เล่มที่ 3 บทที่ 64
สิ่งที่ชิงยวี่วิตกกังวลคือ ปี้เอ๋อร์ให้ยาแก่พวกเขาเป็สองเท่า และปริมาณยานั้นส่งให้คนมีชีวิตก็ทรมาน แต่อยากตายก็ตายไม่ได้ ด้วยปริมาณยาที่ได้รับ ชิงยวี่แทบไม่อาจจินตนาการถึงฉากนองเืที่จะเกิดขึ้นในเวลาถัดไป
ไม่มีทางเลือกอื่น ฮูหยินน้อยออกคำสั่งแล้ว มิหนำซ้ำเ้านายก็ไม่สนใจชีวิตและความตายของเขา ชิงยวี่ทำได้เพียงกัดฟัน สาวเท้าไปข้างหน้าเพื่อคลายจุดเซวียของทั้งสองคน และหลังจากสาดน้ำชาเย็นเยียบสองสามถ้วยลงบนใบหน้าของทั้งสองคน เขาก็หายวับดุจแสงขึ้นไปบนชายคาอาคาร
ขณะยืนอยู่บนชายคา ชิงยวี่รู้สึกว่านี่เป็งานที่ยากที่สุดในชีวิตของเขา ฟังเสียงที่มาจากในห้อง ในเวลานี้ชิงยวี่อยากจะเป็คนหูหนวกนัก
ในห้อง ชายสองคนรีบวิ่งเข้าหากันอย่างคลุ้มคลั่ง มันเป็ความคลุ้มคลั่งที่ไม่สนใจสิ่งใด ทำให้พื้นกระเบื้องเคลือบสีขาวเปื้อนเืจำนวนมากภายในครู่เดียว ทั้งที่เ็ปมากสุดจะทน แต่พวกเขาไม่อาจหยุดคลุ้มคลั่งได้
ชิงยวี่เฝ้าอยู่บนชายคา ฟังเสียงความคลุ้มคลั่งที่ยังไม่หยุดลงง่ายๆ เขาถอนหายใจ พูดพึมพำว่าอมิตาภพุทธในใจ ผ่านไปเป็เวลานาน หลังจากในห้องไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวใดๆ แล้ว ข้าจึงคืบคลานกลับเข้าไป แต่เขาถึงกับจะอาเจียนคายอาหารที่กินในเวลากลางคืนออกมา
ชิงยวี่สาบานว่านี่เป็ฉากนองเืและเป็ฉากที่น่าขยะแขยงที่สุดที่เขาเคยเห็นในชีวิต เห็นชะตากรรมของคนทั้งสอง ชิงยวี่พลอยรู้สึกหวั่นกลัวต่อมู่หรงฉิงโดยสัญชาตญาณ เขาสัญญาว่า เขาจะไม่ทำให้มู่หรงฉิงขุ่นเคือง เขาจะไม่ทำให้นางขุ่นเคืองเด็ดขาดแม้จะเล็กน้อยก็ตาม
ชิงยวี่คิดเช่นนั้นอย่างเงียบๆ ว่าเขาจะไม่ทำให้ฮูหยินน้อยขุ่นเคือง ระหว่างนั้นชิงยวี่ตรวจสอบภายในห้องอย่างละเอียด หลังจากสามารถรับรองได้แล้วว่าไม่หลงเหลือเบาะแสใด จึงเปิดห้องและมองไปที่ชายร่างใหญ่สี่คนที่หมดสติอยู่ด้านนอก
เป็ผู้ชายร่างสูงกำยำแต่กลับโง่เง่าและอ่อนแอปวกเปียก คงมีเพียงคนไร้สมองเท่านั้นที่ใช้งานคนเช่นนี้
ด้วยเสียงหวีดร้องแ่เบาหลังจากคลายจุดเซวียของผู้ชายสี่คน บานประตูห้องชั้นนอกก็เปิดออกก่อนเขาจะหายวับไป
เถ้าแก่ตึกชุนเฟิงหาวนอน พลางเดินไปที่หน้าต่างและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า “โธ่! ท้องฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว คุณชายจางนี่ก็จริงๆ เลย จะเล่นกับผู้หญิงของตัวเองทั้งทีกลับมาใช้ห้องของข้า ถ้าทุกคนต่างเป็เช่นนั้น หญิงสาวสวยสะคราญประดุจหยกและบุปผาของข้า จะไปรับใช้ใครได้?”
ปากบ่นพึมพำด้วยความไม่พอใจขณะก้าวเท้าเดินซึ่งทำให้เสื้อคลุมสีแดงขยับไหว เขาตรงไปที่ห้องของจางเฟิงเฉิง จวบจวนถึง่เวลานี้ก็นานพอสมควรแล้ว คิดว่าเขาคงจะเล่นกันเสร็จแล้ว แม้บางทีเขาอาจจะยังสนุกอยู่ แต่ถ้าไปในเวลานี้ ข้าอาจจะได้รับรางวัลเป็เงินก็เป็ไปได้
เสียงกรีดร้องดังก้องไปในท้องฟ้า แต่เสียงนั้นหยุดชะงักภายในเวลาชั่วอึดใจเดียวราวกับเป็ดที่ถูกคนบีบคอจนได้แต่เปล่งเสียงฮือๆ
แม้ว่าจะเคยเห็นถึงความหลากหลายมาแล้วเป็จำนวนมากนับไม่ถ้วน ถึงกระนั้นเถ้าแก่ที่เห็นฉากเบื้องหน้าถึงกับใสามจิต เจ็ดิญญาได้สูญหายไปทั้งหมด เขากุมปากของตัวเองแน่น ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกหนักใจด้วยไม่รู้ว่าจะจัดการสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างไรดี?
คุณชายจางคนนี้เล่นอยู่กับสาวใช้ของเขาเองไม่ใช่หรือ? แต่ทำไมถึงกลับกลายเป็เล่นกับคุณชายหานจากจวนช่างชูแล้วล่ะ?
ด้วยเสียงกรีดร้องนั้นดึงดูดผู้คนจำนวนมาก ชายร่างใหญ่สองสามคนเห็นจำนวนผู้คนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จึงตระหนักได้ถึงความจริงจังของเื่นี้ และรีบปิดประตูพลางแผดเสียงบอกทุกคนให้ออกไป
กล่าวกันว่า เวลานั้นตึกชุนเฟิงครึกครื้นและมีชีวิตชีวาเป็อย่างมาก ฟากฝั่งเรือนที่กักขังซูมู่หาน่ก่อนหน้าได้ปรากฏแสงเทียนส่องประกาย จ้าวจื่อซินกอดอกแผ่นหลังพิงต้นไม้ใหญ่ ฟังเสียงครวญสะอื้นดังแว่วมาจากในห้อง
จวบจนกระทั่งท้องฟ้ากลายเป็สีขาว การเคลื่อนไหวในห้องถึงได้หายไป เมื่อเลื่อนสายตาจึงเห็นมู่หรงฉิงเดินออกมาด้วยดวงตาสีแดงก่ำ
ช่างเป็คนที่ให้ความสำคัญกับความผูกพันทางใจและความยุติธรรมจริงๆ ไม่แปลกใจว่าทำไมเหล่าบ่าวถึงได้ทำงานหนักเพื่อนางโดยไม่คิดชีวิตของตัวเอง แต่เสียดายแม่นมสองคนนั้นจริงๆ
หัวใจเต้นโลดยามนึกถึงเื่นั้น ขณะเดียวกันเท้าของเขาเดินเข้าไปหานางอย่างมิอาจห้ามได้ “หลับไปแล้วหรือ?”
“อืม สองสามวันก่อนน่าจะมีปัญหาเื่การนอนและการกิน หลังจากร้องไห้สักพักหนึ่งก็ผล็อยหลับไป” เสียงแหบเล็กน้อยบ่งชี้ให้เห็นว่านางอ่อนเพลียแล้ว แต่ดวงตาที่สดใสแสดงให้เห็นว่านางอารมณ์ดีมาก
หากเพิกเฉยต่อเส้นเืสีแดงก่ำในดวงตา เรียกได้ว่ายามนี้นางมีความสุขมาก
“ใน่สองวันนี้ ข้าเกรงว่าจะเกิดความโกลาหลในเมือง ดังนั้นให้นางพักอยู่ในเรือนหลังนี้สักสองสามวัน ข้าจะจัดแจงให้ชิงเย่มาที่นี่ มีเขาคอยดูแล เ้าจะได้ไม่มีอะไรที่ต้องกังวลแล้ว”
ชายหนุ่มดีดนิ้วระหว่างเอ่ยถ้อยคำ และมู่หรงฉิงก็เห็นชายชุดดำที่หน้าตาคล้ายกับชิงยวี่อยู่หลายส่วนปรากฏตัวออกมาโดยไม่รู้ว่าเขาออกมาจากมุมไหน
“ผู้น้อยน้อมทักทายเ้านาย น้อมทักทายฮูหยินน้อย”
เสียงของชิงเย่มีความสุขุม ดูท่าแล้วเขาน่าจะมีอายุมากกว่าชิงยวี่เล็กน้อย พูดได้หรือไม่ว่าชิงยวี่และชิงเย่เป็พี่น้องกัน?
ราวกับเห็นความสงสัยของมู่หรงฉิง จ้าวจื่อซินจึงกวักมือเรียกชายชุดดำซึ่งไม่รู้ว่าปรากฏตัวจากมุมไหน เขามาพร้อมกับจานเล็กๆ ในมือ บนจานมีผ้าแพรหนึ่งผืนกับน้ำแข็งก้อนเล็กๆ จ้าวจื่อซินห่อก้อนน้ำแข็งในผ้าแพรอย่างเรียบร้อย "ชิงเย่แก่กว่าชิงยวี่สองปี โดยปกติแล้วเขามักจะอยู่ในที่มืดและไม่ค่อยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน"
หลังจากพูดจบ เขาก็สั่งกำชับชิงเย่อีกหน “ใน่เวลาสองสามวันนี้ เ้าดูแลจื่อเอ๋อร์ให้ดี ถ้าเ้ามีเื่สงสัย เ้าแค่สอบถามข้าโดยตรงหรือถามฮูหยินน้อยก็ได้”
“รับทราบ” ชิงเย่เอ่ยตอบและไม่ได้ถามอะไร กระทั่งสีหน้าของเขายังไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่เศษเสี้ยว เมื่อได้ยินคำพูดของจ้าวจื่อซินว่า “ถอยออกไปเถอะ” เขาก็หายตัวไปในทันที
ช่างเหมือนภูตผีจริงๆ
มู่หรงฉิงนึกประหลาดใจในความสามารถของชิงเย่ แต่สิ่งที่มากไปกว่านั้นคือ นางประหลาดใจกับสถานะของจ้าวจื่อซิน จ้าวจื่อซินคนนี้มีต้นกำเนิดมาจากไหนกัน? คนรอบข้างเขาแต่ละคนมีความเก่งกาจเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
จ้าวจื่อซินห่อก้อนน้ำแข็งจากนั้นเดินไปหยุดตรงหน้ามู่หรงฉิง "หลับตาเสีย ถ้าเ้ากลับไปเช่นนี้ก็ไม่อาจรับรองได้ว่าคนอื่นที่พบเห็นจะไม่เกิดความสงสัย"
มู่หรงฉิงอึ้งงัน ในระยะเวลาภายในชั่วพริบตา นางก็เข้าใจความหมายของจ้าวจื่อซิน จึงถอยออกไปด้านหลังหนึ่งก้าว และส่งสัญญาณให้ปี้เอ๋อร์มาหานาง แต่ไม่คิดเลยว่า ใบหน้าสงบนิ่งของจ้าวจื่อซินกลับแปรเปลี่ยนเป็ไม่สบอารมณ์อย่างกะทันหัน ครั้นปี้เอ๋อร์ก้าวเท้าเข้ามาหา ดวงตาคมจึงจ้องตรงปี้เอ๋อร์เขม็ง จนคนถูกจ้องอธิบายความรู้สึกเป็คำพูดไม่ถูก
ระหว่างที่ปี้เอ๋อร์ยังอยู่ในอาการตกตะลึง จ้าวจื่อซินได้ก้าวเท้าไปข้างหน้าอีกหนโดยไม่ให้โอกาสมู่หรงฉิงได้หลบหลีก เขาจับแขนของนางเพื่อป้องกันไม่ให้นางหลบหนี ทั้งไม่สนด้วยว่านางจะหลับตาหรือไม่ เขาประคบถุงน้ำแข็งเข้าไปที่ดวงตาของมู่หรงฉิง
มู่หรงฉิงพูดไม่ออก ผู้ชายคนนี้ทำไมถึงเป็บ้าขึ้นมาอีก?
แต่พอคิดว่าถ้าไม่ได้เขาคอยช่วย นางคงไม่สามารถช่วยจื่อเอ๋อร์ออกมาได้ มู่หรงฉิงจึงไม่คิดอื่นใดอีกแล้วเช่นกัน คนอื่นกระตือรือร้นที่จะดูแลรับใช้นาง ส่วนนางแค่ได้รับการดูแลรับใช้ยังจะหลบหลีกอะไรหรือ?
หลังจากประคบก้อนน้ำแข็ง สภาพดวงตาของมู่หรงฉิงก็สามารถพบเจอกับผู้คนได้แล้ว มู่หรงฉิงกลับไปที่ห้องเพื่อหาจื่อเอ๋อร์ก่อนจากไป นางเห็นจื่อเอ๋อร์ขมวดคิ้วแน่น เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายกำลังนอนหลับกระสับกระส่าย
ถอนหายใจเบาๆ คิดว่าสองสามวันนี้ จื่อเอ๋อร์เป็นกหวาดเกาทัณฑ์[1] แต่เป็เพราะ์เมตตานาง ถ้าไม่ใช่เพราะจื่อเอ๋อร์มีระดู เกรงว่านางคงจะถูกเ้าสารเลวจางเฟิงเฉิงทำร้ายไปแล้ว
หลังหันกลับไป และเห็นชิงเย่ยืนอยู่ด้านข้างราวกับประติมากรรม มู่หรงฉิงจึงพูดอย่างสุภาพว่า “ใน่เวลาสองวันนี้ รบกวนเ้าดูแลจื่อเอ๋อร์ด้วย รอนางตื่นแล้ว เ้าบอกนางว่าอย่าออกไปข้างนอก และข้าจะมาหานางอีกครั้งในตอนกลางคืน"
“รับทราบ” เสียงของชิงเย่ราบเรียบคล้ายเส้นหนึ่งเส้นซึ่งเป็เส้นที่ไม่มีคลื่นแม้แต่น้อย
มู่หรงฉิงหันไปมองจื่อเอ๋อร์อีกหน ก่อนออกจากห้องไปพร้อมกับปี้เอ๋อร์
เมื่อเห็นมู่หรงฉิงเดินออกไปข้างนอก จ้าวจื่อซินก็ะโเรียกข้างหลังนาง "นี่ อย่าออกไปเดินข้างนอก พวกเราต้องไปทางลัด”
ไม่เดินข้างนอก? เดินทางลัดหรือ? ไม่ว่าจะเดินอย่างไร ก็ต้องเดินบนถนนจริงหรือไม่? ถ้าข้าไม่ออกไปข้างนอกแล้วจะไปได้อย่างไร?
มู่หรงฉิงยังไม่เข้าใจ ทว่าจ้าวจื่อซินกลับหมุนตัวเดินไปทางห้องด้านข้าง ไม่รู้ว่าจ้าวจื่อซินมีลับลมคมในอะไรกันแน่ แต่ถึงอย่างไรมู่หรงฉิงก็เดินตามไปด้วย
ครั้นเห็นจ้าวจื่อซินเปิดประตูลับ มู่หรงฉิงเดาว่า นี่อาจเป็เส้นทางลับที่จะนำไปยังที่ใดสักแห่ง?
นางคาดเดาพลางเดินตามด้านหลังจ้าวจื่อซิน และหลังจากเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมาประมาณหนึ่งเค่อ ก็เห็นจ้าวจื่อซินยกมือขึ้นแล้วเคาะบนผนัง
จากนั้นได้ยินเสียงดังแว่วเข้ามา
มู่หรงฉิงถึงกับตกตะลึงกึ่งประหลาดใจเมื่อมองดูขั้นบันไดหินที่ปรากฏขึ้น เส้นทางเบื้องหน้านำไปสู่ที่ไหนกัน?
มู่หรงฉิงยังคงสงสัยว่าเส้นทางลับนำไปสู่ที่ใด ถึงกระนั้นนางกลับยกชายกระโปรงพร้อมก้าวเท้าขึ้นบันได อย่างไรก็ดีนางถึงกับต้องตกตะลึงอีกหนหลังจากได้เห็นทางออก
มู่หรงฉิงยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่เคลื่อนไหว ส่งผลให้จ้าวจื่อซินก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและยืนเคียงข้างนาง ทางออกที่ไม่ได้กว้างมากนักกลับต้องคับแคบลงทันใดเพราะร่างกายสูงใหญ่ของเขา
ระหว่างทาง นางเคยคาดเดาว่าอุโมงค์นี้จะนำตรงไปยังจวนเฉิน บางทีอาจจะเป็เส้นทางไปเรือนหยางเซิง แต่กระนั้นนางไม่เคยคิดเลยว่าอุโมงค์ลับจะอยู่ใต้เตียงในห้องของนางกับเฉินเทียนหยู
เห็นเตียงใหญ่ที่เดิมวางไว้ที่นี่ถูกย้ายออกไปยังด้านข้าง เฉินเทียนหยูกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง ดูเหมือนจะฝันถึงสิ่งที่มีความสุข ด้วยรอยยิ้มสะอาดบริสุทธิ์ที่มุมปากของเขา ใบหน้าหลับใหลอย่างสงบสุขคล้ายกับเด็กบริสุทธิ์คนหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะทำให้คนที่มองไม่อยากละสายตาจากเขาเลย
ครั้นเห็นสีหน้าตะลึงงันของมู่หรงฉิง จ้าวจื่อซินจึงทำหน้าทำตาเหมือนมีชัย "อุโมงค์ลับนี้สามารถเข้าได้เท่านั้น และออกไม่ได้ เป็อย่างไรบ้าง? อุโมงค์ลับของข้า ขุดได้อย่างมีทักษะเป็อย่างมากใช่หรือไม่?"
เข้าได้อย่างเดียว แต่ออกไม่ได้กระนั้นหรือ? หมายความว่า เขาสามารถเข้ามาจากข้างนอกได้ แต่นางจะออกไปจากที่นี่ไม่ได้?
“มีทักษะเป็อย่างมาก” คำพูดถูกบีบออกมาจากไรฟัน
มู่หรงฉิงไม่คิดเลยว่า จ้าวจื่อซินจะขุดอุโมงค์มาถึงใต้เตียงของนาง ถ้าเขาออกมาจากอุโมงค์ ในขณะที่นางกำลังอาบน้ำอยู่ในห้อง มันจะไม่...
ความคิดนั้นเป็สาเหตุให้มู่หรงฉิงตวัดสายตากลับไปจ้องจ้าวจื่อซินอย่างอดไม่ได้ เมื่อเห็นมู่หรงฉิงจ้องมอง จ้าวจื่อซินก็นึกเดาความคิดของนางทันที เขาเดินออกจากอุโมงค์ลับก่อนจะกล่าวว่า "อุโมงค์ลับนี้ถูกขุดเป็เวลานานแล้ว มันถูกขุดสำหรับเฉินเทียนหยู ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่น”
สำหรับเฉินเทียนหยู? สาวเท้าเดินออกไป สายตาของนางมองลงบนใบหน้าที่กำลังหลับสนิท ครั้นนึกถึงคำพูดของจ้าวจื่อซินที่บอกว่าเขาไม่สนใจผู้หญิง ความคิดของนางเต็มไปด้วยภาพที่ไม่ลงรอยกันมากมายโดยสัญชาตญาณ
เป็ไปได้หรือไม่ว่า เฉินเทียนหยูและจ้าวจื่อซิน...
มู่หรงฉิงสวดมนต์อมิตาภพุทธนับจำนวนครั้งไม่ถ้วนในใจ จ้าวจื่อซินจะรู้เสียที่ใดว่าสมองของมู่หรงฉิงได้สร้างภาพเ่าั้ขึ้นมา หลังจากเห็นปี้เอ๋อร์เดินออกจากอุโมงค์ลับด้วยแววตาตกตะลึง จ้าวจื่อซินก้มลงไปและกดบริเวณที่นูนเว้า จากนั้นประตูก็ปิดลงในทันที
เตียงใหญ่จึงถูกเคลื่อนย้ายกลับเข้าที่เดิมอีกหน
------------------------
[1] นกหวาดเกาทัณฑ์ ใช้เปรียบเทียบกับคนที่เคยผ่านเหตุการณ์ที่ไม่ดีมา และภายหลังเมื่อมีอะไรมากระทบเล็กน้อยก็จะตื่นกลัวอย่างมาก