นางเฉินมองดูท่าทีอันแสนเหน็ดเหนื่อยของหลินฮวาเหนียนด้วยความเข้าใจ
หลังจากที่ฟูเหรินคนก่อนเสียชีวิต นอกจากหลินหร่านแล้ว แม้กระทั่งเื่ในตระกูลหลิน หลินฮวาเหนียนก็ไม่ค่อยใส่ใจนัก ถึงอย่างนั้น ใน่เวลาที่เขาอยู่ก็ไม่มีเื่ร้ายใดเกิดขึ้น
หากไม่ใช่เพราะเขาถูกแต่งตั้งให้เป็ผู้พิทักษ์ปกป้องชายแดนล่ะก็...
“นายท่านไม่ต้องกังวลใจไปหรอกเ้าค่ะ ถึงแม้ร่างกายของคุณชายใหญ่อาจไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้ แต่ก็ยังมีคุณชายตี๋มิใช่หรือเ้าคะ?”
คุณชายตี๋ที่นางเฉินเอ่ยถึงนั้น หมายถึงหลินเซี่ยงตี๋นั่นเอง
แม้ว่าหลินฮวาเหนียนจะไม่เคยเปิดเผยเื่ตัวตนของหลินเซี่ยงตี๋ แต่ดูจากการเลี้ยงดูและการให้ความสำคัญที่นายท่านแสดงออกต่อเขาก็ทำให้คนในจวนเดาได้ไม่ยาก และมองหลินเซี่ยงตี๋เป็คุณชายใหญ่ของตระกูล
“เขาเติบโตมากับการเลี้ยงดูของฟูเหรินคนก่อน ก็เท่ากับว่าเป็บุตรของฟูเหริน”
ใครจะไปคิดว่าหลินฮวาเหนียนกลับส่ายหัวก่อนกล่าวออกมา “ไม่ได้ หลินเซี่ยงตี๋มีความทะเยอทะยานในตนเอง ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องพึ่งพาความสามารถของตน มีส่วนร่วมในสนามรบและนำเกียรติยศที่ควรจะเป็ของเขากลับคืนมา ภาระหน้าที่ในตระกูลหลินนี้ เขาไม่ควรเป็ผู้แบกรับ ดังนั้น ข้าคิดว่าคงจะมีแต่เด็กเหล่านี้ที่จะดูแลตระกูลหลินได้”
นางเฉินพยักหน้ารับ นางเข้าใจที่นายท่านกล่าวออกมาพร้อมทั้งรู้สึกเห็นอกเห็นใจ
หลินฮวาเหนียนเชื่อมั่นว่าอย่างไรเสีย หลินเซี่ยงตี๋จะต้องมีอนาคตที่ดี ซึ่งอาจทำออกมาได้ดีกว่าตนเองเสียด้วย จะต้องมีบางอย่างที่เป็ของเขาเองในภายภาคหน้าเป็แน่
เพราะฉะนั้น หากจะส่งมอบตระกูลหลินให้เขาเป็ผู้ดูแลด้วย มันจะเป็การเสียเกียรติตระกูลหลินเกินไปสินะ
หลังจากนั้น หลินฮวาเหนียนค่อยๆ ดึงนางเฉินมาตรงหน้าพร้อมบอก “เ้าวางใจเถิด เ้ามีเสี่ยวก่วนเป็บุตรสาวเพียงคนเดียว ข้าไม่มีทางที่จะปฏิบัติต่อนางไม่ดีแน่ รอจนนางมีอายุถึงเกณฑ์ที่จะออกเรือน ข้าจะต้องหาสามีที่พึ่งพาได้ให้นางอย่างแน่นอน เ้าวางใจเถิด”
นางเฉินยกยิ้มบาง ซึ่งเป็ความอ่อนโยนราวกับสายน้ำที่เป็เอกลักษณ์ของหญิงสาวจากแดนใต้
“ข้าวางใจมาตลอดเ้าค่ะ นายท่านเป็คนเอาใจใส่”
ถ้อยคำของนางเฉินช่างกินใจเสียเหลือเกิน
นางเฉินคือหญิงเพียงผู้เดียวที่เข้ามาอยู่ที่จวนตระกูลหลินอย่างสมัครใจ นางเว่ยกับนางซ่งล้วนแต่เป็มารดาของเขาที่เลือกเข้ามาให้ ซึ่งมารดาของเขาก็เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน
มารดาเลือกอนุภรรยามาให้เขาอันเนื่องจากมารดาของหลินหร่านไม่ตั้งครรภ์เสียที
เขายังจำได้ว่าในตอนนั้น เขาได้ติดตามเหิงหวังไปออกรบทางแดนใต้เพื่อถอนรากถอนโคนเหล่าผู้ทรยศและโจรร้าย
จากการติดตามไปแดนใต้ในครั้งนั้นทำให้หลินฮวาเหนียนได้พบกับนางเฉินที่กำลังถูกโจรปล้นและโดนรังแก เขาะโลงจากหลังม้าด้วยความเร็วไวก่อนจะใช้คมดาบเพียงครั้งเดียวดับสิ้นชีวิตของโจรร้าย
นางเฉินในตอนนั้นมีอายุเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น ซึ่งกำลังอยู่ใน่ปีกระวาน1
่เวลาต่อมา ในที่สุดนางก็มาอยู่กับเขา
ต่อจากนั้น นางเฉินได้ตัดสินใจตัดขาดจากครอบครัวแล้วจากไปอย่างเด็ดเดี่ยวตามลำพังกับกองทัพ จนกระทั่งมาถึงเมืองหลวง
เมื่อหญิงสาวจากแดนใต้ผู้นี้ทำถึงเพียงนี้แล้ว หลินฮวาเหนียนจะทนนิ่งเฉยได้อย่างไร
ทว่าในจวนก็มีอนุภรรยาถึงสองคนแล้ว หากมีเพิ่มมาอีก เขาคงยิ่งรู้สึกผิดต่อผู้เป็ฟูเหริน
อย่างไรก็ตาม ช่างเป็ความบังเอิญ หลังจากมารดาของหลินหร่านรับรู้ถึงการมีอยู่ของนางเฉิน และเห็นถึงความน่าทะนุถนอมและความเสน่หา นางจึงได้เอ่ยให้หลินฮวาเหนียนพานางเฉินเข้ามาอยู่ในจวน
จากนั้น นางเฉินจึงได้มีหลินเสี่ยวก่วน ภายหลังนางก็ระลึกถึงบุญคุณของมารดาหลินหร่านมาโดยตลอด
เพราะอย่างนั้น ่ที่หลินหร่านถูกระเห็จออกจากจวนแม่ทัพ นางจึงคอยแอบช่วยเหลืออยู่เงียบๆ เช่นเดียวกับผ้านวมเก่าๆ ที่แสนชำรุดทรุดโทรมในกระท่อมฟางของหลินหร่านซึ่งทุกๆ ปี นางเฉินมักแอบให้คนเอาไปให้ โดยใช้ข้ออ้างว่าของเหล่านี้ล้วนแต่เป็ของที่คนอื่นไม่้าแล้ว นางสงสารเขาที่อายุยังน้อยจึงให้เขาไปโดยไม่้าสิ่งตอบแทน
เื่เล็กๆ น้อยๆ อีกมากมายที่นางเฉินทำในตอนนั้น นางเว่ยคอยจับตาดูอยู่ตลอด นางจึงไม่กล้าที่จะทำอย่างโจ่งแจ้งจนเกินไปนัก นางทำได้เพียงพยายามช่วยชีวิตหลินหร่านเพื่อไม่ให้เขาหิวโซจนอดตายข้างถนนไปเสียก่อนก็เท่านั้น
นอกจากนี้ ด้วยความที่ตนเองนั้นแสนจะต่ำต้อย ภายหลังหลินฮวาเหนียนไปรบที่ชายแดน นางกับบุตรสาวนั้นจึงใช้ชีวิตอย่างยากลำบากมากขึ้น ถูกนางเว่ยกดขี่รังแกทุกวัน
ด้วยเหตุนี้ การช่วยเหลือหลินหร่านจึงมีข้อจำกัด
หลินฮวาเหนียนกับนางเฉินที่ปรับความในใจกันอยู่นั้น ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ตนเองพูดคุยกันได้ถูกนางซ่งที่จะมาแจ้งข่าวงานแต่งงานของหลินเสี่ยวฉีได้ยินเข้า
ในใจของนางซ่งเริ่มคิดวางแผน
หากวันนี้ตัดหลินเซี่ยงตี๋ออกไป รวมไปถึงหลินหร่านที่ออกเรือนไปแล้ว เท่ากับคุณชายที่ยังหลงเหลืออยู่ในจวนตอนนี้มีเพียงหลินเหลียงกับบุตรชายของนาง เหลือเพียงหลินเค่อเท่านั้น
จากที่ฟังถ้อยคำของนายท่าน หากหลินเหลียงไม่อาจฟื้นฟูร่างกายกลับมาได้ดังเดิมก็จะกลายเป็เพียงคนพิการ แล้วตำแหน่งนั้นก็จะตกมายังซู่จื่อ
นั่นเท่ากับว่าเป็บุตรชายของนางน่ะสิ
หลินเหลียงถูกหลินฮวาเหนียนตีจนพิการ จะฟื้นฟูกลับมาได้หรือไม่เป็เื่ที่พูดยากนัก แต่แน่นอนว่าโอกาสที่พวกเขาจะมีชัยชนะในจวนหลังนี้ก็มีเพิ่มมากขึ้น
.........
เวลาคล้อยมาจนเย็นย่ำ
เกี้ยวจากตำหนักขององค์ชายสี่ได้มาถึงจวนแม่ทัพเพื่อรับเ้าสาวแล้ว
อย่างไรก็ถือว่ามา หลินเสี่ยวฉีจึงรีบปาดน้ำตา กล่าวอำลาก่อนตรงไปยังเกี้ยวทันทีราวกับกลัวว่า หากตนเองออกมาช้าเกี้ยวนี้จะกลับไปโดยที่ไม่รอ
เมื่อมาถึงหน้าประตู หลินเสี่ยวฉีจึงหันไปตำหนิต่อว่าคนแบกเกี้ยวโดยพลัน “เหตุใดเพิ่งมาเอาป่านนี้ ท้องฟ้าจะมืดอยู่แล้ว”
คนแบกเกี้ยวผู้นั้นรู้สึกโกรธไม่น้อย เขาเห็นท่าทีขององค์ชายสี่ที่เลือกหญิงผู้นี้เป็สนมดี จึงได้เอ่ยตอบออกไป “มารับก็ดีแล้วมิใช่หรือ ก็แค่สนมคนเดียว แบกเข้าประตูก็จบแล้ว ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรหรอก”
“เ้า!” หลินเสี่ยวฉีถลึงตากว้าง เอ่ยอะไรไม่ออก นางทำได้เพียงหันไปมองผู้เป็บิดาด้วยความไม่พอใจ แต่หลินฮวาเหนียนก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างกับ้าเตือนนางว่าไม่ควรทำตัวไร้เหตุผลเช่นนี้
พอหลินเสี่ยวฉีรู้ว่าผู้เป็บิดาคงไม่ช่วยเหลือตนเอง จึงได้แต่เก็บความโกรธแล้วขึ้นมาบนเกี้ยว
ไม่มีแม่สื่อ ไม่มีเสียงปี่
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีแม้กระทั่งขบวนขันหมาก
หลินเสี่ยวฉีถูกเกี้ยวพาเข้าไปตำหนักขององค์ชายสี่ทั้งอย่างนั้น และนางยังถูกพาเข้าจากประตูด้านข้างของตำหนักอีกด้วย
เดิมทีนางคิดว่าตำหนักขององค์ชายสี่ยังไม่มีพระสนมเอก แน่นอนว่าพระสนมรองอย่างนางจะต้องอยู่ในตำแหน่งสูงสุดอย่างแน่นอน
รอให้นางพยายามดิ้นรน แน่นอนว่าก่อนที่พระสนมเอกจะเข้าวังมา นางก็จะต้องไต่ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งนั้นได้อยู่แล้ว
ทว่า สิ่งที่นางได้รับรู้ในวันนี้คือนางไม่ได้ถูกให้ความสำคัญ อีกทั้งยังกลายเป็เื่น่าขันให้คนอื่นพากันหัวเราะเยาะ
ทุกอย่างช่างแตกต่างจากที่นางจินตนาการเอาไว้อย่างสิ้นเชิง
.........
พลบค่ำ
หลินเสี่ยวฉีได้อยู่ที่เรือนเล็กของตนเองเพื่อรอให้อวี้ฉู่เฉิงมาเข้าห้องหอ
หลินเสี่ยวฉีนั่งตัวตรงรออยู่ในห้อง แสงเทียนกำลังพลิ้วไหว เวลาคล้อยไปจนนางเกือบเข้าสู่นิทรา ทว่าจู่ๆ ประตูห้องกลับถูกเปิดออก
นางมองเห็นเพียงรองเท้าบูทสีดำโผล่เข้ามาทักทายเป็อย่างแรก ก่อนจะตามมาด้วยน้ำเสียงของอวี้ฉู่เฉิงที่ผ่านเข้ามาในหู
“วันนี้รู้สึกเสียใจหรือไม่?”
น้ำเสียงของอวี้ฉู่เฉิงราบเรียบ ซึ่งหลินเสี่ยวฉีไม่อาจเข้าใจได้เลย แต่นางคิดว่า การที่องค์ชายสี่เอ่ยถามเช่นนี้อาจเป็เพราะพระองค์คงกำลังรู้สึกผิดต่อนาง
อย่างไรตนก็เป็สนมรองที่องค์ชายสี่เลือกด้วยตนเองนี่นา
“ไม่เลยเพคะ ไม่เสียใจแม้แต่นิดเพคะ” แม้ว่าจะเอ่ยออกไปเช่นนั้น แต่น้ำเสียงของหลินเสี่ยวฉีก็ขึ้นจมูกปะปนมากับเสียงสะอื้น อีกทั้งไหล่บางยังสั่นไหว เห็นได้ชัดว่ากำลังสื่อเป็นัย
นางรู้สึกเสียใจอยู่ เพียงแต่ไม่ได้เอ่ยออกมา นอกจากนี้ นางยังแสดงให้เห็นว่าตนเองเป็คนใจกว้าง บอบบางน่าสงสารเพียงใด
อวี้ฉู่เฉิงกลับมองว่าการกระทำนี้ช่างน่าขัน หญิงสาวผู้นี้กำลังเอาความสงสารมาออดอ้อนกับเขาอยู่หรือ
“มีอะไรให้ต้องเสียใจหรือ? เปิ่นหวงจื่อ2 เลือกเ้ามาเป็สนมรอง จะไม่ร้องไห้เสียใจหน่อยหรือไง?”
คำพูดของอวี้ฉู่เฉิงทำให้หลินเสี่ยวฉีตัวสั่นสะท้าน
อวี้ฉู่เฉิงรินชาแล้วยกขึ้นดื่ม หลังจากนั้นจึงก้าวเข้ามาหา
หลินเสี่ยวฉีมองอวี้ฉู่เฉิงที่กำลังเข้ามาใกล้ภายใต้ผ้าคลุมหัว ซึ่งนางไม่สามารถทำใจให้สบายได้เลย กลับยิ่งรู้สึกหนาวเย็นจนขนลุกไปทั่วร่าง
---------------------------------------------------
1 ปีกระวาน หมายถึง หญิงสาวที่อายุประมาณ 13 – 14 ปี
2 เปิ่นหวงจื่อ คือ ถ้อยคำที่องค์ชายใช้เรียกแทนตนเอง
