เล่มที่ 9 บทที่ 250 กลไกั
‘จะทำอย่างไรดีล่ะ?’
ขณะที่หลินเฟยกำลังกลุ้มใจอยู่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงใครบางคนที่กำลังเดินเข้ามา
“ศิษย์พี่หลิน...” แค่ได้ยินหลินเฟยก็รู้ทันทีว่าเวินโหวกลับมาแล้ว
หลังจากเวินโหวละทิ้งการแก้ตัว ก็เรียกได้ว่าเสียคนไปเลยทีเดียว จากเดิมที่เป็ศิษย์สายตรงของหุบเขาหมื่นอสูร บัดนี้กลายเป็โจรไปเรียบร้อย วันๆเอาแต่พาเ้าปลาั์เที่ยวตระเวนปล้นชิงไปทั่ว เห็นใครก็ปล้นชิงทันทีโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายเป็ใคร ถือว่ากลายเป็เนื้อร้ายที่ยากจะเยียวยาไปเสียแล้ว...
บัดนี้เวลาศิษย์สำนักอื่นจะออกไปไหนมักจะรวมตัวกันเป็ฝูง จึงจะกล้าออกมาได้ แถมยังได้ยินว่ามีเหยื่อหลายคนถึงกับรวบรวมหินิญญาเป็ค่าหัวของเวินโหวอีกด้วย...
“เฮ้อ ผู้บำเพ็ญสมัยนี้ยากจนลงเรื่อยๆจริงๆ...” หลังจากเวินโหวก้าวเข้ามา ก็เอาแต่ถอนหายใจ ก่อนจะล้วงเอาสมุนไพรต้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเฉียนคุน
“อุตส่าห์ตื่นแต่เช้า สุดท้ายกลับได้แค่หญ้าสามแฉกอายุห้าร้อยปีเท่านั้น...”
เมื่อพูดจบ เวินโหวก็โยนให้เ้าปลาั์กิน...
“...” หลินเฟยได้ยินดังนั้น ก็ลูบจมูกปรอยๆ บัดนี้เ้าปลาั์ถือว่าเปลี่ยนไปมากทีเดียว ลำตัวที่ยาวนับสิบจ้างแต่เดิมก็พลันขยายใหญ่โตจนมีความยาวกว่าสามสิบจ้างแล้ว ไม่รู้ว่าเวินโหวป้อนสมุนไพรบำรุงไปขนาดไหน ถึงกับมีไอิญญาเข้มข้นจนท่วมทะลักออกมาไม่หยุดเช่นนี้
ส่วนอาวุธและสิ่งวิเศษมากมายก็แขวนห้อยเต็มตัว จากเดิมยังมีแค่ห่วงมารเซียนเก้าโคจรอย่างเดียวเท่านั้น แต่บัดนี้กลับมีกระดิ่งข่มิญญาเพิ่มมาอีก จนมีเครื่องประดับทั้งหยินและหยางเต็มไปหมด แถมที่ตัวยังมีเชือกเจ็ดัพิฆาตพันล้อมรอบไว้อีกด้วย แทบจะเรียกได้ว่าระยิบระยับไปทั้งตัวเลยทีเดียว ตอนที่ออกไปปล้นชิงกับเวินโหว แทบไม่ต้องใช้พลังหายตัวเลย เพราะเพียงแสงเจิดจ้าของอาวุธมากมายบนตัว ก็สามารถส่องจนเหยื่อตาพร่ามัวไปหมด...
สำหรับตัวเวินโหวเองนั้น...
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง!
‘ก่อนหน้านี้แค่ได้หินิญญาสองถึงสามร้อยก้อน ก็ดีใจจนแทบจะร้องไห้แล้ว แต่ตอนนี้หญ้าสามแฉกที่มีอายุห้าร้อยปีกลับตัดใจเอามาเลี้ยงปลาได้ แถมยังมีหน้ามาพูดว่าผู้บำเพ็ญสมัยนี้ยากจนลงเรื่อยๆอีก ที่ยากจนลง ไม่ใช่เพราะถูกเ้าปล้นชิงอย่างหนักหรือ?’
“ข้าว่าเ้ามีจิตเมตตาหน่อยเถอะ...” สายตาที่หลินเฟยมองเวินโหวก็เต็มไปด้วยความดูแคลน
“ดูปลาของเ้าก่อนเถอะ ตอนนี้อ้วนจะตายอยู่แล้ว ปล้นชิงแค่สามสำนักใหญ่ก็พอแล้ว แต่เ้ากลับไปปล้นพวกสำนักเล็กๆอีก ช่วยทำอะไรให้มันมีขอบเขตหน่อยได้ไหม?”
“...” เวินโหวได้ยินเช่นนั้น ก็แทบจะหลั่งน้ำตาออกมา
‘บ้าเอ๊ย ที่เป็เช่นนี้ก็เพราะใครกันล่ะ ที่พาข้าเที่ยวปล้นชิงคนอื่นไปทั่ว หลังจากปล้นสำนักโยวิเสร็จ ก็ปล้นสำนักกระบี่หลีซานต่อ แถมยังโยนหม้อดำให้ข้าแบกอีก แล้วตอนนี้กลับมาบอกให้ช่วยมีขอบเขตอย่างนั้นน่ะหรือ ไม่รู้สึกว่าการพูดเช่นนี้ จะดูหน้าหนาเกินไปหน่อยหรือไง?’
ขณะที่คิดจะโต้แย้งออกมา จู่ๆเวินโหวก็คิดอะไรขึ้นมาได้...
“อ้อ จริงสิ ข้าได้ยินว่าสำนักเชียนซานเจอกลไกั...”
“กลไกังั้นหรือ?” หลินเฟยได้ยินดังนั้นก็ชะงักไปชั่วครู่ เพราะหลินเฟยคุ้นเคยกับสิ่งนี้ดี โดยปกติแล้วการจะสร้างกลไกให้มีรูปร่างเป็ัได้นั้น จะต้องมีขั้นบำเพ็ญจิงตันขึ้นไป...
“ใช่ๆ ไม่รู้ว่าสำนักเซียนซานทำไมถึงโชคดีเช่นนี้ ได้ยินว่าตอนที่ขุดเจาะจุดชีพจรหินิญญา ก็ดันพบซากกลไกัที่หลงเหลือ...”
หลินเฟยได้ยินเช่นนั้น ก็ขมวดคิ้วแน่นทันที ก่อนจะเอ่ยถาม
“กลไลันี้ยาวเท่าไรล่ะ?”
“ยาวเป็หมื่นจ้างเลย!”
“หมื่นจ้าง...” หลินเฟยได้ยินเช่นนั้น ก็รู้ทันทีว่ากลไกันี้จะต้องมีพลังระดับผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันเป็แน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจขับเคลื่อนกลไกที่ยาวเป็หมื่นจ้างนี้ได้...
“ได้ยินพวกสำนักเซียนซานบอกว่ากลไกนี้คงรับศึกหนักมา และคงจะถูกสะบั้นร่วงหล่นลงมา จึงทำให้ไอิญญาแตกซ่าน ทั่วทั้งรัศมีหลายสิบลี้จึงกลายเป็จุดชีพจรหินิญญาขึ้นมา ดูเหมือนสำนักเซียนซานกำลังรวบรวมเหล่าศิษย์ เพื่อไปขนซากกลไกกลับทะเลอูไห่...”
“ดวงสำนักเซียนซานนี่ช่าง...” ทันใดนั้นหลินเฟยก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมาทันที เพราะการที่กลไกัมีพลังระดับจิงตันเช่นนี้ ถือว่าเกิดขึ้นด้วยเคล็ดวิชากลไกชั้นสูง สำหรับทั่วทั้งแถบทะเลอูไห่หรือแม้กระทั่งทั่วพิภพซ่างจงเองก็ย่อมเข้าใจดี หากสำนักเซียนซานได้กลไกันี้ไปครองละก็ เกรงว่าหลายสิบปีหลังจากนี้ ความรู้ด้านกลไกของสำนักเซียนซานจะต้องพัฒนาอย่างก้าวะโแน่นอน...
‘ดังนั้นของเช่นนี้ อย่าเข้าไปยุ่งจะดีกว่า...’
ทว่าซากกลไกันั้น...
‘ใครกัน ไม่อยากได้บ้าง?’
แต่ปัญหาก็คือ สิ่งนี้นับว่าล้ำค่าเป็อย่างมาก...
อย่างที่เห็นว่าวันๆ หลินเฟยเอาแต่ปล้นชิงไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็สำนักโยวิหรือสำนักกระบี่หลีซาน ล้วนถูกเขาปล้นชิงมาหมดแล้ว แต่จริงๆแล้ว หลินเฟยก็มีขอบเขตอยู่เหมือนกัน...
เพราะสิ่งที่ปล้นล้วนเป็ของที่ไม่สำคัญอะไร ทั้งสุสานอสุรกายกุ่ยหวังของฟางจวิ้น หรือแม้แต่สวนสมุนไพรโบราณของเฉิงหัว ถึงแม้จะดูล้ำค่าเพียงใด แต่หากถูกปล้นชิงไปก็ยังไม่กระทบต่อรากฐานของสามสำนักใหญ่...
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน
เพื่อกลไกัแล้ว สำนักเซียนซานกล้าแตกหักกับทุกคนได้จริงๆ...
คิดได้ดังนั้นหลินเฟยก็ส่ายหน้าก่อนจะเอ่ยออกมา
“ช่างเถอะ อย่าไปยุ่งกับกลไกันี้ดีกว่า หากทำให้สำนักเซียนซานโกรธขึ้นมาละก็ ดีไม่ดีอาจจะถูกผู้บำเพ็ญเจ็ดถึงแปดคนไล่ล่าเลยก็ได้ เช่นนั้นคงได้ตายกันหมด...”
“ไม่ทันแล้วล่ะ เพราะเมื่อวานตอนที่รู้เื่ ข้าก็แอบไปดูมาแล้ว กลไกันั่นถูกสำนักเซียนซานขนไปเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงหัวัอย่างเดียวเท่านั้น...”
“ได้ยินว่าตอนที่ร่วงลงมา หัวัก็ได้ถูกปราณกระบี่สะบั้นจนพังเสียหายไปแล้ว ดังนั้นเคล็ดวิชากลไกด้านในก็ย่อมสูญสลายไปด้วย แถมได้ยินว่าหลังจากกลไกันี้ถูกทำลายลง ก็มีแรงอาฆาตรุนแรงวนเวียนอยู่ที่ส่วนหัว เพียงแค่มีผู้บำเพ็ญเข้าใกล้เท่านั้น ก็จะถูกแรงอาฆาตนี้กลืนกินทันที จนถึงตอนนี้สำนักเซียนซานก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะขนหัวันี้กลับไปดีไหม...”
“เช่นนั้นก็น่าเสียดาย...” หลินเฟยได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเสียดายแทน เพราะหัวัพังเสียหาย ทำให้เคล็ดวิชากลไกสูญหายไปด้วยเช่นกัน ทว่าเพียงพริบตาเดียวก็รู้สึกถึงความผิดปกติขึ้นมา
“เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เ้าบอกว่าแรงอาฆาตอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว ได้ยินว่าไม่ใช่แรงอาฆาตเสียทีเดียว แต่เป็เพราะว่าหลังจากกลไกัพังเสียหายลง ิญญาของมันก็ไม่ยอมไปผุดไปเกิด เอาแต่วนเวียนตามหาคนที่สะบั้นหัวมันเพื่อล้างแค้น...”
“...” เมื่อหลินเฟยได้ยินดังนั้น ก็ไม่แน่ใจว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะออกมาดี เพราะกลไกที่เกิดขึ้นนั้น ต่อให้มีหยวนหลิงจริง แต่ก็ไม่มีทางที่จะมีิญญาสิงสู่ได้
ทว่าแรงอาฆาตนั้น...
หลังจากพิจารณาอยู่พักหนึ่ง หลินเฟยก็ตาเป็ประกายขึ้นทันที หากราบรื่นขึ้นมาละก็ คัมภีร์โครงกระดูกก็จะมีหยวนหลิงเสียที...
“งั้นไปดูกันหน่อย!”
“หือ?”เวินโหวได้ยินดังนั้น ก็ถึงกับตั้งสติไม่ทัน ‘หัวัที่พังแล้ว มีอะไรให้น่าดูงั้นหรือ?’
‘ก็บอกแล้วนี่นา ว่าพวกสำนักเซียนซานยังตัดสินใจไม่ได้เลยว่าจะเอาอย่างไรต่อ แล้วจะไปดูทำไมกัน?...’
น่าเสียดายที่หลินเฟยไม่คิดจะอธิบายให้เวินโหวฟังแม้แต่น้อย เวินโหวจึงจำใจปล่อยเ้าปลาั์ออกมา หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ก้าวขึ้นหลังเ้าปลาั์ และมุ่งหน้าไปยังจุดที่มีซากกลไกั...
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------