สายตาของหลินเฟิงดูสงสัยและแปลกใจเล็กน้อย
ทหารที่ปกปิดใบหน้าอีกสองนายก็มองเขาด้วยสายตาประหลาดใจไม่แพ้กัน
“หลินเฟิง พวกข้าทั้งสามคนไม่ได้มีเจตนาเป็ศัตรูกับเ้า และพวกข้าก็จะไปจากที่นี่แล้ว”
หนึ่งในสามคนกล่าวออกมาอย่างเฉยชา ขณะก้าวขึ้นหลังม้าศึกและหันไปกล่าวกับอีกสองคน
“พวกเ้าเห็นด้วยหรือไม่?”
ทหารอีกสองนายครุ่นคิดแล้วพยักหน้า
“งั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ” ทหารนายนั้นกล่าวขึ้นอีกครั้ง แล้วควบม้าออกไป เมื่ออีกสองคนไม่เห็นว่าหลินเฟิงจะเข้ามาขัดขวาง ทั้งสองจึงควบม้าตามไปทันทีราวกับหวาดกลัวว่าหลินเฟิงจะไล่ตามฆ่าพวกเขา
อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาออกไปได้ไม่ไกลนัก ทันใดนั้นก็ได้มีลมปราณสายหนึ่งพุ่งโจมตี จากนั้นทั้งสองต่างต้องคำรามออกมาและมีเืไหลออกจากปากของพวกเขา
หลังจากนั้นการโจมตีอันทรงพลังก็พุ่งใส่พวกเขาจากด้านหลังอีกครั้ง ทั้งสองต่างโกรธเกรี้ยวจนต้องปลดปล่อยลมปราณที่บ้าคลั่งออกมา ทว่ามันสายไปแล้ว… เพียงพริบตาได้มีฝ่ามือแทงทะลุร่างของทั้งสอง และฝ่ามือนี้ได้ทำลายชีพจรของพวกเขาไปสิ้น
หลินเฟิงและต้วนซินเยี่ยต่างตกตะลึง ขณะมองทหารที่ปกปิดใบหน้าซึ่งกำลังกลับขึ้นไปบนหลังม้าศึกช้าๆ
หลังจากเห็นอีกฝ่ายขึ้นไปบนหลังม้าศึก จากนั้นเขาก็มาหาหลินเฟิงและต้วนซินเยี่ยพลางกล่าวว่า “หลินเฟิง ถึงแม้เ้าจะก้าวหน้าเมื่อเผชิญกับอันตราย แต่ว่าตอนนี้ร่างกายเ้ายังอ่อนแอมากนัก ไม่อาจต่อสู้นานได้ ข้าคิดว่าเ้าควรหาที่พักให้เร็วที่สุดจะดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่จะเกิดขึ้น”
“หืม?”
หลินเฟิงหรี่ตาลงเล็กน้อย เขารู้ถึงสภาพตนเองในตอนนี้ดีว่าอ่อนแอแค่ไหน
ใช่แล้ว ถึงแม้กระดูกจะแตกหักแต่ภายหลังมันจะเริ่มสมาน พลังขอบเขตก็จะเพิ่มขึ้นจนถึงขอบเขตที่หลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับดาบ แต่ภายในของหลินเฟิงในตอนนี้ยังสมานไม่สมบูรณ์ดี เนื่องจากเขาได้รับาเ็สาหัสจึงต้องใช้เวลานาน ในตอนนี้สถานการณ์ของเขา มีเพียงแค่เขาที่รู้ว่าเป็เช่นไร
เหตุผลที่หลินเฟิงไม่ได้ไล่ตามอีกฝ่ายไป เพราะเขากำลังอ่อนแอและกลัวว่าจะล้มเหลว
แต่ทำไมคนคนนี้ถึงช่วยเขา?
คนคนนี้เป็ใครกันแน่? ทำไมเขาถึงมาพร้อมกับกลุ่มผู้คุ้มกันทมิฬ?
“ท่านเป็ใคร?” หลินเฟิงกล่าวถาม
“เ้าไม่ต้องรู้หรอกว่าข้าเป็ใคร หลินเฟิง เ้ามีความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว ไร้ความหวั่นเกรง นี่คือจิตใจที่แน่วแน่ของเ้า คือเส้นทางแห่งนักรบของเ้า แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีจิตใจที่แน่วแน่เช่นนี้ทั้งหมด บางครั้งหากเพื่อชีวิตแล้ว มันก็จำเป็ต้องมีความอดทนด้วย”
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบกลับหลินเฟิง แต่กลับเอ่ยถึงอีกเื่
“หลินเฟิง าระหว่างสองอาณาจักรในครั้งนี้ มันยังห่างไกลกับที่เ้าจินตนาการไว้มาก ในสายตาของผู้ที่อยู่เื้ั ทหารนับแสนนายก็เป็แค่ตัวหมาก เป็มดปลวกที่พร้อมพรีชีพได้ทุกเวลา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของพวกเขา อีกอย่างการที่เ้ามาเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ มันไม่คุ้มกับชีวิตอย่างมาก เพราะเดิมทีแล้วมันไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับองค์หญิงเลย”
ทหารที่สวมหมวกเหล็กให้คำแนะนำหลินเฟิงช้าๆ ขณะมองไปที่เขานิ่งๆ
“จงจำไว้อย่าได้หันกลับไปทางเดิม ทหารของโม่เยว่ไม่ได้ตายทั้งหมดในา อย่างน้อยโม่เจี๋ยก็ยังไม่ตาย รอจนกว่าทหารโม่เยว่จะจากไป และเ้าค่อยกลับไปเสวี่ยเยว่อีกครั้ง สุดท้ายแล้วหวังว่าเ้าจะสามารถฟื้นฟูนิกายหยุนไห่ได้”
กล่าวจบชายผู้นั้นก็หันหัวม้าและควบออกไปทันที กระทั่งร่างเงาของก็เขาค่อยๆ จางหายไป
หลินเฟิงมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายจนลับตาไป ตอนนี้คำพูดของอีกฝ่ายยังคงดังกังวานในหัวของเขาซ้ำไปซ้ำมา
“ฟื้นฟูนิกายหยุนไห่ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง!”
หลินเฟิงพึมพำเสียงเบา เขากำลังนึกถึงคำพูดของอีกฝ่าย มุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว ไร้ความหวั่นเกรงเป็จิตใจที่แน่วแน่ของเขา ในขณะที่หลายคนบางครั้งก็ทำเพื่อชีวิตและมันจำเป็ต้องมีความอดทน อาจเป็ได้ว่าคนนั้นกำลังชี้แนะตัวเอง เพื่อชีวิตแล้วมันต้องมีความอดทน
อีกฝ่ายเป็... คนของนิกายหยุนไห่
ใช่แล้ว อีกฝ่ายจะต้องเป็คนของนิกายหยุนไห่แน่นอน นอกจากนี้คนของนิกายหยุนไห่ส่วนมากจะไปขออาศัยกับลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ ดังนั้นเขาถึงกล้าพูดต่อหน้าเช่นนี้
การโจมตีของเขาแข็งแกร่งอย่างมาก การบ่มเพาะก็อยู่ระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 8 ในหัวของหลินเฟิงตอนนี้พลันปรากฏร่างเงาหนึ่ง เมื่อนานมาแล้วร่างเงานี้เป็อัจฉริยะที่ร้อนแรงที่สุดในนิกายหยุนไห่
“หลิ้งหู... เห่อซาน!”
ชายผู้นั้นจะต้องเป็ศิษย์หลักอันดับหนึ่งของนิกายหยุนไห่แน่นอน ซึ่งนั่นก็คือหลิ้งหูเห่อซาน
“หลินเฟิง าระหว่างสองอาณาจักรในครั้งนี้ มันยังห่างไกลกับที่เ้าจินตนาการไว้มาก ในสายตาของเหล่าผู้ที่อยู่เื้ั ทหารนับแสนนายก็เป็แค่ตัวหมาก เป็มดปลวกที่พร้อมพรีชีพได้ทุกเวลา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของพวกเขา อีกอย่างการที่เ้ามาเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ มันไม่คุ้มกับชีวิตอย่างมาก เพราะเดิมทีแล้วมันไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับองค์หญิงเลย”
หลินเฟิงนึกถึงคำพูดของหลิ้งหูเห่อซานขึ้นมาขณะที่ใจของเขากำลังเต้นระรัว ใช่แล้ว… หลิ้งหูเห่อซานเป็ศิษย์ของลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่และยังอยู่ข้างกายองค์หญิงด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่าทหารที่ปกปิดใบหน้าทั้งสี่นายเมื่อครู่นี้ล้วนเป็คนจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่
คนจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่และผู้คุ้มกันทมิฬก็ร่วมมือกันเพื่อจับตัวองค์หญิง
เหล่าผู้ที่คิดว่าเป็ศัตรูกัน แท้จริงแล้วกำลังร่วมมือกันอย่างลับๆ
ผู้นำของลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่คือต้วนเทียนหลาง ส่วนผู้นำของผู้คุ้มกันทมิฬก็คือโม่เจี๋ย
เมื่อคิดเกี่ยวกับเื่นี้ จู่ๆ หลินเฟิงก็รู้สึกหนาวเหน็บั้แ่หัวจรดเท้า มันหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ กระทั่งหนาวสะท้านไปถึงกระดูก
าในครั้งนี้เป็เหมือนเกมหมากรุก ผลลัพธ์ของมันถูกวางแผนไว้ั้แ่ต้นแล้ว
องค์หญิงถูกจับตัว าภายใน การเสียสละของทหารนับแสนนาย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนทุกกำหนดไว้แล้ว ทุกอย่างในแผนอาจเป็เป้าหมายของใครบางคนที่อยู่เื้ั หรือบางคน้าให้หลินเฟิงตาย ดังนั้นจึงทำให้หลินเฟิงเห็นเหตุการณ์ลักพาตัวองค์หญิงและโยนความผิดให้เขา หรือบางคนก็อยากให้หลิ่วชั่งหลันตาย ดังนั้นแล้วโศกนาฏกรรมของาในครั้งนี้ ทำให้ทหารนับแสนนายต้องสิ้นชีวิตไป
อย่างไรก็ตามหลินเฟิงได้พยายามดิ้นรนในการต่อสู้ แม้เขาจะไม่เต็มใจก็ตาม และการไล่ล่าพันลี้เพื่อตามหาต้วนซินเยี่ยนั้น ทั้งหมดนี้มันคุ้มค่ากับชีวิตแล้วหรือ?
โชคดีที่หลินเฟิงยังไม่ตาย นอกจากนี้ยังสามารถทะลวงขอบเขตการหยั่งรู้ได้อีกขั้น เป็ขอบเขตที่หลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับดาบ นั่นหมายความว่าตอนนี้เขาแข็งแกร่งมากกว่าเมื่อก่อนมาก
หลินเฟิงยังยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ มานานแล้ว จนในที่สุดเขาก็เคลื่อนไหวและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สิ่งที่เขากำลังคิดทั้งหมดล้วนสลายไปหมดแล้ว
หลินเฟิง เพียงแค่มีจิตสำนึกก็ไม่มีอะไรที่จะต้องละอายใจในสิ่งที่ทำลงไป และเพียงแค่ไม่ขัดต่อหัวใจของตนเอง นั่นมันก็เพียงพอแล้ว
แผนการที่ชั่วร้ายนั่น มันทำให้เขาต้องจับดาบไล่ฆ่าและทำลายไปมากโข
บนเส้นทางแห่งนักรบนั้นสามารถทำลายได้ทั้ง์และปฐี ไม่ต้องพูดถึงแผนการที่ชั่วร้ายซึ่งไม่นับว่าเป็อะไรเลย
หลินเฟิงหันไปมองต้วนซินเยี่ยด้วยสายตาเฉยเมยและปราศจากความรู้สึกใดๆ ซึ่งเหมือนกับกำลังมองคนแปลกหน้า
“หลินเฟิง!”
ต้วนซินเยี่ยเห็นสายตาของหลินเฟิงแล้วรู้สึกหนาวเหน็บยิ่งนัก ดวงตาอันว่างเปล่านั้นทำให้ผู้คนที่เห็นยิ่งรู้สึกสงสาร
เมื่อเห็นหลินเฟิงกำลังก้าวห่างออกไป เมื่อเขาก็ขยับมือเล็กน้อย ทันใดนั้นเถาวัลย์ที่มัดตัวต้วนซินเยี่ยก็ถูกตัดออก
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น หลินเฟิงก็หันหลังและเดินจากไปในทันทีโดยไม่เหลี่ยวมองต้วนซินเยี่ยแม้แต่น้อย
ที่แท้นางก็สบายดีมาโดยตลอด คนที่ปลอดภัยมากที่สุดก็คือนาง
แต่เป็เพราะนาง ทหารนับแสนนายถึงต้องสิ้นชีวิตไป ซึ่งหลินเฟิงเองก็เกือบจะถูกฝังอยู่ที่นี่แล้วเช่นกัน
“หลินเฟิง ข้าไม่รู้เื่นี้ด้วย”
ต้วนซินเยี่ยกล่าวเสียงแ่ ตอนนี้ดวงตาของนางชุ่มไปด้วยน้ำตา จริงๆ แล้วนางได้ยินมาจากหลิ้งหูเห่อซาน แน่นอนว่าก็ต้องรู้ทุกอย่างและนางก็รู้ด้วยว่าตอนนี้หลินเฟิงกำลังคิดอะไรอยู่
ต้วนซินเยี่ยเป็ถึงองค์หญิงและมีสถานะสูงศักดิ์ แต่คราวนี้นางกลับมีส่วนสมรู้ร่วมคิด ทำไมนางจะไม่ทราบถึงเื้ั? ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ หลินเฟิงได้เคยถามไปว่าทำไมนางถึงตามมาที่สนามรบ เนื่องจากนางไม่จำเป็ต้องมาสนามรบเพราะสถานที่แห่งนี้ย่อมมีแต่อันตรายรอบด้าน อาจเป็เพราะแผนการชั่วร้ายนี้ หลินเฟิงจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนางถึงมีเหตุผลที่ต้องมาสนามรบด้วย แต่จากสถานการณ์นี้นางก็เข้าใจได้ว่าทำไมหลินเฟิงถึงคิดเช่นนั้น
หลินเฟิงยังคงก้าวเดินต่อไปเช่นนั้นโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเดิน หรือหันกลับมามองแม้แต่น้อย
“หลินเฟิง ข้าไม่รู้จริงๆ”
น้ำตายิ่งเอ่อล้นดวงตาของต้วนซินเยี่ย นางไม่คิดเลยว่าหัวใจของตนเองจะเ็ปขนาดนี้
หากตกหลุมใครไปแล้ว นั่นจึงจะเป็ความเ็ป!
บางทีความรู้สึกนี้อาจเป็ความรัก!