หลังจากนางผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เสร็จก็ล่วงเลยมาหนึ่งชั่วยามแล้ว
ขณะที่อวิ๋นจื่อกำลังเตรียมตัวออกจากตำหนัก ก็ได้ยินเสียงหัวหน้าขันทีดังขึ้น “โจวกุ้ยเฟยเสด็จ” เสียงดังกังวานแต่เนิบช้าราวกับจงใจลากเสียงยาวเพื่อถ่วงเวลาให้คนด้านในได้เตรียมตัว
อวิ๋นจื่อสำรวจตนเองอีกครั้งหน้ากระจกทองแดง เพื่อตรวจดูความเรียบร้อยและความเหมาะสมในฐานะองค์หญิงใหญ่
เมื่อเห็นมีดบนโต๊ะเครื่องแป้ง อวิ๋นจื่อก็คิดแผนการบางอย่างขึ้นมาได้
นางยิ้มอย่างสดใสและกล่าวว่า “โจวกุ้ยเฟยเสด็จมาถึงนี่เชียว” ขณะที่กล่าวนางก็ลุกขึ้นอย่างกะทันหันราวกับจะรีบเร่งออกไป
แคว่ก!
นางเพียงสะบัดชายเสื้อเบาๆ เท่านั้น แต่ปลายแหลมของมีดได้เกี่ยวเข้ากับผ้าไหมที่บางอยู่แล้ว จึงทำให้ผ้าขาดออกจากกัน ในห้องด้านในที่เงียบสงบ เสียงฉีกขาดของผ้าย่อมดังเป็พิเศษ
แววตาของอวิ๋นจื่อเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางกล่าวว่า “อะไรกัน เหตุใดพวกเ้าถึงเอาของมีคมเช่นนี้มาไว้ในตำหนักข้า!”
ทันทีที่นางกล่าวจนจบ นางกำนัลก็คุกเข่าลงรอรับโทษ
นางขมวดคิ้วมองไปที่ชายเสื้อ แล้วกล่าวว่า “ข้าควรทำอย่างไรดี? อาภรณ์ของข้าขาดหมดแล้ว”
ไม่นานนักก็มีเสียงดังมาถึงห้องโถงด้านใน
“อาจื่อ เ้าถึงกับส่งคนไปแจ้งเปิ่นกงถึงตำหนักเชียวหรือ? ่นี้มีหลายสิ่งหลายอย่างต้องจัดการ จึงไม่ได้มาเยี่ยมเ้าเสียหลายวัน”
จากนั้นอวิ๋นจื่อก็ออกมาจากห้องโถงด้านใน โดยมีเหล่านางกำนัลและสาวใช้เดินเรียงตามนางมาทีละคน
อวิ๋นจื่อคำนับโจวกุ้ยเฟยที่จ้องมองนางอย่างจับผิด และกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยว่า “อวิ๋นจื่อคำนับโจวกุ้ยเฟย ราชกิจในวังหลังก็ยุ่งยากมากแล้ว เหตุใดยังต้องลำบากเสด็จมาที่ตำหนักเหวินฮวาด้วยตัวเองอีกเล่าเพคะ? อาจื่อเกรงใจจริงๆ ”
โจวกุ้ยเฟยนั่งลงบนที่นั่งหลักในห้องโถงใหญ่และกล่าวด้วยสีหน้าโศกเศร้า “ห้าปีแล้วสินะ เวลาช่างผ่านไปเร็วจริงๆ ข้ารู้สึกราวกับว่าเสด็จพี่ฮองเฮาเพิ่งจากเราไปเมื่อวานนี้เอง อาจื่อเ้าก็มีหัวใจเช่นเดียวกับเปิ่นกง เ้าย่อมระลึกถึงฮองเฮาอยู่ตลอดแน่”
อวิ๋นจื่อยิ้ม “เพคะกุ้ยเฟย ข้ายังรู้สึกอยู่เสมอว่าเสด็จแม่เพิ่งจากไปเมื่อวานนี้ แต่อันที่จริงเวลาผ่านมากว่าห้าปีแล้ว ครั้งนั้นอาจื่อยังเด็กมาก” อวิ๋นจื่อกล่าวอย่างเศร้าสร้อย โจวกุ้ยเฟยนั่งฟังนิ่งๆ คิ้วของนางโก่งขึ้น ส่วมริมฝีปากก็คลี่ยิ้มกว้าง อวิ๋นจื่อกล่าวต่อว่า “ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ต้องขอบพระทัยโจวกุ้ยเฟยที่คอยดูแล ไม่เช่นนั้นอาจื่อกับน้องชายคงได้ตามเสด็จแม่ไปนานแล้ว”
โจวกุ้ยเฟยเอ่ยขัดด้วยรอยยิ้ม “อย่าพูดเื่ไร้สาระ! วันนี้เป็วันดีของเ้า เ้าต้องมีความสุข จริงสิอาจื่อ เมื่อวานนี้ฝ่าาพูดถึงเสนาบดีฝ่ายซ้าย เปิ่นกงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าบุตรชายคนโตของโจวเซียงนามว่าโจวหนานก็มีศักดิ์เป็หลานชายของเปิ่นกงเช่นกัน บุคลิกและรูปลักษณ์ของเขาล้วนเป็หนึ่งในเมืองอวิ๋นเมิ่ง ดูแล้วอายุก็น่าจะไล่เลี่ยกับเ้า”
‘หึ อยากไล่ข้าออกจากวังขนาดนี้เชียวหรือ?’
‘คิดว่าจะจัดการกับอาเหิงได้ง่ายๆ สินะ’
‘คิดจะเอาหลานชายตนเองมาผูกสัมพันธ์กับข้าและเอาชางอู๋หลิงของข้าไปหรือ?’
‘หลังจากวางแผนชั่วมานานกว่าสิบปี ในที่สุดก็ล้มมารดาของข้าได้ จะรออีกห้าปีไม่ได้เชียวหรือ?’
หัวใจของอวิ๋นจื่อปั่นป่วนราวกับพายุ แต่ใบหน้าของนางยังคงเผยรอยยิ้มอ่อนโยน นางแสดงท่าทีเขินอายแบบหญิงสาวและกล่าวด้วยเสียงแ่เบาว่า “กุ้ยเฟย ข้ายังไม่เข้าพิธีปักปิ่นเลยเพคะ”
โจวกุ้ยเฟยกะพริบตาเล็กน้อยแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เปิ่นกงแค่บอกเ้าไว้ก่อน ถ้าเ้าเห็นด้วย จะได้เริ่มจัดการขอราชโองการสมรส”
อวิ๋นจื่อกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “โจวกุ้ยเฟย ท่านสั่งสอนข้ามาตลอดว่าให้เชื่อฟังคำสั่งของบิดามารดาและคำชักนำของแม่สื่อ ท่าน้าให้ข้าทบทวนคำสอนเหล่านี้อีกหรือไม่ อ๊ะ! ข้าลืมบอกไปเมื่อสักครู่ข้าเผลอทำชายผ้าขาดเสียแล้ว จะทำอย่างไรดีเพคะ?”
แม้ว่าอวิ๋นจื่อจะพูดเร็วมาก แต่นางก็ไม่มีท่าทีตื่นตระหนกเลย ตรงกันข้ามนางกลับดูบอบบางและน่าสงสาร
โจวกุ้ยเฟยหรี่ตา ‘เ้าคิดจะมาไม้ไหนอีก? คิดว่าข้าไม่รู้จักเ้าดีหรือ?’ สีหน้าของนางดูเป็ทุกข์ไม่น้อย นางหันไปหานางกำนัลข้างกายและกล่าวว่า “ฝูฮุ่ย เ้าไปที่ตำหนักซางแล้วดูว่ามีชุดที่เหมาะสมกับองค์หญิงใหญ่หรือไม่”
ฝูฮุ่ยคำนับและจากไปทันที
จากนั้นอวิ๋นจื่อก็กล่าวว่า “ขอบพระทัยเพคะกุ้ยเฟย”
โจวกุ้ยเฟยพูดด้วยรอยยิ้มแข็งๆ “เ้าอย่าได้มากพิธี พวกเราคือครอบครัวเดียวกัน”
อวิ๋นจื่อยิ้มและพยักหน้า
โจวกุ้ยเฟยกล่าวว่า “เอาล่ะ ถ้าเ้า้าสิ่งใด เพียงส่งคนไปแจ้งที่ตำหนักเฉียนหยวน เปิ่นกงจะไปเตรียมการก่อน เ้าก็ควรเตรียมตัวให้พร้อมเช่นกัน”
อวิ๋นจื่อทำความเคารพและออกไปส่งโจวกุ้ยเฟยที่หน้าตำหนัก
นางมองไปยังชาร้อนที่ยังมีไอน้ำลอยอ้อยอิ่งอยู่ในกา และเรียกออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า “จินเหนียง”
หลังจากเรียกหา นางก็นึกขึ้นได้ว่าจินเหนียงออกจากวังไปแล้ว นางจึงรีบเปลี่ยนท่าที
นางกำนัลที่ถูกส่งมาจากตำหนักของโจวกุ้ยเฟยถามว่านาง้าสิ่งใดหรือไม่ แต่นางไม่ได้กล่าวอะไร
หลังจากนั่งรอราวสองชั่วยามเศษก็มีคนมาเอาชุดใหม่มาให้ ทันทีที่นางแต่งตัวเสร็จ นางกำนัลของโจวกุ้ยเฟยก็เข้ามา
อวิ๋นจื่อที่ถูกล้อมรอบด้วยนางกำนัลเดินออกจากตำหนักเหวินฮวา
เมื่อเดินออกมาแล้ว อวิ๋นจื่อชะลอความเร็วลงเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปมองที่ตำหนักเหวินฮวาอีกครั้ง
‘ตำหนักเหวินฮวา! ที่แห่งนี้เป็สถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำครั้งแรกของข้า’
‘ข้าร้องไห้ครั้งแรกที่นี่ หัดเขียนอักษรครั้งแรกที่นี่ เขียนบทกวีให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ทอดพระเนตรครั้งแรกที่นี่ ปักถุงหอมถวายเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ครั้งแรกที่นี่ เรียนรู้การทำเกี๊ยวครั้งแรกที่นี่…’
ในที่สุดความทรงจำครั้งแรกและความสุขมากมายก็จางหายไป
นางต้องไปจากตำหนักที่อาศัยอยู่มาสิบห้าปี โดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้หวนคืน
เมื่อห้าปีที่แล้วครั้งที่เสด็จแม่จากไป ความมีชีวิตชีวา รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ เสียงท่องบทกวียามซวี[1] และความสุขในตำหนักเหวินฮวาก็จากไปพร้อมกับพระองค์
นางยังเด็กเกินไป อย่างไรก็ไม่อาจต่อกรกับโจวกุ้ยเฟยได้
เดิมทีนางเต็มไปด้วยความเศร้าโศก แต่นางจดจำ่เวลาแห่งความสุขที่เลือนหายไปแล้วได้ รอยยิ้มอ่อนโยนจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง
ด้วยเหตุผลบางอย่าง นางจำบทกวีดังกล่าวได้ นั่นเป็บทกวีที่เสด็จแม่เป็คนสอน
‘หลังจากนั้นไม่นาน เสด็จแม่ของข้าก็ถูกโจวกุ้ยเฟยใส่ร้ายและสิ้นพระชนม์’
แม้กระทั่งการสอบสวนอย่างเข้มงวดของฝ่าาก็ไม่พบหลักฐานที่ชี้ว่านางเป็ตัวการ
‘ก่อนที่เสด็จแม่จะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงตรัสกับข้าว่าให้ระวังโจวกุ้ยเฟย’
แต่เมื่อเสด็จแม่สิ้นพระชนม์ก็ไม่พบหลักฐานว่าพระองค์ถูกใส่ร้ายแต่อย่างใด
‘เสด็จแม่’
‘อาจื่อโตแล้ว’
‘อาจื่อจะเติบโตอย่างสงบสุข’
‘อาจื่อจะดูแลอาเหิงอย่างดี’
‘เสด็จแม่ไม่ต้องกังวล’
อวิ๋นจื่อพยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำให้คลื่นอารมณ์ที่ปั่นป่วนภายในใจสงบนิ่งลง นางหันหลังกลับช้าๆ และเดินไปที่ตำหนักซีชุย หลังจากเข้าไปในตำหนักอวิ๋นจื่อก็เห็นโจวกุ้ยเฟยผู้งดงามนั่งอยู่บนที่นั่งหลักในห้องโถงใหญ่ พูดคุยกับเหล่าสนมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ดวงตาของอวิ๋นจื่อพร่ามัวลงทันที
นั่นเป็ตำแหน่งของฮองเฮา!
เสียงของขันทีดังขึ้น
“องค์หญิงใหญ่เสด็จ”
อวิ๋นจื่อรีบเดินไปหาโจวกุ้ยเฟยและคำนับ
โจวกุ้ยเฟยยิ้ม นางยืนขึ้นและช่วยพยุงอวิ๋นจื่อให้ลุกขึ้น ในสายตาของคนภายนอกช่างเหมือนมารดาผู้โอบอ้อมอารีต่อบุตรสาว
ห้าปีผ่านไป อวิ๋นจื่อเกรงว่ามีเพียงไม่กี่คนที่จดจำเสด็จแม่ของนางได้
เมื่อยืนอย่างมั่นคงแล้วรอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้าของอวิ๋นจื่อ
สตรีในวังหลังนั้นสำคัญที่สุดคือต้องสำรวมอยู่ตลอดเวลา
โจวกุ้ยเฟยย่อมเป็ผู้ที่เก่งกาจที่สุดเสมอ แม้ว่าจะยังไม่มีการสถาปนาฮองเฮาองค์ใหม่ก็ตาม
แม้โจวกุ้ยเฟยจะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งหวงกุ้ยเฟย แต่ใครเล่าจะไม่มองว่าโจวกุ้ยเฟยมีอำนาจเทียบเท่าฮองเฮา? แม้แต่นางกับน้องชายยังต้องเคารพสตรีผู้นี้
เมื่ออวิ๋นจื่อมองไปยังท่าทีนอบน้อมเกรงอกเกรงใจที่เหล่าสนมมีต่อโจวกุ้ยเฟย ในใจนางก็รู้สึกรังเกียจ
แต่นางไม่มีทางเลือก
ห้าปีแล้ว มีเื่ใดอีกที่นางยังทนไม่ได้?
ไม่แน่ว่าหลังจากวันนี้ไป นางจะไม่ใช่องค์หญิงใหญ่ในตำหนักเหวินฮวาที่ต้องตกอยู่ในกำมือของโจวกุ้ยเฟยอีกต่อไปแล้ว
ไม่แน่ว่าอาจมีเื่ที่คาดเดาไม่ได้และมันอาจเป็เื่ที่ต้องแลกมาด้วยชีวิต
ถึงแม้โจวกุ้ยเฟยจะประทานเครื่องเสวยหรือวางยาพิษองค์หญิงใหญ่หลายต่อหลายครั้ง นางกลับไม่กลัวผู้อื่นจะมองว่าการตายขององค์หญิงใหญ่เป็ความผิดใหญ่หลวง ถึงกระนั้นนางก็ได้ตระเตรียมคนที่จะรับผิดแทนนางแล้ว และยังได้ตระเตรียมข้อแก้ตัวที่สมบูรณ์แบบเอาไว้ด้วย
สิ่งที่โจวกุ้ยเฟย้าคือตำแหน่งฮองเฮา ส่วนอวิ๋นจื่อกับน้องชายของนางถือเป็อุปสรรค์ที่ใหญ่ที่สุด
เมื่อนึกเื่นี้อวิ๋นจื่อก็ยิ่งรู้สึกเ็ป
อย่างไรก็ตาม สตรีผู้มีเจตนาไม่ดีนี้กลับงดงามจนได้รับความโปรดปรานจากเสด็จพ่อ
อวิ๋นจื่อแทบจะยืนตรงไม่ไหว จึงยื่นมือออกไปจับสาวใช้ข้างๆ และสาวใช้ก็ช่วยประคองนางให้ยืนอย่างมั่นคง
ใบหน้าของนางยังคงผุดรอยยิ้มที่ไร้เดียงสา
คนที่นางต้องคำนับในพิธีปักปิ่นคือหวงกูกู[2]หญิงชราแห่งตำหนักหนานกงในเมืองจางปิน ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลฮั่ว ฮูหยินผู้เฒ่าเซียง และเย่ฮูหยิน ทุกท่านล้วนแต่เป็ที่นับหน้าถือตาในวังหลวง และส่วนใหญ่ได้รับการยอมรับจากอวิ๋นจื่อ
…
เสียงเพลงดังขึ้นพร้อมกับเสียงของหวงกูกู
แม้นางจะคุ้นเคยกับกระบวนการทั้งหมดเป็อย่างดี แต่วันนี้อวิ๋นจื่อกลับดูกระสับกระส่ายและไม่ได้ฟังจังหวะดนตรีเลย เมื่อได้ยินเสียงของหวงกูกูอีกครั้ง อวิ๋นจื่อก็พยายามทำจิตใจให้สงบ และตั้งใจทำพิธีขั้นต้นให้เสร็จตามธรรมเนียม
“ฝ่าาเสด็จ”
หวงกูกูยังคงกล่าวอวยพรต่อ
อวิ๋นจื่อไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายพูดอะไร เพราะตอนนี้นางรู้สึกชาไปถึงข้างใน
คำนับครั้งที่หนึ่ง คำนับครั้งที่สอง คำนับครั้งที่สาม จากนั้นเทสุราดอกท้อ ยกจอกและปักปิ่น
เป็เพราะฝ่าาอยู่ที่นี่ โจวกุ้ยเฟยจึงให้ความร่วมมือเป็อย่างดีและไม่ได้สร้างความลำบากให้อวิ๋นจื่อ
อวิ๋นจื่อถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก หลังจากผ่านสิบสี่ขั้นตอนนี้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการรับคำอวยพร
เวลาผ่านไปอย่างน้อยสองชั่วยาม และหากไม่มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น จินเหนียงน่าจะกำลังเดินทางไปเมืองหยงโจว
พิธีนี้จะใช้เวลาประมาณสี่ชั่วยาม และเมื่อถึงเวลานั้นอาเหิงก็จะไปถึงเมืองหยงโจวแล้ว
เื่นี้ทำให้อวิ๋นจื่อรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย
โจวกุ้ยเฟยกำลังมองมาที่นาง
อวิ๋นจื่อหันกลับมามองและสบตาโจวกุ้ยเฟย
โจวกุ้ยเฟยเบนสายตาออกไป ใช่แล้ว นางเองก็เกลียดเด็กคนนี้เช่นกัน! แม้แต่ฮองเฮายังพ่ายแพ้ต่อนาง ทว่านังเด็กนี่กลับรู้ทันแผนการของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า ‘เ้าเก่งจริงหรือ? เหตุใดเ้าถึงไม่รู้ว่าข้าเป็คนที่สังหารมารดาของเ้าในครานั้น? ถ้าข้ามีลูกสาวที่ฉลาดและรู้ความแบบนี้ก็คงจะดี’
‘อวิ๋นจื่ออายุครบสิบห้าปีแล้ว ยิ่งโตนางก็ยิ่งเหมือนมารดาของนางมากขึ้นเรื่อยๆ นางจึงไม่ควรอยู่ขวางหูขวางตาข้าที่นี่’
‘หลังจากวันนี้จะไม่มีองค์หญิงใหญ่แห่งตำหนักเหวินฮวาอีกต่อไป’
เมื่อโจวกุ้ยเฟยคิดถึงเื่นี้ สายตาของนางก็อ่อนโยนลงเรื่อยๆ ภายนอกดูเหมือนมารดาที่รักและปรารถนาดีต่อบุตรสาวเต็มหัวใจ
อวิ๋นจื่อรู้สึกคลื่นไส้จนท้องไส้ปั่นป่วน
แต่ต่อหน้าคนมากมายจะอึดอัดเพียงใดก็ต้องอดทน
ฮ่องเต้ตรัสด้วยรอยยิ้มว่า “อาจื่อ เ้าโตแล้ว”
อวิ๋นจื่อยิ้มให้เสด็จพ่อของนาง “เสด็จพ่อเพคะ พิธียังไม่เสร็จเลย”
ฮ่องเต้จ้องมององค์หญิงด้วยรอยยิ้มจางๆ และตรัสว่า “ไม่เป็ไร อาจื่อ เ้าดื่มชาก่อนแล้วค่อยทำพิธีต่อ”
อวิ๋นจื่อยิ้มและกล่าวว่า “เสด็จพ่อ อาจื่อจะต้องปฏิบัติตามกฎ”
เมื่อเห็นอวิ๋นจื่อยืนกราน ฮ่องเต้ก็ไม่ซักไซ้ให้นางดื่มชาอีก
ทันใดนั้นเสียงกล่าวอวยพรและเสียงสรรเสริญก็ดังก้องขึ้น
------------------------
[1] ยามซวี คือ เวลา 19.00 – 20.59 น.
[2] หวงกูกู มีศักดิ์เป็น้องสาวของฮ่องเต้องค์ก่อน เป็อาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน