ห่างออกไปกว่าหนึ่งแสนลี้ทางตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นอู่ คือแดนแสนภูผาทางตะวันตกเฉียงใต้ของแดนนภาชิงเหลียนตะวันออก
ครั้งหนึ่งที่แห่งนี้เคยเป็ดินแดนต้องห้ามที่เลื่องชื่อในแดนนภาชิงเหลียนตะวันออก มีข่าวร่ำลือกันว่า ในแดนแสนภูผาเป็ที่อยู่ของอสูรร้าย มีอสูรอำมหิตนับไม่ถ้วน และสำนักยุทธ์ว่านจ้งก็ตั้งอยู่ตรงใจกลางของแดนแสนภูผาแห่งนี้
สถานที่แห่งนี้ถูกโอบล้อมด้วยูเาที่เต็มไปด้วยพลังิญญาอันเข้มข้น และูเานับแสนลูกของแดนแสนภูผาก็เป็ดั่งปราการป้องกันตามธรรมชาติที่แข็งแกร่งและยากต่อการโจมตี
หลังจากเดินทางมาร่วมหนึ่งเดือน กลุ่มของพวกฉินอวี่ก็เดินทางมาถึงสำนักยุทธ์ว่านจ้ง
ระหว่างทางที่ผ่านมา ฉินอวี่แอบรวบรวมอสุนีลึกลับไว้ ชายวัยกลางคนในขั้นเทพ์ที่ดูเข้มงวดซึ่งรับผิดชอบเื่การรับศิษย์ไม่มีการกำชับสิ่งใด ได้แต่อยู่อย่างเ็ามาตลอดทาง ระหว่างเดินทางมีศิษย์ทั่วไปของสำนักยุทธ์ว่านจ้งและคนกลุ่มหนึ่งได้รวมตัวเข้าด้วยกัน ส่วนคนหนุ่มสาวอื่นๆ ต่างพูดคุยกันอยู่รอบตัวหลงเฟย
ท่ามกลางผู้คนเ่าั้ ใบหน้าเล็กๆ ของหลงเฟยเต็มไปด้วยความพึงพอใจและภาคภูมิใจ เขาหันไปมองฉินอวี่เป็ครั้งคราว ราวกับนกยูงที่ดูเย่อหยิ่ง
เมื่อมาถึงฟากฟ้าเหนือแดนแสนภูผา ฉินอวี่ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น และยืนอยู่บนกระบี่บินขนาดใหญ่ ทอดสายตามองูเาจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ตรงหน้า ฉินอวี่ก็ได้แต่ตกตะลึง ภาพที่อยู่เบื้องหน้าคือกลุ่มูเาที่ก่อตัวขึ้นมาจากผืนดิน ทับซ้อนกันอย่างนับไม่ถ้วน เมื่อมองจาก้า เป็เหมือนัั์ตัวหนึ่งที่กำลังอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้
ไม่ว่าจะเป็พลังิญญาฟ้าดินหรือจะเป็ชัยภูมิที่ตั้ง สถานที่แห่งนี้นับเป็สถานที่อันยอดเยี่ยม เป็เพราะูเาเหล่านี้ต่างเป็ค่ายกลตามธรรมชาติ เมื่อทำการวางค่ายกลพิทักษ์สำนักไว้บนูเาเหล่านี้ พลังการใช้งานก็จะดีขึ้นเป็อย่างมาก และยังสามารถดึงดูดพลังแห่งฟ้าดินเข้ามารวมอยู่ในค่ายกลได้
กล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า ตราบใดที่ยังมีแดนแสนภูผา สำนักยุทธ์ว่านจ้งจะสามารถคงอยู่ได้ตลอดไป!
กระบี่บินค่อยๆ ร่อนลงด้านข้างของูเา มีบรรดาชายหนุ่มหญิงสาวกว่าพันคนได้รออยู่เบื้องล่างแล้ว คนเหล่านี้ต่างเป็ศิษย์ที่สำนักยุทธ์ว่านจ้งได้ทำการรับมาจากเมืองใหญ่อื่นๆ
การมาถึงของฉินอวี่เป็ที่ดึงดูดความสนใจของศิษย์ใหม่คนอื่นๆ จนต้องหันมองมาด้วยความสนใจทันที
“การประเมินในเมืองหลักเทียนอู่เป็เพียงด่านแรกเท่านั้น รออยู่ที่นี่สักครู่ เมื่อทุกคนมารวมกันแล้ว จะมีการทดสอบขึ้นอีกครั้ง หากผ่านการทดสอบจึงจะได้เข้าเป็ศิษย์สำนักยุทธ์ว่านจ้งที่แท้จริง พวกเ้าก็เตรียมตัวกันเถอะ” ชายวัยกลางคนที่ดูเ็าได้พูดขึ้นอย่างเคร่งขรึม ก่อนจะหันหลังจากไป และพูดคุยกับบรรดายอดฝีมือของสำนักยุทธ์ว่านจ้งที่กำลังรออยู่
หลงเฟยที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนได้นั่งลงพูดคุยอยู่ด้านหนึ่ง ส่วนฉินอวี่ก็ได้นั่งลงอีกทางด้านหนึ่ง กวาดสายตามองดูเหล่าเยาวชนชายหญิงที่ถูกรับมาจากเมืองอื่นๆ เขาจึงพบว่าคนจำนวนมากในนั้นต่างเป็ผู้มีคุณสมบัติดีเยี่ยม
ขณะที่ฉินอวี่กำลังมองอยู่นั้น การพูดคุยกันของยอดฝีมือของสำนักยุทธ์ว่านจ้งก็เริ่มดึงดูดความสนใจของฉินอวี่
“เหลือเพียงศิษย์พี่เจียงของสายชีพจรฟ้าและศิษย์พี่จ้าวของสายชีพจรดินเท่านั้นที่ยังไม่กลับมา ถ้าดูจากคราวก่อน ก็ไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนที่อยู่ในความสนใจของสายชีพจรฟ้าและสายชีพจรดินได้”
“จำได้ว่าครั้งก่อนสายชีพจรฟ้ารับคนไว้เพียงห้าคน ส่วนสายชีพจรดินรับไปเพียงสิบแปดคนใช่หรือไม่? ครั้งนี้อาจจะน้อยลงก็ได้ แต่คงไม่มากกว่าเดิม”
“เป็เช่นนี้ทุกครั้ง ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะรับศิษย์ไปเท่าไร แต่อย่างไรก็ต้องมาคัดจากศิษย์ที่เราคัดเลือกมา ครั้งนี้ข้าสนใจเลือกศิษย์คนหนึ่งที่มีร่างเปลวอัคคีเอาไว้ แต่เกรงว่าคงจะถูกพวกสายชีพจรฟ้าแย่งตัวไปเสียก่อน”
“จะทำอย่างไรได้ล่ะ ใครเป็คนให้พวกสายชีพจรฟ้ากับสายชีพจรดินเป็แกนนำของสำนักยุทธ์ว่านจ้งล่ะ? พวกเขาจึงมีสิทธิ์ที่จะทำการเลือกก่อน”
“หากเป็เช่นนี้ต่อไป ผู้มีพร์โดดเด่นทั้งหมดก็จะอยู่กับสายชีพจรฟ้าและสายชีพจรดิน สายชีพจรเสวียนและสายชีพจรหวงจะไปมีวันออกหน้าอะไรได้อีก?”
...
ดวงตาของฉินอวี่กะพริบเล็กน้อย และผลก็เป็ไปตามที่คาดไว้ รูปแบบและแบบฉบับของสำนักยุทธ์ว่านจ้งนั้นล้วนจำลองแบบอย่างมาจากสำนักเทียนฉีทั้งสิ้น มีการแบ่งกลุ่มออกเป็สี่สายชีพจร ได้แก่ ฟ้า ดิน เสวียน หวง โดยมีสายชีพจรฟ้าเป็กลุ่มที่ยอดเยี่ยมที่สุด และมีจำนวนคนน้อยที่สุดของทั้งสี่สายชีพจร แต่ศิษย์ทุกคนล้วนเป็ดั่งสิ่งที่์ประทานมาให้ หากปล่อยเวลาผ่านไป และไม่เสียชีวิตในวัยเยาว์ไปเสียก่อน พวกเขาทั้งหมดจะต้องกลายเป็แกนนำของสำนักยุทธ์ว่านจ้งทั้งสิ้น
นอกจากสายชีพจรฟ้าแล้ว ยังแบ่งออกเป็ สายชีพจรดิน สายชีพจรเสวียน สายชีพจรหวง ศิษย์ในสามสายชีพจรนี้ล้วนมีเป้าหมายเป็สายชีพจรฟ้าทั้งสิ้น
ั้แ่เริ่มต้น สำนักเทียนฉีได้เคยจัดตั้งกฎการประลองอย่างหนึ่งขึ้น กระตุ้นให้ศิษย์ทุกสายชีพจรได้ตั้งใจฝึกฝนอย่างหนัก เพื่อไม่ให้พร์ที่มีถูกฝังลึกอย่างไม่ได้ใช้งาน ทุกๆ สามปี ศิษย์ของทั้งสามสายชีพจรต่างเข้าร่วมการประลองนี้ ผู้ชนะจะได้เลื่อนระดับเข้าสู่สายชีพจรที่สูงขึ้น
อาทิเช่น ศิษย์สิบอันดับแรกของสายชีพจรหวงจะสามารถเลื่อนเข้าสู่สายชีพจรเสวียน ศิษย์ที่ผ่านจากสายชีพจรเสวียนสิบอันดับแรกจะได้เข้าสู่สายชีพจรดิน และศิษย์สิบอันดับแรกของสายชีพจรดินจะได้เลื่อนเข้าสู่สายชีพจรฟ้า
มีเพียงการข้ามผ่านสิ่งกระตุ้นแต่ละชั้นเท่านั้น จึงจะคัดกรองผู้มีพร์ระดับสูงขึ้นมาได้ นี่คือเหตุผลหนึ่งที่สำนักเทียนฉีสามารถรุ่งเรืองขึ้นได้
ในตอนแรก หลิวอวี่มีพร์ที่โดดเด่นอย่างมาก เป็ที่รู้จักกันในนามของผู้มีพร์อันดับหนึ่ง และเป็ผู้ที่มีความหวังมากที่สุดที่จะเลื่อนจากสายชีพจรดินไปสู่สายชีพจรฟ้าได้ในระยะเวลาอันสั้น และอาจจะเป็ความหวังของผู้สืบทอดสำนักเทียนฉี แต่กลับนึกไม่ถึงว่าท้ายที่สุดเขาจะทรยศสำนักเทียนฉี
ขณะที่ฉินอวี่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงที่ดูแปลกใจก็ดังขึ้น “ศิษย์พี่จ้าวแห่งสายชีพจรดินกลับมาแล้ว ครั้งนี้ เขาพาคนกลับมาด้วยสามสิบคน”
ศิษย์เข้าใหม่หลายคนต่างมองไปทางด้านหนึ่งอย่างพร้อมเพรียงกัน แต่กลับมองเห็นกระบี่ั์สีแดงเพลิงเล่มหนึ่งที่บินเข้ามาอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็เข้ามาถึงท้องฟ้าเบื้องหน้า
เมื่อมองไปยังกระบี่ั์สีแดงเพลิง ศิษย์ใหม่แต่ละคนต่างสูดลมหายใจลึก กระบี่ั์เล่มนี้มีขนาดประมาณสิบจ้าง กว้างหนึ่งจ้าง มีสีแดงเพลิงทั้งเล่ม ้าเต็มไปด้วยลวดลาย ลวดลายเหล่านี้ล้วนเปล่งแสงสีแดงดั่งเปลวเพลิง เมื่อมองไปจากระยะไกล มันเป็เหมือนกระบี่ั์ที่กำลังลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิง
มีชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีแดงเพลิงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงปลายกระบี่ ร่างกายของเขาสูงสง่า เส้นผมสีดำปลิวสยายโดยไร้ลม กึ่งกลางระหว่างคิ้วของเขาดูน่าเกรงขาม สิ่งที่ทำให้ผู้คนต่างแปลกใจคือ คนผู้นี้มีม่านตาสีแดงเพลิงทั้งสองข้าง มองดูแล้วน่าแปลกตาเป็อย่างยิ่ง
“ศิษย์พี่จ้าวเหยียน ครั้งนี้เก็บเกี่ยวมาได้ไม่เลวเลยนะ” หนึ่งในยอดฝีมือของสำนักยุทธ์ว่านจ้งกล่าวด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น
เมื่อกระบี่ั์ร่อนลงมาอย่างช้าๆ เหล่าคนหนุ่มสาวสามสิบกว่าคนที่อยู่บนกระบี่ก็ทยอยกันลงสู่พื้นดิน จากนั้นชายวัยกลางคนจึงเรียกกระบี่ั์คืนกลับไป และเหลือบมองยอดฝีมือคนนั้นโดยไม่ตอบอะไร จากนั้นจึงกวาดสายตามองไปยังศิษย์นับพัน ในที่สุด ดวงตาสีแดงเพลิงคู่นั้นก็หยุดลงครู่หนึ่งตรงร่างของชายหนุ่มที่ผอมบางก่อนจะละสายตากลับมา “พวกเ้าก็ทำได้ไม่เลวเลยเช่นกัน”
ชายหนุ่มที่ร่างผอมบางซึ่งถูกจ้าวเหยียนจ้องมองอยู่สองสามครั้ง กลายเป็เป้าสายตาของศิษย์คนอื่นในทันที ทุกสายตาต่างจับจ้องไปด้วยความอิจฉาและริษยา แม้แต่เหล่าหนุ่มสาวที่มาพร้อมกับจ้าวเหยียนต่างก็เป็เช่นนี้ แต่ชายหนุ่มร่างผอมคนนั้นกลับมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย
“ศิษย์พี่เจียงยังไม่กลับมาอีกหรือ?” จ้าวเหยียนกวาดสายตามองดูฝูงชนและถามอย่างเ็า
“ใช่ ไม่รู้ว่าศิษย์พี่เจียงหยวนจะเก็บเกี่ยวมาได้อย่างไรบ้าง” ยอดฝีมือคนหนึ่งตอบกลับไป
“ก็ไม่เลว!” ทันใดนั้นเสียงที่ดูหนักแน่นก็ดังขึ้น จนทุกคนต่างใ และรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที แต่กลับไม่เห็นเงาร่างของผู้ใดเลย
ก่อนที่บุคคลจะมาถึง เสียงกลับมาถึงก่อน
“สมแล้วที่เป็ศิษย์พี่เจียงแห่งสายชีพจรฟ้า วิชาส่งเสียงพันลี้ช่างสูงส่งเสียจริงๆ” มียอดฝีมือคนหนึ่งอุทานขึ้นอย่างชื่นชม
หลังจากผ่านไปสามสิบลมหายใจ จึงจะมองเห็นลำแสงของพลังที่สาดส่องมาบนท้องฟ้า ก่อนที่ทุกคนจะรู้สึกตัว กระบี่บินรัศมีสีครามก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของทุกคน
บนกระบี่บิน ชายวัยกลางคนในชุดบัณฑิตยืนอยู่บนกระบี่ เส้นผมของเขาถูกหวีปาดกลับไปด้านหลัง เผยให้เห็น่หน้าผากที่กว้างของเขา ดวงตาดูลึกล้ำและทรงพลัง ทำให้ผู้พบเห็นยากจะเข้าถึงได้ และข้างกายของเขา มีชายหนุ่มสองคนยืนอยู่ด้วย
“ร่างกระบี่โดยกำเนิด ร่างยุทธ์หยางวิสุทธิ์!” ยอดฝีมือสำนักยุทธ์ว่านจ้งอุทานขึ้นมาอย่างประหลาดใจ
จ้าวเหยียนหันไปมองชายหนุ่มสองคนที่อยู่ข้างกายเจียงหยวน ดวงตาของเขาร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ไม่ต้องบอกเลยว่า ตอนนี้เขามีความรู้สึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย
ฉินอวี่มองไปยังผู้คนที่อยู่โดยรอบกายของเจียงหยวนด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะพบว่า ชายหนุ่มคนหนึ่งในนั้นน่าจะมีอายุไม่เกินสิบเอ็ดหรือสิบสองปี อยู่ในเครื่องแต่งกายที่เรียบง่ายและดูสะอาด ใบหน้าธรรมดาทั่วไป แต่ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นกลับมีความคมชัดอย่างเป็ธรรมชาติ เพียงฉินอวี่ได้เห็นก็รู้สึกได้ถึงความเฉียบขาดและการคุกคาม
ร่างกระบี่โดยกำเนิด!!
ชายหนุ่มผู้นี้... นับเป็หยกที่ไม่เคยผ่านการเจียระไน เขายังไม่มีแม้ขั้นยุทธ์ระดับหนึ่งด้วยซ้ำ และไม่รู้ว่าเจียงหยวนไปพบมาจากที่กันดารแห่งไหนกันแน่
อีกคนหนึ่งมีอายุราวสิบสี่หรือสิบห้าปี แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหรา มีสีหน้าเ็าและเย่อหยิ่ง และั์ตาดั่งเสือคู่นั้นก็มีแสงวาบเป็ประกาย มีระดับการฝึกฝนไม่เกินขั้นยุทธ์ระดับเก้า แต่กลับมีพลังการต่อสู้ที่เต็มเปี่ยม
ร่างยุทธ์หยางวิสุทธิ์
เมื่อเผชิญหน้ากับชายทั้งสอง ฉินอวี่ก็รู้สึกแอบอิจฉาในใจ นี่คือร่างกระบี่โดยกำเนิดและร่างยุทธ์หยางวิสุทธิ์ ผู้มีพร์ระดับแนวหน้าคนใดคนหนึ่งที่สามารถทำให้กองกำลังต่างๆ ยอมออกแรงต่อสู้แย่งชิงกันได้ ตอนนี้ พวกเขาต่างมารวมตัวกันในสำนักยุทธ์ว่านจ้ง นี่หมายความว่าสำนักยุทธ์ว่านจ้งจะมีผู้แข็งแกร่งคนสำคัญถึงสองคน และแน่นอน จะต้องไม่เกิดเื่ไม่คาดฝันให้พวกเขาต้องจากไปก่อนวัยอันควรเสียก่อน
“หวังชิง ดูเหมือนสิ่งที่เ้าสร้างไว้จะเปลี่ยนแปลงไปมากเหลือเกิน ไม่เพียงความยอดเยี่ยมของสำนัก แต่ตอนนี้ผู้มีพร์มากมายได้ถือกำเนิดขึ้นในสำนักอย่างมากมายแล้ว...” ฉินอวี่กล่าวพลางยิ้ม เพียงแต่ในใจของเขาก็มีความสุขอย่างมากเช่นกัน และยังรู้สึกดีใจแทนหวังชิง
“ครั้งนี้ ศิษย์ที่เ้าคัดเลือกมา สายชีพจรฟ้าของข้าจะไม่ขอยุ่งก็แล้วกัน รีบเข้าสำนัก และเตรียมการทดสอบด่านที่สองเถอะ” เจียงหยวนสะบัดมือขวา วังวนของพลังก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน