“เป็ไปไม่ได้ เป็ไปไม่ได้แน่นอน ไฟที่เห็นนี่แม้จะไม่ใช่เพลิงแอ่งธรณี แต่ก็ไม่มีทางเป็ไฟนั่นอย่างแน่นอน!” ฉินอวี่พึมพำอยู่ในใจ ไม่รู้เป็เพราะความตื่นเต้นหรือความอ่อนล้าที่ยังหลงเหลืออยู่ ทำให้ฉินอวี่รู้สึกวิงเวียน ราวกับกำลังอยู่ในโลกของภาพมายา
“แต่ถ้าไม่ใช่ ทำไมเมื่อเพลิงแอ่งธรณีแปรสภาพไปจึงรู้สึกถึง... พลังมรณะ?” ฉินอวี่จ้องตรงไปยังตันเถียน ที่มีเพียง “เพลิงแอ่งธรณี” ขนาดเท่านิ้วมือ ใบหน้าที่ดูซีดเซียวนั้นดูเหมือนจะเอาแน่นอนไม่ได้
“หากเป็ไปอย่างที่ตนเองคิดเอาไว้ หรือว่า... ในตอนที่อยู่ในสภาวะปีศาจคลั่ง ตนเองตกอยู่บนหนทางของความเป็ความตาย?”
“เดี๋ยว!”
“ข้าฟื้นขึ้นมาครั้งนี้ การดื่มเืไม่ได้ช่วยเติมเต็มพลังปราณที่สูญเสียไป และยังไม่สามารถจะขจัดความอ่อนแอที่มีอยู่ได้ และความชราของร่างกายคือสิ่งที่ปรากฏอย่างเด่นชัดที่สุด เป็ไปได้หรือไม่ว่า... เมื่อเข้าสู่สภาวะปีศาจคลั่งการเผาผลาญคงไม่ได้เกิดเพียงในพลังปราณเท่านั้น? แต่ยังมี... พลังชีวิตด้วย?”
“แต่เมื่อพลังชีวิตถูกเผาผลาญไป จะแปรเปลี่ยนเป็พลังมรณะ... จึงทำให้เพลิงธรณีเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้?”
ฉินอวี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ สีหน้าดูเคร่งขรึมขึ้นกว่าเก่า แม้ว่าจะใช้วิชาปีศาจคลั่งมาแล้วหลายครั้ง แต่ตอนนี้ฉินอวี่ก็รู้แล้วว่า ตนเองยังรู้เื่เกี่ยวกับวิชาปีศาจคลั่งน้อยยิ่งนัก
แม้ฉินอวี่จะอ่านตำราโบราณมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีทักษะยุทธ์ชนิดใดที่สามารถเผาผลาญพลังชีวิตได้ นี่แทบจะเรียกได้ว่าเป็พลังที่พลิกฟ้าได้เลยทีเดียว
“ไม่รู้ว่าคนโเี้คนใดที่เป็ผู้สร้างทักษะยุทธ์ที่ทรงพลังเช่นนี้” ฉินอวี่ประหลาดใจ
ไม่นานจากนั้น ฉินอวี่ได้ระงับความคิดภายในใจไว้ และเริ่มการสำรวจ “เพลิงแอ่งธรณี” ทันที เพลิงแอ่งธรณีในตอนนี้มีความเย็นเยือกมากขึ้น และพลังของมันที่มีอยู่เพิ่มสูงขึ้นกว่าร้อยเท่า สิ่งสำคัญที่สุดคือพลังมรณะที่แผ่ซ่านไปรอบเพลิงแอ่งธรณีนั้นดูแปลกมาก แม้แต่ฉินอวี่ก็ยังคิดว่าอสูรร้ายระดับทั่วไปก็คงไม่สามารถจะแตะต้องเพลิงแอ่งธรณีในตอนนี้ได้ เพราะลำพังพลังมรณะเพียงสิ่งเดียวก็นับว่ามากเพียงพอที่จะกลืนกินพลังชีวิตของอสูรร้ายได้
“คราวหลังคงต้องลองดูอีกสักครั้ง หากสามารถกลืนกินได้จริง เช่นนั้นแล้ว... สิ่งที่หวังผิงมอบไว้ในตัวข้าตอนนั้น ก็นับว่าเป็โชคอันใหญ่โตของข้าเสียแล้ว แต่คิดว่า เขาคงไม่เคยคิดมาก่อนว่าเพลิงแอ่งธรณีที่เขามอบให้ตนเองไว้นั้นคือต้นแบบของเพลิงมรณะ!”
ใช่!
ฉินอวี่เชื่อมั่นว่านี่ไม่ใช่เพลิงแอ่งธรณี แต่เป็เพลิงมรณะในตำนาน!
เมื่อนึกถึงเื่ที่ตนเองได้รับเพลิงมรณะมาโดยบังเอิญ ในใจของฉินอวี่ก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างช่วยไม่ได้
นี่คือเพลิงมรณะในตำนาน และเงื่อนไขในการถือกำเนิดของมันไม่ได้น้อยไปกว่าเพลิงอสุนีบาตเลย!
ร่ำลือกันว่า มันจะเกิดขึ้นในเขตสนามรบโบราณ และ้าพลังของความตายและพลังของความแค้นที่หนาแน่นมากเท่านั้น หลังจากผ่านการบ่มเพาะมานานนับไม่ถ้วน จึงจะมีโอกาสได้เติบโตขึ้นมา และเป็เพราะพลังความโหดร้ายของแหล่งกำเนิด จึงทำให้มีไอพิษอยู่เป็จำนวนมาก ดังนั้นจึงทำให้เพลิงมรณะมีความคล้ายกับเพลิงแอ่งธรณีอยู่เช่นกัน
“แต่ก็ไม่รู้ว่าหวังผิงผู้นี้ได้เพลิงมรณะเช่นนี้มาจากที่ใด ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนที่เขาได้รับมา เพลิงมรณะนี้คงยังไม่ก่อตัวขึ้นด้วยซ้ำไป เป็เพราะมันยังปะปนไปด้วยพลังความชั่วร้ายจำนวนมาก ดังนั้นจึงเห็นว่ามันมีความคล้ายคลึงกับเพลิงแอ่งธรณียิ่งนัก หากมีโอกาสในอนาคตคงต้องสืบเสาะดูแล้วว่าได้รับเพลิงมรณะเช่นนี้มาจากที่ใดกัน”
“สามารถให้กำเนิดเพลิงมรณะขึ้นมาได้ ย่อมแสดงให้เห็นแล้วว่าที่แห่งนั้นไม่ธรรมดาเพียงใด บางที อาจมีของดีอยู่อีกมากก็เป็ได้”
ในขณะที่ฉินอวี่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสี่ยหยวนที่นั่งอยู่ด้านข้างก็นิ่งเงียบไม่พูดจา แต่ดวงตาทั้งสองของเขายังคงจ้องตรงไปทางฉินอวี่ จนสามารถสังเกตเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของฉินอวี่
แต่เสี่ยหยวนก็ไม่รู้เช่นกันว่าตอนนี้ฉินอวี่กำลังคิดอะไร เขาคิดเพียงว่าฉินอวี่คงจะยังรับไม่ได้ที่ต้องกลายเป็คนแก่โดยกะทันหันเช่นนี้ ดังนั้นจึงแสดงสีหน้าที่ไม่แจ่มใสออกมาเช่นนี้ ซึ่งเสี่ยหยวนเข้าใจความรู้สึกของฉินอวี่ในตอนนี้เป็อย่างดี
ในอดีตเขาถูกโยนเข้ามายังหอคอยขัดเกลา ผิวของเขาถูกลวกด้วยความร้อนอุณหภูมิสูง แม้แต่เส้นขนยังหลุดออกจนหมด ในตอนนั้นเขาไม่สามารถยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้เลย และต้องใช้เวลานานจึงจะสามารถเดินออกมาจากจุดนั้นได้ ั้แ่นั้นมา เสี่ยหยวนก็ไม่เคยสนใจในรูปลักษณ์ของตนเองอีกเลย แม้ว่าเขาจะสามารถฟื้นคืนระดับการฝึกฝนของเขาขึ้นมาได้ แต่เขาก็ไม่เคยทำให้รูปลักษณ์กลับมาเป็ดังเดิม แต่กลับรักษาสภาพที่เป็อยู่เอาไว้เป็อย่างดี
ตราบใดที่ยังไม่มีการใช้เืชำระบัญชีแค้น เขาจะไม่มีวันเปลี่ยนรูปลักษณ์กลับเป็ดังเดิม
แต่ในการต่อสู้ระหว่างฉินอวี่และอันดับห้า ได้เปลี่ยนมุมมองและความคิดที่เสี่ยหยวนมีต่อฉินอวี่ไปอย่างสิ้นเชิง เื่ที่เสี่ยหยวน้าจะลงนามสัญญากับฉินอวี่ในตอนแรกนั้น เมื่อออกไปจากหอคอยขัดเกลาได้ เสี่ยหยวนก็คิดหาทางจะต่อสัญญาที่มีต่อกันไปอีก
ในตอนแรก เหตุที่เขาเต็มใจจะทำสัญญา เพียงเพราะ้าสลัดสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ในตอนนี้ให้พ้นออกไป แต่ด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่งซึ่งฉายออกมาในการต่อสู้ระหว่างฉินอวี่และอันดับห้านั้น ได้เปลี่ยนความคิดของเสี่ยหยวนไปแล้ว
“บางที หากคอยติดตามคนผู้นี้ ข้าก็อาจจะมีความหวังที่จะกวาดล้างหยาจื้อสิบสามฝ่ายได้สำเร็จ!” เสี่ยหยวนพึมพำในใจ
ในฐานะคนของหยาจื้อสิบสามฝ่าย เสี่ยหยวนรู้จักความแข็งแกร่งของหยาจื้อสิบสามฝ่ายเป็อย่างดี แม้ว่าเขาจะมีความมุ่งมั่นล้างแค้นหยาจื้อสิบสามฝ่าย แต่เขาก็รู้ดีว่าหากอาศัยตัวเขาเพียงคนเดียว แม้ว่าจะให้เวลากับเขามากขึ้นก็ยังยากนักที่จะแก้แค้น แต่หากมีฉินอวี่เพิ่มเข้ามา เสี่ยหยวนก็เริ่มมีความหวังมากขึ้น
ขณะที่เสี่ยหยวนกำลังครุ่นคิดเื่ราวต่างๆ มากมายอยู่นั้น ฉินอวี่ก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น และพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เสี่ยหยวน ่นี้คงจะต้องรบกวนเ้าแล้วล่ะ ตอนนี้ข้ายังไม่หายดี”
“เืยังไม่พอหรือ?” เสี่ยหยวนถาม
“ตอนนี้ไม่้าเืสักระยะ เ้าพอจะมีโอสถหรือสมุนไพรอะไรติดตัวอยู่บ้างหรือไม่?” ฉินอวี่พูดอย่างขมขื่น นี่ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับพลังปราณ แต่เป็เื่ของพลังชีวิตเสียแล้ว นอกจากเม็ดยาและโอสถิญญาแล้ว คงจะต้องอาศัยการฟื้นฟูตนเองเท่านั้น แต่การฟื้นฟูตนเองนั้นก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานสักกี่เดือนกี่ปี แต่ร่างกายกำลังตกอยู่ในสภาวะอันตราย การฟื้นฟูอย่างรวดเร็วจึงเป็สิ่งที่ดีที่สุด
เสี่ยหยวนพูดขึ้น “นี่เป็วงแหวนมิติที่ข้ารวบรวมมาเป็เวลาหลายปี เ้าลองดูก็แล้วกันว่ามีอะไรที่เ้าพอจะใช้ได้บ้าง” เสี่ยหยวนหยิบเอาวงแหวนมิติทั้งหมดที่เขาใช้เวลารวบรวมมานานหลายปีออกมา ซึ่งรวมๆ แล้วก็มีกว่าร้อยวง
ฉินอวี่เหลือบมองเสี่ยหยวนอย่างลึกซึ้ง แม้จะรู้ดีว่าเสี่ยหยวนมีความคิดจะใช้ประโยชน์จากตนเอง แต่ต้องบอกก่อนว่า หากไม่มีเสี่ยหยวนอยู่ด้วยในหอคอยขัดเกลาแห่งนี้ ครั้งนี้ ตนเองคงต้องตายไปแล้วแน่นอน
หนึ่งเดือนต่อมา
ณ หอคอยขัดเกลาชั้นที่ห้า
ถังอีิกลืนน้ำลายลงคอ และมองไปยังชายหนุ่มสี่คนที่อยู่ไม่ไกลทางด้านหน้า สีหน้าของเขาซีดเผือด ในใจเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ข้างกายของเขายังคงมีทุกคนอยู่พร้อมเพรียง ไม่ว่าจะเป็ ฉู่เยว่ฉาน ฉู่สยง ฉือเซียว หยางเทียนหรือหยางเต้า ทุกคนต่างเป็เช่นเดียวกับถังอีิ สีหน้าของทุกคนต่างกวาดสายตามองกลุ่มชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความสงสัย จากนั้นจึงมองไปยังคนหนุ่มสาวนับหกสิบคนที่อยู่ข้างกาย
สิ่งที่ทำให้จิตใจของพวกฉือเซียวกระสับกระส่าย เป็เพราะกลุ่มคนหนุ่มสาวที่ยืนอยู่โดยรอบนั้นต่างอยู่ในขั้นกุมารทิพย์ อีกทั้งพลังปราณที่แผ่ออกมานั้นยังมีความแข็งแกร่งเป็พิเศษ และคนในจำนวนนั้นล้วนแต่ทำให้พวกเขารู้สึกกดดันเป็อย่างยิ่ง
แต่ละคนต่างตกตะลึงอยู่ในใจ เหล่าคนหนุ่มสาวของเผ่าหยาจื้อล้วนแต่มีความแข็งแกร่งอย่างยิ่ง และสิ่งที่ทำให้พวกเขายิ่งว้าวุ่นใจคือจุดประสงค์ที่พวกเขาพาตนเองมาที่นี่
เมื่อหนึ่งเดือนเศษก่อนหน้านี้ พวกเขาล้วนแต่อยู่ในหอคอยขัดเกลาชั้นที่หนึ่ง และถูกบีบให้ต้องออกจากชั้นที่หนึ่งมาจนถึงชั้นที่ห้า
ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้คนเหล่านี้ไม่สนใจต่อคนทั้งเจ็ด แต่สิ่งที่ทำให้พวกฉือเซียวทั้งเจ็ดคนสงสัยคือ คนเหล่านี้ได้มอบโอสถเลี่ยงอัคคีระดับสูงให้กับพวกเขา เพื่อต้านทานกับอุณหภูมิที่สูงขึ้น และพวกเขาลองเชื่อมสัมพันธ์กับคนกลุ่มนี้มาแล้ว แต่คนกลุ่มนี้กลับทำเป็ไม่รู้ไม่เห็น สิ่งนี้ทำให้ทั้งเจ็ดคนต่างรู้สึกเหมือนตนเองกำลังเป็เหมือนปลาบนเขียง จิตใจของพวกเขาจึงว้าวุ่นเป็กังวล เพราะไม่รู้เจตนาที่แท้จริงของพวกเขา
แม้ว่าพวกเขาจะต้องระมัดระวังซึ่งกันและกันเมื่ออยู่ในแดนขัดเกลา แต่เมื่อพวกเขาต้องเข้ามาอยู่ในหอคอยขัดเกลาแห่งนี้ ทั้งเจ็ดคนต่างเข้าใจกันโดยปริยายอย่างน่าประหลาดใจ และสื่อสารกันผ่านการส่งสัญญาณเสียง
“ทำเช่นไรดี? คนพวกนี้มีพละกำลังที่แข็งแกร่งเลยทีเดียว! โดยเฉพาะห้าคนที่อยู่ตรงหน้า เพียงแค่พลังปราณที่แผ่ซ่านออกมายังทำให้ข้ากดดันขึ้นเป็หลายเท่า เกรงว่าจะมีความแข็งแกร่งมากกว่าชายหนุ่มชุดคลุมสีแดง!” ฉู่สยงส่งสัญญาณเสียงออกมา
“เื่มาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเราไม่สามารถคุมอะไรได้อีกแล้วล่ะ หวังเพียงว่าสามารถรอให้การทดสอบสิ้นสุดลง และสำนักสังเกตเห็น จนให้ความช่วยเหลือพวกเรา” หยางเทียนกล่าวด้วยเสียงต่ำ เื่มาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น อย่าว่าแต่คนทั้งห้าที่อยู่ตรงหน้าเลย แม้จะเป็เพียงคนหนุ่มสาวจำนวนหลายสิบคนก็ยังมีพลังมากเพียงพอที่จะสังหารเขาได้ถึงหลายร้อยครั้งติดต่อกัน ในตอนนี้พวกเขาจึงได้แต่เฝ้ารอ รอความช่วยเหลือจากสำนักยุทธ์ว่านจ้ง
“ท่านปู่ของข้าจะต้องกลับมาแน่นอน พวกเราแค่ต้องผ่านมันให้ได้ แต่เพราะอะไรพวกเขาต้องพาพวกเรามาที่นี่? คงไม่ใช่เพราะจะจับพวกเราฆ่าทิ้งหรอกนะ?” ถังอีิพูดเสียงสั่น
“หากพวกเขาจะฆ่าพวกเรา จำเป็ต้องพามาถึงที่นี่เชียวหรือ? อีกอย่าง ดูเหมือนพวกเขากำลังรออะไรบางอย่าง...” หยางเต้าเอ่ยขึ้น
ฉือเซียวไม่ได้พูดอะไร ได้แต่กวาดสายตามองไปรอบด้าน สีหน้าอันซีดขาวของเขาแฝงไปด้วยความกังวลใจ คนพวกนี้พาพวกเขามาที่นี่ แต่กลับไม่มีฉินอวี่เพียงคนเดียว สิ่งนี้ทำให้ฉือเซียวถึงกับนิ่งไปครู่ใหญ่ เกรงว่าตอนนี้ฉินอวี่เองก็คงไม่ต่างไปจากคนอื่นสักเท่าไร
เมื่อเป็เช่นนี้ ทุกคนต่างรออยู่เช่นนี้มาเกือบครึ่งเดือนแล้ว
“อันดับหนึ่ง นี่พวกเรากำลังรออะไรกันหรือ?” มีคนคนหนึ่งก้าวออกมาด้านหน้า และพูดกับหัวหน้าซึ่งเป็หนึ่งในจำนวนห้าคนที่อยู่ด้านหน้า
ผู้นำคืออันดับหนึ่งในรายนามระดับสามัญของหยาจื้อสิบสามฝ่าย อันดับหนึ่งหลับตาลง และทำเป็ไม่รู้ไม่เห็น
ตอนนี้พวกเขารออยู่เช่นนี้มากว่ายี่สิบวันแล้ว
ค่ายกลนำส่งที่อยู่ด้านหลังทุกคนส่องสว่างขึ้นในทันที จากนั้นเงาร่างสองร่างก็ปรากฏขึ้น เป็ที่ดึงดูดความสนใจของทุกคน ต่างคนต่างหันไปมองเป็สายตาเดียว
“เสี่ยหยวน! นั่นเสี่ยหยวน!” คนหนุ่มสาวต่างวุ่นวายขึ้นทันที แต่ละคนเริ่มหยิบอาวุธของตนเองออกมา และระวังตัวจากเสี่ยหยวน
แต่พวกฉือเซียวทั้งเจ็ดคนกลับมองไปยังเสี่ยหยวนด้วยความหวาดกลัว และเมื่อละสายตาไปมองชายหนุ่มผมขาวที่อยู่ข้างกายเสี่ยหยวน ทุกคนต่างตกตะลึงในทันที
“หวัง... หวังซิงเฉิน?”
