ไปซื้อเสื้อผ้าที่หลานเฟิ่งหวงหรือ?
หลิวเฟินรู้สึกตระหนกขึ้นมาทันที แต่ไหนแต่ไรเธอก็โกหกไม่เก่ง ตอนนี้หลิวฟางดันจะไปหลานเฟิ่งหวง ไปแล้วสิ่งที่เธอโกหกก็โดนเปิดเผยหมดน่ะสิ!
หลิวฟางเห็นเธอมีสีหน้าประหลาด จึงถามด้วยความสงสัย
“ทำไม ฉันจะเลี้ยงข้าวพี่ยังไม่ได้หรือ? ฉันไม่้าให้พี่มอบเงินให้เสียหน่อย”
“ไม่ ไม่ใช่... อาฟาง ตอนนี้ฉันทำงานที่หลานเฟิ่งหวงน่ะ”
นี่กลับเป็เื่ที่คิดไม่ถึง
หลิวฟางดีอกดีใจ “พี่รอง เหลียงฮวนเล่าว่าร้านนี้ขายดีมากในเมืองมณฑล ขนาดพวกเราคนในเขตยังเคยได้ยิน แถมตั้งใจจะมาสถานที่ขายเสื้อผ้าในเมืองมณฑลแห่งนี้โดยเฉพาะ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ชีวิตพี่จะดีทีเดียว เงินเดือนเป็อย่างไรล่ะ?”
เงินเดือนเป็อย่างไรบ้างหรือ?
ธุรกิจนี้ร่วมลงทุนกับครอบครัวพี่ใหญ่ ได้เงินเท่าไรลูกสาวก็ให้เธอใช้ตามสะดวก
หลิวเฟินนึกขึ้นได้ว่าตนเองมีเงินเดือน ร้านเปิดกิจการวันที่ 24 เดือนมกราคม ตรุษจีนวันที่ 24 กุมภาพันธ์นั่น เซี่ยเสี่ยวหลานก็บอกว่าจะจ่ายเงินเดือนให้ทุกคน เธอได้รับเงิน 200 หยวนนี่นะ ในปี 84 เงินเดือน 200 หยวนถือว่าสูง หลิวเฟินไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร จึงพยักหน้ารับไปอย่างลวกๆ
“เงินเดือนก็พอไหว...”
หลิวฟางไม่ได้ซักไซ้อะไรเช่นกัน
ตระกูลเซี่ยฐานะไม่ดี พี่รองของเธอไม่มีโอกาสได้เห็นเงินทอง มีเงินเดือนไม่กี่สิบหยวนก็คงคิดว่าไม่เลวแล้ว ร้านประเภทนี้จะให้เงินเดือนได้เท่าไรกันเชียว อย่างมากก็คงหลายสิบหยวน สู้รายรับของเหล่าเหลียงสามีเธอไม่ได้แน่ หลังจากหลิวฟางแต่งงานเข้าตระกูลเหลียงยังไม่เคยลำบากจริงๆ จังๆ เลย ตอนเธอให้กำเนิดเหลียงฮวนคือ่หกศูนย์ ผู้คนตั้งเท่าไรหิวโหยจนต้องคว้าดินกิน ทว่าขณะเธออยู่ไฟยังได้รับประทานไข่ไก่ตุ๋น
ตอนนั้นเธอคิดว่าชีวิตในบ้านเหลียงช่างสุขสบายยิ่งนัก ต่อให้เธอตายก็จะไม่กลับไปชนบทอีก
บ้านเหลียงไม่เคยลำบากจากความยากจนอย่างแท้จริง หลายปีมานี้กระทั่งชีวิตคนชนบทก็ยังพัฒนา ดังนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงบ้านเหลียง
วันนี้หลิวฟางมีท่าทีแสนดี พาพี่สาวเธอออกจากบ้าน เลี้ยงบะหมี่เนื้อแพะ อีกทั้งยังไปเลือกเสื้อผ้าที่ ‘หลานเฟิ่งหวง’ ด้วยกัน หลิวเฟินร้อนใจจนเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก แต่เธอไม่มีไหวพริบในการรับมือในภาวะฉุกเฉิน จึงทำได้เพียงถูกน้องสาวลากตัวไปเท่านั้น
หลี่เฟิ่งเหมยมองเห็นจากระยะไกล ทำไมหลิวเฟินพามาที่ร้านเล่า?
หรือว่าหลิวเฟินต้านทานไม่ไหว?!
แต่กระนั้นหลิวฟางใยิ่งกว่าเสียอีก ในร้านมีแค่หลี่เฟิ่งเหมยอยู่คนเดียว มีเ้าของร้านคนไหนจะจ้างพี่สะใภ้และน้องสามีมาเฝ้าร้านพร้อมกัน หนึ่งคนขายสินค้า หนึ่งคนรับเงิน มิใช่สามารถร่วมมือยกเค้าร้านได้หรอกหรือ?
หลี่เฟิ่งเหมยเองก็รู้ว่าไม่สามารถปิดบังได้อีกต่อไป ในเมื่อหลิวฟางเจอหลานเฟิ่งหวงแล้ว ย่อมทราบว่าใครคือเถ้าแก่ของร้านเข้าสักวัน
ใบอนุญาตประกอบกิจการใช้ชื่อของหลิวหย่งลงทะเบียน หลี่เฟิ่งเหมยจึงยอมรับอย่างผ่าเผยเสียเลย “เสี่ยวฟางมาหรือ กินข้าวหรือยัง? ฉันก็ว่าอยู่ ทำไมพี่สาวเธอยังไม่ทันกินข้าวกลางวันก็ไปเสียแล้ว”
“พี่สะใภ้ ร้านนี้...”
“โอ๊ะ ฉันกับคนอื่นร่วมหุ้นค้าขายเล็กๆ น้อยๆ กัน เกรงว่าจะทำสามีเธออับอายคนอื่นน่ะ เลยไม่ได้บอกพวกเธอ ฉันเห็นอาเฟินไม่มีอะไรทำอยู่แล้วด้วย เลยจ้างเธอมาช่วยงานในร้านเสีย”
เป็ร้านที่หลี่เฟิ่งเหมยร่วมลงทุนกับคนอื่นนั่นเอง!
ความตกตะลึงของหลิวฟางปรากฏออกมาอย่างเห็นได้ชัดบนใบหน้า
ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนา มีลูกค้าแวะเวียนมาลองเสื้อผ้าอยู่ตลอด ลูกค้าเดินเข้ามาในร้านไม่ขาดสาย หลี่เฟิ่งเหมยและหลิวเฟินก็ทำงานเข้ากันได้ดีมาก ในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง ร้านก็สามารถขายเสื้อผ้าได้แล้ว 4 ชิ้น
เสื้อผ้าดูดีไหม?
หลิวฟางคิดว่าดูดี
ทว่าต่อให้เป็กำลังซื้อของหลิวฟาง เธอก็คิดว่าเสื้อผ้าในร้านราคาไม่ย่อมเยาเอาเสียเลย แพงเท่าเสื้อผ้าในห้างสรรพสินค้าแล้ว บางตัวยังแพงกว่าเล็กน้อยอีกด้วย ร้านแบบนี้ ทุกวันจำหน่ายสินค้าได้เท่าไรกันนะ? สมองของหลิวฟางครางหึ่งๆ
หลี่เฟิ่งเหมยบอกว่าร่วมลงทุนกับผู้อื่น หน้าร้านสามคูหา ขนาดใหญ่โตเช่นนี้ มองอย่างไรก็มิใช่คนทำธุรกิจส่วนตัวเล็กๆ ที่ตั้งแผงค้าขายแน่
คนที่หมู่บ้านชีจิ่งไม่ได้พูดไร้สาระ หลิวหย่งพี่ชายของเธอทำรายได้เป็กอบเป็กำในซางตูจริง! หลิวฟางบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ทั้งยากที่จะเชื่อ ทั้งโมโหและน้อยใจ ร่ำรวยแล้วอย่างไร ใช่ว่าเธอจะโลภอยากได้เงินทองของครอบครัวฝ่ายมารดาเสียหน่อย ถ้าวันนี้เธอไม่มาพบโดยบังเอิญ ไม่รู้ว่าจะปิดบังเธอไปถึงเมื่อไร!
อยู่ดีๆ ก็หงุดหงิด เธออยากหันหลังกลับไปเสียจริงๆ
ทว่าเหลียงปิ่งอันอุตส่าห์อธิบายสถานการณ์ของเขาให้เธอทราบอย่างชัดเจนขนาดนั้น หากเธอดันหันหลังกลับเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ เื่ราวต่อจากนี้ไปจะทำอย่างไรเล่า?
หลิวฟางอยู่ในร้านด้วยอารมณ์น้อยใจ ลืมว่าจะต้องซื้อเสื้อผ้าให้เหลียงฮวนไปโดยปริยาย
หลี่เฟิ่งเหมยและหลิวเฟินช่วยกันทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน พอถึงเวลาสี่โมง หลี่เฟิ่งเหมยจะไปรับลูกชายที่เลิกเรียน จึงถามเธอว่าเย็นนี้จะพักในซางตูหรือไม่?
“เธอดูสิ ฉันและพี่สาวเธอยุ่งเสียขนาดนี้ คงไม่มีเวลากลับบ้านไปทำอาหารให้เธอหรอก ถ้าเธอจะพักในซางตู ก็รอพวกเราปิดร้านก่อนค่อยไปกินข้าวข้างนอกกันนะ”
ประโยคนี้ฟังแล้วคุ้นหูยิ่งนัก
เมื่อกลางวันเธอก็พูดกับหลิวเฟินแบบนี้ ทำอาหารอะไรเล่าไปกินที่ร้านสิ
คนไม่มีเงินถุงเงินถัง เงินทุกเฟินล้วนต้องจัดแจงให้มีประโยชน์ จะพูดว่าเลี้ยงข้าวคนอื่นอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้หรือ
ดวงไฟคริสตัลของ ‘หลานเฟิ่งหวง’ สะท้อนในกระจก ร้านนี้ช่างหรูหรามีระดับเหลือเกิน ข่าวคราวใหม่นี้เหนือความคาดหมายของหลิวฟางมากจริงๆ เมื่อก่อนเธอไม่เห็นหลี่เฟิ่งเหมยที่แต่งงานกับหลิวหย่งสลักสำคัญด้วยซ้ำ แต่ถ้าหลี่เฟิ่งเหมยมีร้านแบบนี้ ยังจะเป็หญิงชนบทเชยเฉิ่มคนนั้นอีกที่ไหน
การแต่งกายและกิริยาวาจาของหลี่เฟิ่งเหมยก็เปลี่ยนแปลงไปแล้วเช่นกัน
หลิวฟางประหม่าขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“ไม่ล่ะพี่สะใภ้ ท่าทางพวกพี่ยุ่งทีเดียว ฉันยังต้องรีบกลับบ้าน เอาไว้วันหลังฉันค่อยมาใหม่”
เธอประหม่าอะไร เธอประหม่าที่หิ้วเนื้อสองชั่งมาให้ครอบครัวพี่ใหญ่น่ะสิ!
หลิวฟางมีนิสัยแบบนี้ หากฐานะไม่ดีเท่าเธอ เธอจะปฏิบัติตัวด้วยความไม่ใส่ใจ เื่คำพูดคำจาก็ไม่มีทางสนว่าจะทำร้ายจิตใจคนเขาหรือไม่ หากฐานะเทียบเทียมกับครอบครัวเธอ เธอถึงจะเกรงว่าขาดมารยาท ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่ฐานะดีกว่า ย่อมต้องตั้งใจประจบประแจง
เธอยังตัดสินไม่ได้ว่าตอนนี้หลี่เฟิ่งเหมยมีฐานะแบบไหนแล้ว อย่างไรเสียต้องดีกว่าตอนหลิวหย่งเป็เกษตรกรไปวันๆ ในหมู่บ้านแน่นอน
หลี่เฟิ่งเหมยทำหลิวฟางขุ่นเคืองจนจากไป ตัวเธอถึงได้โล่งอก
คิดอีกทีก็รู้สึกว่าน่าขัน เธอจุกจิกกับคนแบบนี้เพื่ออะไร มิใช่รู้อยู่แล้วหรือว่าหลิวฟางคนนี้มีนิสัยอย่างไรหรือ
หลิวฟางคิดว่าเื่ที่เธอทำลงไปในวันนี้ช่างงี่เง่าเหลือทน
อย่างแรกคือพะเน้าพะนอหญิงชรากวาดถนนคนหนึ่งอยู่นานสองนาน
ต่อมาได้รับทราบว่าหลี่เฟิ่งเหมยคือเถ้าแก่ของ ‘หลานเฟิ่งหวง’ โดยไม่ทันตั้งตัว เธอยากที่จะยอมรับความแตกต่างนี้ได้ แถมยังสับสนงุนงงอีก พอกลับไปถึงบ้าน เธอค่อยๆ สงบจิตใจลง และบ่นคร่ำครวญต่อเหลียงปิ่งอัน
“ดูท่าทางพี่สะใภ้ฉันสิ แค่ร่วมหุ้นเปิดร้านกับคนอื่นไม่ใช่หรือไร? คนอื่นอาจลงเงินมากกว่า เธอเป็เพียงผู้ถือหุ้นย่อยแน่นอน ไม่เช่นนั้นจะเป็เธอที่ดูแลร้านนั่นได้อย่างไร”
ทว่าเหลียงปิ่งอันไม่ได้ตัดสินซี้ซั้ว
“คุณเล่าถึงร้านนั้นให้ผมฟังอย่างละเอียดหน่อย ไม่สิ เล่าเื่ในวันนี้ทั้งหมดเลย”
ชื่อเสียงของ ‘หลานเฟิ่งหวง’ แพร่จากในเมืองมณฑลมาถึงในเขต ผู้เชี่ยวชาญด้านแฟชั่นอย่างเหลียงฮวนก็เคยได้ยิน ถึงกระนั้นผู้ชายเช่นเหลียงปิ่งอันจะมีเวลาว่างมาสนใจเสียที่ไหน แต่ร้านนี้เปิดที่จัตุรัสเอ้อร์ชีของตัวเมือง ตั้งอยู่ข้างห้างสรรพสินค้า นั่นเป็สถานที่ที่คนธรรมดาสามารถเปิดกิจการได้หรือ?
ขนาดค้าขายกระจุกกระจิกในเขตยังต้องส่งส่วยไปทั่ว ในเมืองมณฑลมีกฎหมู่ที่ยังไม่รู้อีกมากมาย ต่อให้มีบ้านเหลียงคอยสนับสนุน หลิวฟางไปเปิดร้านในเมืองแทนก็อาจจะไม่ราบรื่น บ้านหลิวมีเส้นสายอะไร ถึงสามารถหน้าร้านสามคูหาที่จัตุรัสเอ้อร์ชีได้!
เหลียงปิ่งอันค่อนข้างเชื่อคำพูดของหลี่เฟิ่งเหมย ร้านนั่นร่วมลงทุนกับคนอื่นแน่นอน หลิวหย่งไม่มีเครือข่ายคนรู้จักเช่นนั้น
คำถามคือร่วมลงทุนกับใคร?
เหลียงปิ่งอันคิดว่านี่ต่างหากที่เป็จุดสำคัญของเื่ราว
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าทำไมหลิวเฟินกับลูกสาวถึง้าสร้างบ้านโดยเป็ตายก็ไม่รับเงินของบ้านเหลียง เป็ที่ประจักษ์อีกเช่นกันว่าหลิวเฟินและเซี่ยเสี่ยวหลานพึ่งพาอาศัยหลิวหย่ง หลิวหย่งคือคนรักเกียรติมากขนาดนั้น จะทนมองหลิวเฟินไม่มีบ้านอาศัยอยู่ได้อย่างไร
ส่วนบ้านนี้น่ะ หลิวหย่งคงจะออกเงินช่วยหลิวเฟินสร้าง
หลิวฟางเล่าเื่วันนี้รอบหนึ่ง เหลียงปิ่งอันฟังอย่างตั้งใจไม่น้อย เมื่อฟังจบเขาก็จับประเด็นสำคัญได้ทันที
“คุณบอกว่าวันนี้ไม่เจอพี่ใหญ่ และไม่เห็นหลานสาวด้วยอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ได้เจอนะ...”
เหลียงปิ่งอันซักถามอีก “ป้ากวาดถนนคนนั้นคุยกับคุณว่าอย่างไร คนรักที่เสี่ยวหลานคบเหมาะกับเธอมากใช่หรือไม่?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้