หลังจากทหารยามพูดจบ พวกเขาก็เดินไปทางเหนือ
เมื่อเห็นสิ่งนี้ มู่อวิ๋นจิ่นซึ่งซ่อนตัวอยู่ในต้นไม้ก็แอบคิดว่านางช่างโชคดีเสียจริง ดังนั้นนางจึงเดินตามทหารยามไปอย่างเงียบ ๆ ตลอดทางหลังจากที่พวกเขาเดินจากไป
จนมาเห็นแผ่นป้าย 'วังลี่เฉวียน'
นี่คงเป็ที่ที่ฉู่ลี่อยู่
มู่อวิ๋นจิ่นยืนอยู่หน้าตำหนักลี่เฉวียนชั่วขณะหนึ่ง รู้สึกวิตกเล็กน้อยเกี่ยวกับคนสนิทคู่ใจของฉู่ลี่ที่อยู่ตามติดตัวไม่ห่าง
ใน่เวลาหนึ่ง มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกว่าการกระทำของนางมีช่องโหว่เล็กน้อย
แต่หลังจากครุ่นคิดอีกครั้ง เมื่อคิดว่าจี้หยกนั้นเกี่ยวข้องกับชีวิตของตนเอง นางก็สูดลมหายใจและปล่อยวาง ก่อนจะมองไปรอบ ๆ และพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติแล้วจึงแอบเข้าไปในตำหนักลี่เฉวียน
ตอนนี้ยามสี่ได้ผ่านพ้นไปแล้วและอีกไม่นานก็จะเช้า นางต้องหาห้องนอนของฉู่ลี่โดยเร็วที่สุดและขโมยจี้หยกกลับคืน
โชคดีที่จี้หยกของนางเรืองแสงในที่มืด ดังนั้นจึงหาได้ไม่ยากในค่ำคืนที่มืดมิดเช่นนี้
…
ผ่านไปครู่หนึ่ง มู่อวิ๋นจิ่นวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ ตำหนักลี่เฉวียน ก่อนจะหยุดชะงักที่หน้าประตู ผ่านรอยแยกของประตู มีแสงคล้ายแสงเดือนส่องแสงสว่างจาง ๆ ออกมาจากห้องนี้ ในคืนอันเงียบสงบ...
เมื่อเห็นดังนั้น มู่อวิ๋นจิ่นก็ดีใจมาก
จากนั้นนางก็ค่อย ๆ ย่องเบาเข้าไปในห้องของฉู่ลี่อย่างระมัดระวัง พยายามเงียบให้มากที่สุดทุกย่างก้าว
ทันทีที่นางเข้ามาในห้อง มู่อวิ๋นจิ่นก็เห็นจี้หยกของถูกฉู่ลี่วางไว้ข้างเตียง แสงสว่างที่ส่องออกมาจากจี้หยก เผยให้เห็นใบหน้าที่เ็าและดูมีเสน่ห์ได้อย่างชัดเจน
มู่อวิ๋นจิ่นเดินไปที่เตียงและมองลงไปที่ฉู่ลี่ที่นอนอยู่ ผมสีดำขลับราวน้ำหมึกของเขาที่ปกติจะถูกเก็บอย่างเรียบร้อย ตอนนี้กลับคลายออกอย่างสบาย เขาสวมชุดคลุมนอนเข้ารูปสีดำสนิท และหลับไปอย่างสงบในขณะนี้ โดยไม่มีแม้แต่เสียงใดเล็ดลอดออกมาแม้แต่เสียงเดียว ไม่มีแม้แต่เสียงหายใจแ่เบาเสียด้วยซ้ำ
มู่อวิ๋นจิ่นอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ คน ๆ นี้ช่างดูดียิ่งนัก แต่เขานิ่งสงบราวกับคนตายเมื่อเขาหลับ
ทันทีหลังจากนั้น มู่อวิ๋นจิ่นหันไปมองที่จี้หยกของนาง แสงสว่างส่องประกายออกมา เผยให้เห็นคำว่า “อวิ๋นจิ่น” ที่สลักอยู่บนนั้นอย่างชัดเจน
เมื่อคิดว่าจี้หยกมีความเกี่ยวข้องกับภูมิหลังของตน ใบหน้าของมู่อวิ๋นจิ่นก็หม่นลงเล็กน้อย และเมื่อคิดได้ว่าเวลากำลังจะหมดลงแล้ว นางจึงยื่นมือออกไปหมายจะคว้าจี้หยกนั้น...
ทันทีที่นิ้วของนางแตะขอบของจี้หยก มือหนาอันเ็าก็คว้าข้อมือของนางเอาไว้ จากนั้นแรงบีบอันรุนแรงก็แผ่กระจายสู่ข้อมือของนาง
มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้ว และเมื่อนางก้มศีรษะลงก็สบกับดวงตาสีเข้มและลึกคู่หนึ่ง
‘อ๊ะ ฉู่ลี่ตื่น!’
มีอีกแรงที่ข้อมือส่งออกมาราวกับจะบีบข้อมือของนางด้วยอย่างไรอย่างนั้น มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย ทันใดนั้นเข็มเงินวาววับปรากฏขึ้นบนมือของนาง และเมื่อนางกำลังจะแทงมันลงไปบนมือของฉู่ลี่ ตัวนางเองกลับถูกฉู่ลี่เหวี่ยงออกไป
หลังจากนั้น ฉู่ลี่ก็ลุกขึ้นจากเตียง เหลือบมองไปที่จี้หยกบนเตียงก่อนจะมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่น “ใครส่งเ้ามาที่นี่?”
น้ำเสียงที่แหบพร่าและเยือกเย็น ทำให้มู่อวิ๋นจิ่นใสะดุ้งเฮือก แต่นางก็ใจชื้นที่ฉู่ลี่จำตัวเองไม่ได้
มู่อวิ๋นจิ่นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ตอนที่นางอยู่ในหน่วยรบพิเศษ การแอบเข้าไปในห้องของคนอื่นเพื่อทำภารกิจเป็เื่ปกติ และนางไม่เคยพลาดเลย ไฉนวันนี้กลับถูกจับได้อย่างง่ายดาย หนำซ้ำยังไม่ได้อะไรกลับมาเลยสักนิด
เมื่อนึกถึงสิ่งที่ติงเสี่ยนพูดกับนางในตอนกลางวัน ในแง่ของวิทยายุทธแล้วนั้น ฉู่ลี่เก่งกาจกว่าเขาเล็กน้อย
ฝีมือของติงเสี่ยนนั้นยอดเยี่ยมอยู่แล้ว แต่นางแทบไม่เชื่อเลยว่าฉู่ลี่จะเก่งถึงเพียงนี้
แม้ว่านางจะมีความมั่นใจในทักษะของตัวเอง แต่นางก็จำกัดอยู่แค่การต่อสู้ประชิดตัวและการต่อสู้ประเภทอื่น ที่คล้ายกัน แต่เมื่อพูดถึงการเคลื่อนไหวในวิชาลึกลับเช่นนี้ นางกลับไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย
แต่สำหรับแผนที่วางไว้ วิธีนี้ยังคงถือเป็วิธีที่ดีที่สุด
ระหว่างทางมาที่นี่ นางจดจำรายละเอียดที่นี่ได้เป็อย่างดี และไม่น่าจะยากที่จะหลบหนี
ดังนั้นนางจึงหยุดชะงักชั่วครู่ สายตาของนางเหลือบไปยังจี้หยกที่อยู่ข้างเตียง จากนั้นนางก็ฉีกเสื้อผ้าชิ้นหนึ่งออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว ก่อนจะโยนมันไปที่จี้หยก
หลังจากนั้นไม่นาน จี้หยกก็ถูกผ้าคลุมไว้และห้องก็ตกอยู่ในความมืดสนิท
มู่อวิ๋นจิ่นใช้โอกาสนี้พุ่งตัวออกจากห้องของฉู่ลี่มาที่ผนังด้านหลัง ก่อนจะะโขึ้นไปในอากาศ และะโออกจากตำหนักลี่เฉวียน
“ใครกัน!” ติงเสี่ยนรู้สึกแปลก ๆ และวิ่งตามออกไป เขาเห็นร่างสีดำะโออกไปจากกำแพง เมื่อเขากำลังจะตามทัน เขาก็ได้ยินเสียง “ปัง” จากห้องนอนของฉู่ลี่
“ฝ่าา...”
…
มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกเพียงว่านางไม่เคยวิ่งหนีแบบนี้มาก่อน และในขณะที่วิ่ง นางก็กังวลว่าฉู่ลี่จะตามทันหรือไม่
จนกระทั่งนางออกจากวังมาได้ และพบว่าฉู่ลี่ตามไม่ทัน นางพลันรู้สึกโล่งใจและนั่งหายใจหอบอยู่ที่มุม
“ให้ตายเถอะ ปฏิบัติการล้มเหลว” นี่เป็ความอัปยศอย่างยิ่งสำหรับนางสายลับชั้นยอดที่อยู่ในหน่วยรบพิเศษมาหลายปี
มู่อวิ๋นจิ่นกัดฟันเมื่อคิดว่าแย่งชิงจี้หยกไม่สำเร็จ นางรู้สึกรำคาญเล็กน้อย ถ้ารู้เช่นนี้นางคงเตรียมเครื่องหอมรมยาไว้บ้าง และคงจะดีหากทำให้ฉู่ลี่สลบไป
หลังจากนั่งได้สักพัก มู่อวิ๋นจิ่นก็ลุกขึ้นยืนโดยใช้มือพยุงร่างกายตนเองขึ้น และเมื่อมือข้างหนึ่งแตะพื้น นางก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อมือขึ้นนมาทันที
เมื่อยื่นมือออกไปกลับเห็นว่าข้อมือขวาของนางแดงก่ำและบวม ต้องเป็เพราะฉู่ลี่แน่ ๆ
มู่อวิ๋นจิ่นสาปแช่งอย่างลับ ๆ ไม่เพียงแต่จะไม่ได้จี้หยกคืนเท่านั้น นางยังได้รับาเ็ที่ข้อมืออีก ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำเสียจริง1
เมื่อกลับมาที่จวนเสนาบดีมู่ ท้องฟ้าก็พลันสว่างแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นเปลี่ยนชุดสีดำของนาง ก่อนจะโยนมันไว้ใต้เตียงและนอนลงบนเตียง ก่อนจะถอนหายใจด้วยความเหนื่อยใจ
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้นางรู้ว่า การที่นาง้าได้จี้หยกคืนมันคงยากยิ่งกว่าการขึ้น์เสียอีกกระมัง
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มู่อวิ๋นจิ่นก็พลิกตัวพลางเกาหัว และพูดอย่างเศร้าสร้อยเล็กน้อยว่า “ช่างเถอะ อย่างไรเสียก็ไม่ใช่ครอบครัวที่แท้จริงของข้าอยู่ดี มีอยู่หรือไม่มีก็ไม่สำคัญอันใด”
มันคงดีกว่าถ้าได้เงินสามหมื่นตำลึงทอง และใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้ดี
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ มู่อวิ๋นจิ่นก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก ก่อนจะหาวและผล็อยหลับไป
…
หลังจากหลับไปไม่รู้ว่านานเท่าไร มู่อวิ๋นจิ่นก็ถูกปลุกด้วยความเ็ปที่แล่นแปลบผ่านข้อมือของนาง
เมื่อนางลืมตาขึ้น มู่อวิ๋นจิ่นยื่นมือขวาออกมาและเห็นว่าข้อมือของนางบวมมากกว่าเดิม ซ้ำยังเป็สีแดงก่ำ
มู่อวิ๋นจิ่นอยากจะสาบานจริง ๆ ว่าความแข็งแกร่งของฉู่ลี่สามารถทำให้ข้อมือของนางเป็เช่นนี้ได้
แต่หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ฉู่ลี่อาจจะไล่ล่านาง และนั่นทำให้นางไม่สามารถไปหาหมอได้อย่างเปิดเผย
“คุณหนูตื่นแล้ว บ่าวจะช่วยท่านอาบน้ำชำระล้างร่างกายเ้านะเ้าคะ” เสียงของจื่อเซียงดังขึ้นจากด้านข้าง
โดยไม่ทันได้ตั้งตัว มู่อวิ๋นจิ่นซ่อนมือของนางไว้ใต้ผ้าห่มทันที และพูดกับจื่อเซียงว่า “ไม่เป็ไร ข้ายังอยากนอนอีกสักพัก”
“คุณหนู ฉินไท่เฟยเพิ่งส่งคนมาบอกว่า วันนี้เชิญคุณหนูไปทานอาหารค่ำที่วังหลวง คุณหนูควรลุกขึ้นและทำตัวให้สดชื่นนะเ้าคะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มู่อวิ๋นจิ่นก็ขมวดคิ้วแล้ว จู่ ๆ ก็กลัวขึ้นเสียอย่างนั้น
“จื่อเซียงไปต้มไข่ให้ข้าสักสิบฟอง ยิ่งร้อนยิ่งดี ข้าอยากกิน...” มู่อวิ๋นจิ่นเปลี่ยนเื่พูดกับจื่อเซียง
จื่อเซียงใและมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่นด้วยความประหลาดใจ “สิบฟอง?”
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้า “ใช่ สิบฟอง”
แม้ว่าจื่อเซียงจะประหลาดใจ แต่ก็อดถามเ้านายของนางไม่ได้ หลังจากนั้นนางจึงเดินออกไปที่ห้องครัว
ทันทีที่จื่อเซียงจากไป มู่อวิ๋นจิ่นก็ลุกจากเตียงอย่างรวดเร็ว อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกครั้ง
จากนั้นไม่นาน เมื่อจื่อเซียงมาถึง มู่อวิ๋นจิ่นก็ดูแลตัวเอง และนั่งบนเก้าอี้หวายข้าง ๆ “คุณหนู ไข่ที่ท่าน้าเ้าค่ะ”
“อืม เ้าวางไว้สิ แล้วก็ออกไปได้” มู่อวิ๋นจิ่นชำเลืองมองไข่ต้ม
จื่อเซียงเม้มริมฝีปากพยักหน้าแล้วเดินออกไป
หลังจากจื่อเซียงออกไป มู่อวิ๋นจิ่นก็หยิบไข่ วางลงบนข้อมือที่บวมของนางทันทีและหมุนคลึงมัน
เพียงแค่หวังว่าอาการบวมจะหายไปก่อนที่จะเข้าวัง มิฉะนั้นคงจะแย่ถ้าฉินไท่เฟยเริ่มสงสัย
ยิ่งไปกว่านั้นฉินไท่เฟยเชิญนางไปทานอาหารค่ำเช่นนี้ อาจจะเชิญฉู่ลี่ด้วย นางไม่สามารถจะเผยไต๋ของนางออกไปได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นหากนางพลาดพลั้งถูกจับได้แล้วล่ะก็ การลงโทษคงจะเป็เื่ที่ยุ่งยากมากเลยทีเดียว
หลังจากครุ่นคิด มู่อวิ๋นจิ่นก็ถอนหายใจ ทำไมนางถึงขี้ขลาดนัก...
หลังจากอยู่ในห้องนอนได้ครึ่งชั่วโมง มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกว่าอาการปวดที่ข้อมือหายไปมาก และนางอดไม่ได้ที่จะขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้นางไม่เจ็บกระดูก
“คุณหนูนี่ก็สายมากแล้ว หลังจากที่บ่าวหวีผมให้ท่าน ก็ได้เวลาออกไปข้างนอกแล้วเ้าค่ะ” เสียงของจื่อเซียงดังขึ้นนอกประตู
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้า
ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มู่อวิ๋นจิ่นเปิดกล่องเครื่องประดับของนางออก ปรากฏกำไลและเครื่องประดับอื่น ๆ ประมาณสี่ห้าเส้น ก่อนนางหยิบมันขึ้นมาวางไว้ที่มือขวา
หากสวมทั้งหมดนี่ก็คงปกปิดรอยแดง รอยบวม ได้บ้าง แต่ดูไม่ค่อยสวยงามสักเท่าไร
“วันนี้ฉินไท่เฟยเชิญมู่หลิงจูหรือไม่?” เมื่อนึกได้เช่นนั้นมู่อวิ๋นจิ่นก็เอ่ยถามจื่อเซียง
จื่อเซียงช่วยมู่อวิ๋นจิ่นสวมชิ้นสุดท้ายแล้วเสร็จ ก่อนจะส่ายหัว “คุณหนูสี่ได้รับเชิญให้เข้าวังโดยเจิ้งไทเฮาแต่เช้าตรู่แล้วเ้าค่ะ”
“เจิ้งไทเฮางั้นหรือ?” มู่อวิ๋นจิ่นหัวเราะเมื่อนึกถึงหญิงชราในชุดสีแดงสด “ดูเหมือนว่าไม่ว่าเ้าจะอยู่ที่ไหน ฝ่ายที่เป็ศัตรูจะเป็ศัตรูเสมอเลยสินะ”
เมื่อจื่อเซียงได้ยินคำพูดนั้น นางเข้าใจเพียงครึ่งเดียว จึงยิ้มและตอบว่า “วันนั้นข้าบังเอิญได้ยินสาวใช้สองสามคนจากหอมุกดาคุยกัน โดยบอกว่าเจิ้งไทเฮาตั้งใจจะจับคู่องค์ชายสี่กับคุณหนูสี่”
“องค์ชายสี่?” มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับว่าไม่มีใครเคยพูดถึงองค์ชายองค์นี้มาก่อน
“ใช่แล้ว องค์ชายสี่เกิดจากนางสนมชิงในวัง แต่นางสนมชิงเป็คนสนิทที่เสียชีวิต หลังจากให้กำเนิดองค์ชายสี่ได้ไม่นาน องค์ชายสี่จึงถูกเลี้ยงดูโดยไทเฮาเพียงลำพัง ดังนั้นเขาจึงถือเป็คนของเจิ้งไทเฮาเ้าค่ะ”
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นได้ยินดังนั้น นางจึงรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ไม่แปลกใจที่ฉู่ลี่และคนอื่น ๆ เรียกฉินไท่เฟยว่าย่าในวันนั้น แต่เรียกเจิ้งไทเฮาว่าไทเฮา
ดูเหมือนว่าวังหลวงจะถูกแบ่งออกเป็ฝ่ายเจิ้งไทเฮาและฝ่ายฉินไท่เฟยเสียแล้ว
มู่หลิงจู ผู้ซึ่งไม่ถูกโฉลกกับฉินไท่เฟยในวันนั้น ตอนนี้อาจยอมรับกิ่งมะกอกที่เจิ้งไทเฮาโยนให้ และได้กลายเป็ส่วนหนึ่งของเจิ้งไทเฮาไปแล้ว
ตอนนี้เกรงว่าจะไม่มีความสงบสุขอีกต่อไป
…
ระหว่างทางออกจากจวน มู่อวิ๋นจิ่นก็เจอกับมู่เซี่ยโหรวอีกครา
เมื่อมู่เซี่ยโหรวเห็นว่ามู่อวิ๋นจิ่นมา นางคลี่ยิ้มอย่างสุภาพอ่อนน้อม ก่อนจะเอ่ยปากทักพี่สาวด้วยความรักใคร่และอ่อนหวาน
“น้องห้า มีเื่อันใดหรือไม่?” มู่อวิ๋นจิ่นเหลือบมองมู่เซี่ยโหรด้วยรอยยิ้มที่อ่อนบาง ก่อนจะเอ่ยถามออกไป
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่เซี่ยโหรวก็ดูเขินอายเล็กน้อย หลุบตาลงต่ำมองลงไปที่พื้นและพูดอย่างเขินอาย “ข้าได้ยินมาว่าฉินไท่เฟยเชิญท่านพี่เข้าวัง ตัวข้าเองนั้นก็อยากจะขอติดตามท่านพี่เข้าวังไปเปิดหูเปิดตาด้วยเ้าค่ะ...”
……………………………………………………………………............................................................
[1] ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ หมายถึง ลงทุนไปโดยได้ผลประโยชน์ไม่คุ้มทุน ใช้จ่ายทรัพย์ในทางที่ไม่เกิดประโยชน์ เสียทรัพย์จำนวนมากไปโดยไม่ได้ประโยชน์อะไร