ยามเช้าตรู่ บนเส้นทางหลักมีเสียงเกือกม้าเหยียบย่ำลงบนพื้นอย่างสม่ำเสมอ บรรยากาศ่ปลายฤดูใบไม้ร่วงของเมืองหลวงอันรุ่งเรืองเต็มไปด้วยกลิ่นอายความเหี่ยวเฉาที่มิอาจเลี่ยง สองข้างทางมีต้นไม้เรียงกันเป็ทิวแถว ใบไม้ที่กลายเป็สีเหลืองร่วงหล่นส่งเสียงกรอบแกรบช่างขัดกับความรุ่งเรืองของเมืองหลวงนัก
เดิมทีต้นไม้เหล่านี้ไม่ได้รับอนุญาตให้ปลูกตามเส้นทางหลัก เพราะมันบดบังความหรูหราของรถม้าที่เหล่าขุนนางชั้นสูงใช้โดยสาร แถมขุนนางเ่าั้ยังคาดหวังให้ถนนยิ่งกว้างขวางยิ่งดี อย่างไรก็ตาม มีข่าวลือว่าฮองเฮาชื่นชอบต้นไม้เหล่านี้ ฮ่องเต้จึงรับสั่งให้ปลูกพวกมันไว้ทั่วตามเส้นทางหลัก
เมื่อโอรส์แสดงท่าทีอย่างชัดเจน ขุนนางคนใดจะกล้าไม่ปฏิบัติตาม หลังจากนั้นต้นไม้สองฝั่งถนนจึงกลายเป็ภูมิทัศน์ที่คุ้นตาในเมืองอวิ๋นเมิ่งไปโดยปริยาย
เส้นทางหลักรูปเกือกม้านี้คือถนนที่นำไปสู่ประตูพระราชวัง เสียงเกือกม้าค่อยๆ หายเข้าไปในนั้น
ภายในรั้ววังหลวงวันนี้ ทุกแห่งต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเหมือนงานรื่นเริงในวันส่งท้ายปีเก่า แต่ยังเหลืออีกหลายวันกว่าจะถึงวันส่งท้ายปีเก่า
ที่เป็เช่นนี้ก็เพราะความโปรดปรานที่ฮ่องเต้มีต่อองค์หญิงใหญ่ วันนี้เป็พิธีปักปิ่นของนาง ฮ่องเต้จึงสั่งให้ประดับประดาโคมไฟทั่ววังหลวง
ตลาดเช้าคึกคักขึ้นเรื่อยๆ หญิงชุดเขียวนางหนึ่งกำลังเดินอย่างเร่งรีบโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด อาภรณ์ของนางแตกต่างจากชาวบ้านคนอื่นๆ ในเมืองหลวงอย่างชัดเจน
ทันใดนั้นเสียงชายวัยกลางคนก็ดังขึ้น
“วันนี้ตลาดเช้าจะปิดเร็วกว่าปกติ! ปิดตลาดก่อนกำหนด!”
พ่อค้าบางคนรวบรวมความกล้าสอบถามเหตุผลจากชายคนนั้น
ชายวัยกลางคนยิ้มและกล่าวว่า “วันนี้เป็วันมงคลขององค์หญิงใหญ่ แม้แต่ฝ่าาก็ยังให้เหล่าขุนนางหยุด พวกเ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ ขอให้ทุกคนมีความสุข!”
เหล่าพ่อค้าแม่ค้าต่างเข้าใจและเริ่มเก็บข้าวเก็บของ
ฝีเท้าของหญิงชุดเขียวหยุดลงอย่างกะทันหันจนทำให้คนที่เดินตามหลังมาเกือบจะล้มลง ไม่นานก็มีเสียงก่นด่าดังขึ้น แต่หญิงสาวไม่ได้สนใจแต่อย่างใด นางเดินตรงไปยังชายวัยกลางคนและถามว่า “ข้าขอบังอาจถามว่าท่านจะไปเข้าร่วมพิธีหรือไม่?”
หญิงสาวคนนั้นดูเ็าและน้ำเสียงของนางก็ไม่เป็มิตรเอาเสียเลย ชายวัยกลางคนรู้สึกไม่พอใจมาก แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่งดงามของหญิงสาวเขาก็ถามด้วยท่าทีเขินอายว่า “แม่นางอยากไปเข้าร่วมพิธีหรือ?”
หญิงชุดเขียวกล่าวอย่างเ็า “โปรดตอบคำถามของข้า”
ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม่นางคงไม่ใช่คนในเมืองหลวงกระมัง? ลำพังพิธีปักปิ่นของหญิงสาวที่มาจากตระกูลร่ำรวยก็ไม่มีธรรมเนียมให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าร่วมพิธี นับประสาอะไรกับองค์หญิงใหญ่ซึ่งเป็ที่โปรดปรานของฝ่าาเล่า?”
หญิงชุดเขียวรู้สึกหดหู่เล็กน้อยเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น นางหันหลังเดินออกจากตลาดไปอย่างไม่ไยดี
ทุกคนในตลาดกำลังวุ่นวายอยู่กับเื่ของตัวเองจึงไม่มีใครสนใจหญิงชุดเขียว
‘สิบห้าปีผ่านไป ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเป็ถึงองค์หญิงใหญ่ คำทำนายจะเป็จริงหรือไม่? เกรงว่าข้าอาจไม่ได้กลับไปอีกแล้ว’
ท่ามกลางเงาของบุปผาในส่วนลึกของวังหลวง จู่ๆ ชายหนุ่มที่แต่งกายคล้ายขันทีรับใช้ก็ปรากฏตัวขึ้น ชายหนุ่มค่อนข้างคุ้นเคยกับเส้นทาง ดังนั้นเขาจึงไปถึงตำหนักที่งดงามในเวลาอันรวดเร็ว
ความงดงามโอ่อ่าของตำหนักแสดงให้เห็นถึงตัวตนที่ไม่ธรรมดาของเ้าของสถานที่ ชายหนุ่มเคาะประตูสองสามครั้ง ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีใครบางคนมาเปิดประตู
“รีบพาข้าไปเข้าเฝ้าองค์หญิง ข้ามีเื่ด่วนต้องรายงานพระองค์” ชายหนุ่มกระซิบ
คนที่เปิดประตูก็เป็ขันทีหนุ่มเช่นกัน สีหน้าของเขาดูลังเล เขากล่าวอย่างแ่เบาว่า “วันนี้เป็วันปักปิ่นขององค์หญิง เ้าคิดว่าตำหนักเหวินฮวาเป็สถานที่เช่นไรกัน?”
ชายหนุ่มผู้นั้นกล่าวเสียงทุ้ม “โปรดทูลองค์หญิงว่าข้าเป็คนของตระกูลมู่แห่งเมืองหยงโจว องค์หญิงจะให้ข้าเข้าเฝ้าหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับพระองค์”
ขันทีน้อยเห็นว่าชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้าง เขาจึงกระซิบอย่างแ่เบา “รอที่นี่ก่อน”
ในห้องโถงด้านใน เหล่านางกำนัลกำลังช่วยหญิงสาวผู้งามสง่าแต่งองค์ทรงเครื่องอยู่ เมื่อได้ยินขันทีน้อยกล่าวถึงตระกูลมู่ในหยงโจว สีหน้าของหญิงสาวผู้นั้นก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอันลุ่มลึกว่า
“ให้เขาเข้ามา”
ขันทีน้อยน้อมรับคำสั่งและเดินออกไปอย่างเชื่อฟัง
จากนั้นหญิงสาวก็กล่าวกับนางกำนัลที่ยืนอยู่ข้างๆ ว่า “จินเหนียงเ้าอยู่ก่อน ส่วนคนอื่นออกไปให้หมด”
ไม่นานห้องโถงด้านในก็เหลือเพียงสองนายบ่าว หญิงสาวผู้งดงามพึมพำเบาๆ “ผ่านมาสิบห้าปีแล้วจินเหนียง ในที่สุดคำทำนายนั่นก็เป็จริง”
นางกำนัลวัยกลางคนที่มีนามว่าจินเหนียงกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “องค์หญิงพักผ่อนสักหน่อยเถิดเพคะ หลังจากนี้ไม่ทราบว่าองค์หญิงวางแผนไว้อย่างไร?” จินเหนียงกล่าวพร้อมกับมองไปที่องค์หญิงของนาง
คิ้วคมและเฉียงขึ้นเล็กน้อย เส้นผมสีดำขลับเงางาม กิริยาท่าทางแตกต่างจากองค์หญิงคนอื่นๆ ที่ถูกเลี้ยงดูมาด้วยความรักและปราศจากความวุ่นวายทางโลก องค์หญิงของนางนั้นมีกลิ่นอายที่สูงส่งและความสง่างามตามธรรมชาติจนทำให้ผู้คนยากที่จะละสายตาไปได้
จินเหนียงจำคำทำนายเมื่อสิบห้าปีก่อนได้ดี และเื่นี้ก็ทำให้นางเกิดความหวาดกลัวเป็อย่างมาก ถ้าคำทำนายเป็จริงองค์หญิงของนางจะทำอย่างไร? นางไม่กล้าคิดถึงเื่ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้
ห้องโถงด้านในยังคงเงียบสงบ
เมื่อชายหนุ่มเดินเข้ามา เสียงกรอบแกรบของม่านม้วนก็ดึงจินเหนียงออกจากความคิดของตน
หลังจากชายหนุ่มมองเห็นหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า เขาก็แสดงความเคารพอย่างนอบน้อม
“มู่ชิงซ่งแห่งตระกูลมู่ถวายพระพรองค์หญิงใหญ่”
องค์หญิงจ้องมองผู้มาเยือนด้วยใบหน้าสงบนิ่งและกล่าวอย่างใจเย็น “ไม่ต้องมากพิธี เชิญนั่ง จินเหนียงไปยกน้ำชาเข้ามา”
ชายหนุ่มนั่งลงอย่างสงบเสงี่ยม เมื่อเห็นจินเหนียงจากไปเขาก็กล่าวว่า “องค์หญิง ท่านประมุขมาถึงเมืองหลวงแล้ว นับแต่นี้ตระกูลมู่จะอยู่ภายใต้การสั่งการขององค์หญิงเพียงผู้เดียว”
เมื่อองค์หญิงได้ยินเช่นนี้ นางก็คิดว่าชายหนุ่มน่าจะเป็ทายาทสายตรงของตระกูลมู่ ดังนั้นนางจึงยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “ในเมื่อคุณชายมู่มาถึงที่นี่แล้วแสดงว่าเ้าต้องมีเื่สำคัญที่จะบอกกับข้า”
แววตาของมู่ชิงซ่งมืดลง เขากล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “องค์หญิง ข้าเกรงว่าชางอู๋หลิงจะทรยศแล้ว”
แม้แต่องค์หญิงผู้สูงส่งและยิ่งใหญ่ก็อดไม่ได้ที่จะเสียกิริยาเล็กน้อย แววตาของนางไหววูบก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้สั่นน้อยที่สุด “เหตุใดคุณชายจึงกล่าวเช่นนั้น?”
ชางอู๋หลิงเป็กองกำลังลับที่เสด็จพ่อมอบให้ในวันเกิดปีที่ห้าและเติบโตร่วมกันกับนางมาตลอดสิบปี คนเหล่านี้เสด็จพ่อล้วนคัดสรรมาอย่างดีแล้วว่าจะจงรักภักดีต่อนางอย่างแท้จริง
เมื่อได้ยินว่าชางอู๋หลิงทรยศ นางย่อมไม่เชื่ออย่างแน่นอน
มู่ชิงซ่งไม่ได้ให้คำอธิบายใดๆ เขาเพียงยื่นกระดาษให้หญิงสาวแล้วกล่าวว่า “นี่คือจดหมายการติดต่อระหว่างผู้บัญชาการฉางเหอและโจวกุ้ยเฟย”
หญิงสาวรับจดหมายมา กวาดตามองคร่าวๆ แล้วกล่าวว่า “คุณชาย หากมีเวลาว่างอย่าลืมแวะมาที่ตำหนักเหวินฮวา”
มู่ชิงซ่งกล่าวเบาๆ “ตามพระประสงค์ขององค์หญิง”
หญิงสาวแสร้งทำเป็ใจเย็นและกล่าวว่า “คุณชายไม่ต้องกังวล ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร โปรดจำไว้ข้าชื่ออวิ๋นจื่อ จื่อที่มาจากปี้จื่อ[1]”
แววตาของมู่ชิงซ่งพลันลุ่มลึก เขาพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะขอตัวลา
เมื่อจินเหนียงเข้ามาในห้องโถงด้านใน องค์หญิงที่นั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเก้าอี้ก็ถามเบาๆ ว่า “จินเหนียง ครั้งสุดท้ายที่โจวกุ้ยเฟยเสด็จมาตำหนักเหวินฮวา ผ่านมานานแค่ไหนแล้ว?”
จินเหนียงกระซิบ “สามเดือนแล้วเพคะ”
หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่งและกล่าวว่า “ั้แ่ที่เสด็จแม่จากไปเมื่อห้าปีก่อน ข้าก็รู้อยู่แล้วว่าวันนี้จะต้องมาถึงไม่ช้าก็เร็ว แต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วเช่นนี้"
จินเหนียงก้มหน้าไม่พูดไม่จา
หญิงสาวกล่าวเบาๆ “จินเหนียง เ้าลอบติดต่อกับตระกูลมู่ หาทางพาอวิ๋นเหิงออกไป ข้าจะตามไปสมทบกับพวกเ้าที่เมืองหยงโจวในภายหลัง”
“องค์หญิง!” จินเหนียงอุทานอย่างเสียกิริยา
เมื่อเห็นว่าจินเหนียงกำลังจะคุกเข่าลง หญิงสาวจึงหยุดนางไว้ “จินเหนียง หลังจากวันนี้ตำหนักเหวินฮวาแห่งเมืองอวิ๋นเมิ่งถือว่าจบสิ้นแล้ว”
‘เวลาสามสิบปีในเมืองอวิ๋นเมิ่งต้องจบลงเช่นนี้หรือ? หญิงชุดเขียวจะยังอยู่ที่เมืองหยงโจวหรือไม่?’
ในใจของจินเหนียงอัดแน่นไปด้วยความกังวล ไม่นานขอบตาของนางก็เปลี่ยนเป็แดงก่ำ
หญิงสาวเหลือบมองนางแล้วกล่าวอย่างอบอุ่น “จินเหนียงอย่าร้องไห้ ฟังข้าให้ดี ตอนนี้เ้าต้องออกจากตำหนักเหวินฮวาและหาทางติดต่อกับประมุขตระกูลมู่ จากนั้นให้ไปที่ตำหนักบูรพาและพาอวิ๋นเหิงออกจากวังหลวงไปก่อน อีกสองชั่วยามข้าต้องไปเข้าพิธีปักปิ่น หากเ้าไปถึงเมืองหยงโจวอย่างปลอดภัยให้หาทางส่งข่าวถึงประมุขตระกูลมู่ ส่วนข้าจะไปถึงเมืองหยงโจวในวันพรุ่งนี้ จินเหนียง เ้าจำไว้ว่าต้องเชื่อฟังประมุขตระกูลมู่”
จินเหนียงพยักหน้า
หญิงสาวเรียกเหล่านางกำนัลเข้ามา จากนั้นก็กล่าวอย่างจริงจังว่า “จินเหนียง เ้าไปตำหนักของกุ้ยเฟย แจ้งว่าข้าจะไปช้านิดหน่อย”
จินเหนียงรับคำและจากไปทันที
จากนั้นหญิงสาวก็สั่งให้เหล่านางกำนัลแต่งหน้าให้นาง
ในที่สุดตำหนักเหวินฮวาที่เงียบสงบก็กลับมาวุ่นวายอีกครั้ง
ใบหน้าของหญิงสาวสงบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
หลังจากนั้นไม่นานก็มีนางกำนัลเข้ามารายงานว่า แม่นมฮุ่ยจากตำหนักเฉียนหยวนได้ส่งคนมาเร่งแล้ว
หญิงสาวตอบอย่างเกียจคร้านว่า “เข้าใจแล้ว”
นี่เป็ครั้งแรกที่หญิงสาวถนอมคำพูดราวกับกลัวดอกพิกุลจะร่วง เื่นี้ทำให้นางกำนัลรอบตัวเกิดความแปลกใจเป็อย่างมาก
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนรอบตัว หญิงสาวก็กล่าวอย่างจริงจังว่า “ฝากแม่นมฮุ่ยแจ้งโจวกุ้ยเฟยด้วยว่าวันนี้ข้าตื่นแต่เช้าเพราะไปเคารพหลุมศพเสด็จแม่ ด้วยเหตุนี้จึงล่าช้าไปสักนิด ขอโจวกุ้ยเฟยโปรดให้อภัยไม่คิดเล็กคิดน้อย”
นางกำนัลออกไปแจ้งข่าวอย่างรวดเร็ว
นางกำนัลเหล่านี้ล้วนถูกโจวกุ้ยเฟยส่งมาช่วยงานในตำหนักเหวินฮวาชั่วคราว พวกนางไม่คุ้นเคยกับอุปนิสัยขององค์หญิงใหญ่มากนัก ดังนั้นทุกคนจึงค่อนข้างสงบปากสงบคำ ไม่กล้าพูดมาก
นางกำนัลคนหนึ่งถามอย่างแ่เบาว่า “องค์หญิง้าเกล้ามวยผมแบบไหนเพคะ?”
หญิงสาวฟังจบ ก็กล่าวอย่างเ็า “ตบปาก!”
นางกำนัลที่ถามคำถามคุกเข่าดังตึง “องค์หญิงโปรดระงับโทสะ”
หญิงสาวตวาดกร้าว “เ้ารู้ความผิดของตัวเองหรือไม่?”
นางกำนัลคนนี้อาศัยว่าตนเป็คนของโจวกุ้ยเฟย ดังนั้นแม้จะหวาดกลัวแต่ก็ยังตอบไปว่า “หม่อมฉันมิทราบ องค์หญิงโปรดชี้แนะด้วยเพคะ”
หญิงสาวยิ้มอย่างอ่อนโยนและกล่าวว่า “ข้าบอกให้เ้าตบปากตัวเอง หัวสมองจะได้ปลอดโปร่ง ที่นี่คือตำหนักเหวินฮวามิใช่ตำหนักเฉียนหยวน ไม่ว่าเ้าจะเป็หมาแมวของใครก็ไม่อาจสร้างปัญหาที่นี่ได้”
นางกำนัลคนนั้นไม่กล่าวสิ่งใด นางตบปากตัวเองอย่างแรงจนปากแดงก่ำ
หญิงสาวหัวเราะ “ตอนนี้เ้าเข้าใจชัดแล้วหรือไม่?”
ความหยิ่งผยองของนางกำนัลลดลงอย่างเห็นได้ชัด นางกล่าวอย่างขลาดกลัวว่า “หม่อมฉันมิทราบ ขอองค์หญิงโปรดชี้แจงเพคะ”
หญิงสาวยังคงหัวเราะ แต่สิ่งที่นางกล่าวกลับทำให้คนหัวเราะไม่ออก “ไม่รู้ว่าโจวกุ้ยเฟยคิดอะไรอยู่? ไม่ใช่ว่านางไม่รู้ว่าข้าชอบหญิงสาวที่เฉลียวฉลาด แต่นางกลับเลือกหญิงสาวโง่งมเช่นนี้มารับใช้ข้าที่ตำหนักเหวินฮวา ข้ารู้ดีว่าโจวกุ้ยเฟยใจกว้างดุจแม่น้ำและมีเื่ให้ต้องจัดการมากมายจนละเลยการอบรมมารยาทของพวกเ้า แต่รู้หรือไม่ว่าหากคำพูดนี้ไปถึงหูเสด็จพ่อจะเกิดอะไรขึ้น?”
ใบหน้าของหญิงสาวยังคงฉาบไว้ด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่เหล่านางกำนัลต่างหวาดกลัว จะหายใจยังไม่กล้า
หญิงสาวกลั้นยิ้มและถามด้วยน้ำเสียงเ็า “พวกเ้ารู้หรือไม่ว่านางทำอะไรผิด?”
หนึ่งในนั้นคุกเข่าลงและกล่าวว่า “หม่อมฉันทราบเพคะ มีเพียงฮองเฮาเท่านั้นที่สามารถเกล้ามวยผมให้องค์หญิงได้ ขอองค์หญิงโปรดระงับโทสะเพคะ พวกเราเพิ่งมาที่นี่จึงไม่รู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควร องค์หญิงทรงเมตตาด้วยเพคะ”
หญิงสาวยังคงยิ้มและกล่าวว่า “ฉลาดดีนี่ รีบช่วยข้าแต่งตัว อีกสักพักก็สายแล้ว โจวกุ้ยเฟยคงร้อนใจแย่”
------------------------
[1] ปี้จื่อ ไป๋จื่อ : ปี้ที่มาจากความเงียบสงบ และจื่อที่มาจากกลิ่นหอม จึงถูกตีความว่าเป็ “หญ้าที่เติบโตในสถานที่ที่เงียบสงบ”