกิจเช่นนี้ไปทั้งหมด
“เหลือโอกาสให้คนอื่นบ้างจะเป็อะไรไป ถ้าข้าเอาภารกิจง่ายๆ ไปทำเองคนเดียว เกรงว่าหลังจากนี้คงเหลือแต่ภารกิจยากๆ ให้ลูกศิษย์คนอื่น” ฉินชูพูดขึ้น
ฉินชูกล่าวออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเหล่าลูกศิษย์แห่งยอดเขาชิงจู๋ในห้องโถงหอคุณูปการได้ยิน ต่างก็พากันหันขวับกลับมาโค้งคำนับฉินชูทันที ในบรรดาศิษย์เ่าั้ก็มีศิษย์สายในอยู่จำนวนไม่น้อย ที่พวกเขาเคารพฉินชูนั่นก็เพราะตัวพวกเขาเองก็รู้สึกเคารพยกย่องฉินชูมาจากใจจริงเช่นกัน
[1] เงยหน้าอ้าปาก หมายถึงรู้สึกยินดีปรีดาหลังตกอยู่ในสภาพยากลำบากหรือถูกกดขี่มาเป็เวลานาน