เฉินเค่อนำเฉินเปิ่นหวาและผู้าุโบางคนในตระกูลเฉินที่พอมีฝีมือควบม้ามาตลอดทางโดยไม่หยุดพัก
ตอนที่เขาเข้ามาในภาคตะวันออกนั้นยังกังวลอยู่ว่าจะถูกขัดขวาง แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจก็คือตลอดทางมานี้ราบรื่นไร้อุปสรรคจนแทบไม่น่าเชื่อ ทางไปยังตระกูลจิ่งและจุดยุทธศาสตร์สำคัญต่างๆ เองก็ปราศจากผู้คุ้มกันใดๆ จึงทำให้กองกำลังของตระกูลเฉินเดินทางได้อย่างราบรื่นมากราวกับเข้ามายังดินแดนที่ไร้ผู้คน
ที่เฉินเค่อเอาคนมามากเพราะคิดเผื่อไว้ว่าหากถูกขัดขวาง จะส่งคนกลุ่มหนึ่งเขาไปโรมรันเพื่อให้กลุ่มที่เหลือเดินทางมุ่งหน้าต่อไป
แต่เดินทางมาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้รบรากับผู้ใดแม้แต่น้อย ที่จุดเฝ้าระวังสำคัญๆ ของตระกูลจิ่งนั้นมีคนเฝ้าอยู่ ถึงแม้จะออกมาขัดขวางตระกูลเฉิน แต่ท่าทางก็ไม่ได้หนักแน่นสักเท่าไร ไม่รู้ว่าเป็เพราะถูกกองกำลังม้าและคนขนาดใหญ่นี้ของตระกูลเฉินทำให้ตกตะลึงหรือเป็แค่กลุ่มคนที่รู้จักแต่กินดื่ม ไม่รู้จักทำงานทำการที่ไร้ระเบียบกลุ่มหนึ่งเท่านั้น?
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พวกตระกูลเฉินประเมินกำลังของตระกูลจิ่งต่ำลงไปอีก การจัดการยึดครองเอาตระกูลเก่าแก่ที่มีประวัติยาวนานเป็พันปีนี้...ไม่แน่อาจจะง่ายเหมือนหยิบของออกจากกระเป๋าตัวเองก็เป็ได้
จิตใจปลอดโปร่งโล่งสบายยิ่ง เฉินเค่อไม่รั้งฝีเท้า เมื่อเดินทางอย่างยิ่งใหญ่อลังการไปจนถึงตีนเขาตระกูลจิ่งจึงหยุดลง บริเวณโดยรอบของหมู่บ้านสกุลจิ่งมีหมู่บ้านเล็กๆ มากมายล้อมรอบอยู่ ในหมู่บ้านมีบ้านเรือนปลูกกันอย่างแน่นขนัดราวกับฟันปลาลดหลั่นกันไป ชาวบ้านใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข แลดูสุขสมบูรณ์อลังการ
เฉินเค่อมองดูสถานที่ที่อุดมสมบูรณ์นี้ ในใจอดฮึกเหิมขึ้นมาไม่ได้ แผ่นดินทองเช่นนี้ใกล้จะตกเป็ของเขาแล้ว
เพราะมีบรรดาบ้านเรือนและชาวบ้าน กองกำลังตระกูลเฉินจึงไม่อาจเข้าไปได้ ทำได้เพียงคุมอยู่ด้านนอก ไม่ใช่เพราะว่าเฉินเค่อจิตใจดีไม่อยากทำร้ายชาวบ้าน แต่เพราะเขารู้สึกว่าดินแดนนี้กำลังจะตกเป็ของเขาแล้ว หากทำลายมากเกินไป เขานี่แหละที่จะเป็คนขาดทุน อีกอย่างที่นี่ก็นับว่าอยู่ใกล้หมู่บ้านตระกูลจิ่งอย่างยิ่งแล้ว การที่จัดเรียงกองกำลังตั้งแถวคุมอยู่ที่นี่ก็แทบไม่ต่างกับเอาดาบเอากระบี่ไปจ่อปลายจมูกตระกูลจิ่งแล้ว เฉินเค่อจึงไม่สนใจระยะห่างแค่นี้ จะเข้าไปหรือไม่ก็ไม่สำคัญ
ทิ้งคนไว้ดูม้าสองสามคน ผู้าุโที่เหลือทุกคนล้วนขึ้นเขาไปพร้อมกับเฉินเค่อ หากเทียบกับการคุ้มกันที่หย่อนยานด้านนอกนั้น หมู่บ้านสกุลจิ่งมีการจัดการที่ค่อนข้างเข้มงวดกว่ามาก พวกเฉินเค่อเพิ่งมาถึงตรงตีนเขาก็ถูกรั้งเอาไว้แล้ว
ไม่รอให้คนลาดตระเวนของตระกูลจิ่งสอบถาม เฉินเปิ่นหวาก็เตะกระเด็นไปไกล ถลึงตาอย่างโกรธเคือง “เ้าสุนัข! ไม่แหกตาดูว่าเป็ผู้ใดหรือถึงกล้ามาขวาง!”
เตะนี้รุนแรงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับหนุ่มน้อยที่โดนไปโดยไม่ทันได้ระวัง นอนกุมท้องอยู่บนพื้นเนิ่นนานก็ยังลุกขึ้นมาไม่ได้ คนที่เหลือก็อึ้งไปนาน พอดึงสติกลับมาได้ก็พากันชักกระบี่ ท่าทางระแวดระวังเต็มที่
เฉินเค่อไม่ได้ไม่พอใจที่เฉินเปิ่นหวาพุ่งเข้าอัดผู้อื่นโดยยังไม่ทันพูดอะไรสักคำ กลับกันเขาค่อนข้างมีแววตาภูมิอกภูมิใจ ท่าทางราวกับบอกว่าจะอัดพวกแกให้น่วม คนตระกูลเฉินทุกคนเองก็รู้จักอ่านสีหน้า แต่ละคนทำวางท่า ชัดเจนว่าไม่กลัวหากจะสู้กันขึ้นมา
หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนเห็นว่าผู้มามีเจตนาไม่ดี สีหน้าก็หนักอึ้งเครียดเขม็ง แล้วจึงเก็บกระบี่ เดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว “ไม่ทราบว่าทุกท่านเป็ผู้ใด มาถึงยังตระกูลจิ่งของข้านี้มีเื่อันใด? มีหนังสือรับรองสำหรับเข้าหมู่บ้านหรือจดหมายแนะนำจากผู้าุโท่านใดหรือไม่?”
เฉินเปิ่นหวากระชากคอเสื้อหัวหน้าหน่วยลาดตระเวน สีหน้าเกรี้ยดกราดเป็อย่างยิ่ง “เ้าอยากได้หนังสือรับรอง? ศพของพี่ชายข้ายังอยู่ที่ตระกูลเ้า! เ้ายังอยากได้หนังสือรับรองจากข้าอีกหรือ? เ้าอยากให้รับรองอันใด? ใช้ศพของพี่ชายข้าเป็ตัวรับรองได้หรือไม่? หา?!”
ประโยคสุดท้ายปนเสียงสะอื้น โศกเศร้าอย่างที่สุดจนทำให้เฉินเค่อรู้สึกโศกเศร้าไปด้วย จู่ๆ ก็รู้สึกว่าลูกชายคนรองของตนนี้ดูเหมือนจะมีตบะอยู่เหมือนกัน
คนตระกูลจิ่งถูกท่าทางอันโศกเศร้าอย่างสุดซึ้งของเฉินเปิ่นหวาทำให้อึ้งจนพูดไม่ออก เื่ของคุณชายเฉินและหวางทั้งสองตระกูลนี้ ผู้คนรู้กันไปครึ่งแผ่นดินใหญ่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนตระกูลจิ่งที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ั้แ่เกิดเื่ขึ้น คนตระกูลจิ่งทั้งเ้านายและลูกน้องต่างก็ยกระดับการป้องกันกันอย่างเต็มที่ สองวันก่อนตระกูลหวางเพิ่งมาถึง พวกเ้านายกำลังต้อนรับด้วยความปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่ วันนี้ตระกูลเฉินเองก็มาแล้ว อีกทั้งยังเกรี้ยวกราดกว่าตระกูลหวางมาก
พอรู้ว่าเป็ผู้ใด คนลาดตระเวนก็ไม่กล้าขวางแล้วรีบพากันเก็บกระบี่ ผู้เป็หัวหน้านั้นนับว่าใจเย็นมาก จัดคอเสื้อที่ถูกเฉินเปิ่นหวาขยุ้มให้เรียบร้อยแล้วสั่งให้คนสองคนพาคนที่ถูกเตะนั้นไปพักก่อน แล้วก็หันไปแสดงความเคารพต่อพวกเฉินเค่อ “ผู้นำตระกูลเฉิน คุณชายเฉิน เป็ผู้น้อยที่เสียมารยาทแล้ว ขออภัยด้วย ข้าจะพาพวกท่านขึ้นเขาไปเดี๋ยวนี้”
เห็นว่าคนตระกูลจิ่งมีท่าทีที่ดีขึ้น เฉินเค่อส่งเสียงดังเฮอะไปทีหนึ่ง “นำทาง”
ก่อนไปผู้นำหน่วยลาดตระเวนผู้นั้นยังหันไปส่งสายตาให้คนด้านหลังอย่างไร้ร่องรอย หนึ่งในนั้นที่ฉลาดรู้ความก็รีบพยักหน้า พอคนทั้งหมดจากไปแล้วก็วิ่งขึ้นทางลัดไปรายงานต่อทันที
ถึงแม้พวกเฉินเค่อจะรู้ว่าคงถามไม่ได้ความอะไรจากตัวคนลาดตระเวนเล็กๆ แต่อย่างไรก็คงต้องรู้มากกว่าพวกเขาอย่างแน่นอน หากสามารถถามจนรู้ได้ว่ามีช่องโหว่อะไรบ้างก็คงดีไม่น้อย เมื่อถึงตอนปะทะกัน พวกเขาจะได้รู้ว่าควรพูดอย่างไรเพื่อให้พวกเขาชดใช้อย่างสาสม แต่น่าเสียดายที่ถามไปมากมาย เ้าเด็กตระกูลจิ่งผู้นี้กลับตอบอะไรไม่ได้เลย ไม่ว่าถามอะไรก็เอาแต่ตอบว่าเขาเองก็ไม่ค่อยรู้เื่นัก แล้วยังบอกอีกว่าคุณชายทั้งสองตายอย่างเป็ปริศนา เกรงว่าคงมีเบื้องลึกเื้ัอะไรแน่ ถึงวันนี้จะยังจับตัวฆาตกรไม่ได้ แต่ตระกูลจิ่งไม่เคยเลิกล้มความพยายามที่จะหาตัวฆาตกร วันนี้พวกเขามาแล้ว ถึงตอนนั้นก็จะสามารถช่วยกันสืบหาตัวฆาตกรได้เพื่อแก้แค้นให้กับนายน้อย
ทุกคนเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็อดหัวเราะพรืดออกมาไม่ได้ ฆาตกรตัวจริงแน่นอนว่าต้องเป็คนตระกูลจิ่ง...และก็มีแต่ต้องเป็ตระกูลจิ่งเท่านั้น! ที่พาคนมามากมายเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อมาเล่นหาฆาตกรกับพวกเขาเสียหน่อย
เฉินเค่อไม่ได้สนใจเื่ของเฉินเปิ่นฉีอีกต่อไปแล้ว แต่เห็นต้นไม้ใบหญ้ารอบด้านตั้งตระหง่านเป็ระเบียบเรียบร้อย ถึงแม้ฤดูดอกไม้ผลิจะผ่านไปแล้ว แต่ก็ยังมีดอกไม้แดงบ้างเหลืองบ้างที่ยังชูช่อไสวอยู่ ทัศนียภาพของตระกูลจิ่งงดงามมากจึงอดทำเป็เลียบเคียงถามไม่ได้ “ป่านี้ตกแต่งเป็อย่างดีเลยนะ ดอกไม้ใบหญ้างามสะพรั่ง ครอบคลุมพื้นที่ไปเท่าไรกัน?”
คนลาดตระเวนสายตาดำคล้ำลง “ก็ไม่ได้ใหญ่อะไร ผู้น้อยทำหน้าที่ลาดตระเวน ครึ่งวันก็สามารถเดินได้จนทั่วแล้ว”
แน่นอนว่าไม่จริง พื้นที่ที่ใช้เวลาเดินครึ่งวันนั้นนับได้ว่าเป็แค่เหลี่ยมมุมเล็กๆ ของูเาน้ำแข็งทั้งก้อนเท่านั้น
เฉินเค่อขมวดคิ้วราวกับรับไม่ได้ที่เขาลูกนี้เล็กถึงเพียงนี้ “ได้ยินมาว่าตระกูลจิ่งมีบ่อน้ำร้อนบ่อหนึ่งที่สามารถรักษาได้สารพัดโรคเป็เื่จริงหรือไม่?”
คนลาดตระเวนหัวเราะ “ล้วนเป็แค่เื่เล่าลือเท่านั้น เป็เพียงแค่บ่อน้ำร้อนธรรมดาสามัญ ก็แค่พวกผู้าุโในตระกูลโปรยสมุนไพรลงไปบ้างเพื่อเป็การยืดเส้นยืดสายเท่านั้น”
ชัดเจนว่าเฉินเค่อสนใจตระกูลจิ่งมากกว่าเื่การตายของลูกชายแท้ๆ ของตนเองเสียอีก ถามนู่นถามนี่ตลอดทางจนแทบจะถามหมดทุกซอกทุกมุมเื่ตระกูลจิ่งแล้ว
สีหน้าท่าทางและคำพูดของคนผู้นี้ทำให้ผู้คนเกลียดชังจริงๆ อย่างน้อยก็เป็ถึงผู้นำตระกูลตระกูลใหญ่ แต่ทำตัวราวกับไม่เคยได้เปิดหูเปิดตาดูโลกภายนอก หากมีผู้อื่นอยู่ที่นี่ด้วยก็คงจะอดทอดถอนใจไม่ได้ว่าตระกูลนักเลงอันธพาลนี้ช่างสมคำร่ำลือจริงๆ!
เมื่อเทียบกับเฉินเค่อที่ไม่รู้ในใจคิดไปถึงไหนต่อไหนแล้วนั้น...เฉินเปิ่นหวานับว่ายังมีความเสียใจอยู่
เขาเติบโตมาด้วยกันกับเฉินเปิ่นฉี ทั้งสองคนจึงรู้สึกผูกพันกันมากและมักจะช่วยกันปกปิดความผิดให้อีกฝ่ายอยู่บ่อยๆ ยิ่งรวมกับคำขอร้องอย่างทุกข์ทรมานของมารดาก่อนจะเดินทางมาว่าต้องแก้แค้นให้พี่ชายให้ได้ ทุกอย่างนี้รวมกันปะทุขึ้นมาในอก ตอนนี้ยิ่งเข้าใกล้ยอดเขาเท่าไร ในใจก็ยิ่งรู้สึกเ็ปทรมาน ถามด้วยเสียงสั่นเทาว่า “ศพ...พี่ข้ายังสมบูรณ์ดีอยู่หรือไม่?”
คนลาดตระเวนรีบยกมือคารวะตอบว่า “คุณชายโปรดวางใจ รักษาไว้อย่างสมบูรณ์”
เมื่อได้ยินดังนั้นเฉินเค่อก็มีสีหน้าไม่ดีขึ้นหลายส่วน แสดงหน้าตาเกรี้ยวกราดอย่างเต็มที่แล้วพูดว่า “เื่นี้ตระกูลเฉินของข้าไม่ยอมรามือง่ายๆ แน่ ลูกชายข้าตายอยู่ที่ตระกูลเ้า แล้วยังถูกทำร้ายด้วยวิชาของตระกูลเ้าอีก ตระกูลจิ่งของพวกเ้าจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้อย่างเด็ดขาด!”
คนลาดตระเวนค้อมตัวลงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
เมื่อได้รับการรายงานแล้ว ตระกูลจิ่งก็จัดคนมารับถึงหน้าประตู เมื่อพวกเขามาถึงแล้วก็ให้พาไปที่ห้องรับรองที่เรือนด้านหน้า ความคิดของเฉินหวางทั้งสองตระกูลนั้น...ตระกูลจิ่งทราบเป็อย่างดี เื่เกิดมาจนถึงขั้นนี้แล้ว หากยังคิดจะจบกันแบบดีๆ อีกก็คงเหมือนคนปัญญาอ่อนที่เอาแต่เพ้อฝันแล้ว สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ก็คือกวนบ่อน้ำนี้ให้ขุ่นเข้าไว้ เฉินหวางทั้งสองตระกูลอยากจะได้ตระกูลจิ่ง เช่นนั้นก็ให้พวกเขาแย่งชิงกันเองก่อน ดีที่สุดก็ให้แย่งชิงกันจนเสียเืเสียเนื้อเลยยิ่งดี
ทั้งสามตระกูลถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องตายกันไปข้าง เฉินหวางทั้งสองตระกูลล้วนอยากจะลงมือก่อนเพื่อแสดงความยิ่งใหญ่และชิงความได้เปรียบ แต่ความได้เปรียบนี้ไม่ใช่อยากชิงก็ชิงได้ทันที าแของหวางฮวายเหล่ยชัดเจนว่าไม่ใช่ฝีมือของคนตระกูลจิ่ง และตระกูลจิ่งจะไม่ยอมเป็แพะในคดีนี้แน่ อีกอย่างตระกูลหวางเพื่อจะรีบมาให้ถึงโดยเร็วที่สุดจึงพาคนมาน้อย หากเขาคิดจะให้ตระกูลจิ่งยอมศิโรราบก็ต้องชั่งน้ำหนักดูใหม่แล้ว
ขบคิดอยู่สองวัน ในที่สุดตระกูลเฉินก็มา!
เฉินเค่อเห็นว่าตระกูลจิ่งไม่ได้ประหลาดใจที่เขามาจึงไม่คิดจะชมความงามของเขตแดนในอนาคตของเขาอีกแล้ว จึงเดินอย่างรีบร้อนเข้าไปยังเรือนรับรอง ห้องที่ค่อนข้างกว้างด้านในมีคนนั่งอยู่เต็มไปหมด ตอนนี้พากันส่งสายตามาที่ตัวเฉินเค่อ วาววับราวกับไฟทำให้เขาไม่อาจสงบใจได้
สามารถแยกคนในห้องออกได้เป็สองกลุ่ม กลุ่มที่มีจำนวนคนเยอะนั้นแต่ละคนงดงามจนทำให้เขาตกตะลึง ถึงแม้จะมีพวกผู้เฒ่าอยู่มาก แต่ผู้เฒ่าเหล่านี้ก็ล้วนดูดีกว่าผู้เฒ่าทั่วไปมาก ส่วนอีกฝั่งนั้น...ตอนที่สายตาของเฉินเค่อสาดไปก็เบิกตากลมโตขึ้นทันใด
“หวางชวน! เหตุใดเ้าถึงมาอยู่ที่นี่?!” เขาไม่เคยพบคนตระกูลจิ่ง แต่เคยพบหวางชวนมาก่อน วันนี้มาได้เห็นคนผู้นั้นนั่งอยู่ก็ค่อนข้างตกตะลึงไม่น้อย
