เจิ้งหยวนพูดในใจ โชคดีที่ไม่ได้คลานออกมาจากท้องป้า ดูอย่างพี่เสี่ยวสยาสิ ใกล้กลายเป็คนงานในบ้านเข้าทุกทีแล้ว ไม่เพียงลงนาเก็บแต้ม ยังต้องซักผ้า เตรียมอาหาร ทำความสะอาด ทำงานทุกประเภท อาหารการกินก็ไม่ดี อดอยากจนซูบเอาๆ
เจิ้งหยวนไม่เอ่ยคำใด หากแต่แสดงออกด้วยรอยยิ้มก็เพียงพอแล้ว ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งทั้งโมโหทั้งงุ่นง่าน “คนอย่างแก มีแต่สกุลเฝิงเอาเท่านั้นแหละ บ้านอื่นใครเขาจะอยากสู่ขอ!”
แต่ทว่าเจิ้งหยวนกลับยิ้มตาหยี “เพราะฉะนั้น ปัจจุบันฉันถึงหวงแหนการแต่งงานคราวนี้มาก!” ป้าสะใภ้ใหญ่อย่าคิดเชียวละว่าเธอจะยอมสละการแต่งงานให้
ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งพูดอะไรไม่ออก
“…”
หากมิใช่เฉินชุ่ยอวิ๋นหยิบเสบียงออกมา คาดว่าป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งจะโกรธจนเริ่มตีคนแล้ว เธอหน้าดำคล้ำ ฉวยแป้งข้าวโพดห้าจิน [1] กับแป้งมันยี่สิบจินที่เฉินชุ่ยอวิ๋นตักให้ ไม่รังเกียจแม้ว่ามันจะน้อย แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
เฉินชุ่ยอวิ๋นจิ้มหน้าผากเจิ้งหยวน พลางเอ่ยเสียงขุ่น “แกเนี่ยนะ ยั่วโมโหเธอทำไม!”
เจิ้งหยวนร้องเหอะ “ฉันไม่ชอบเธอ! มายืมเสบียงบ้านเราทุกปี ไม่ไปทวงก็ไม่รู้จักคืน! เรามีญาติแบบนี้ที่ไหนกัน! แม่ดูความคิดไม่เข้าท่าที่เธอเสนอสิ ยกงานแต่งให้ ไม่บอกให้พี่เสี่ยวสยาแต่งออกแทนฉันเสียเลยเล่า?”
เฉินชุ่ยอวิ๋นกลอกตาพูด “แกยังจะตำหนิเธออีก เธอมีความคิดบ้าๆ แบบนี้ ไม่ใช่เพราะแกหรอกเหรอ! อย่าว่าแต่เธอเลย คนในกองใครไม่รู้บ้างว่าแกไม่อยากแต่งเข้าสกุลเฝิง? เป็สกุลเฝิงเห็นแก่ที่แกยังเด็กไม่รู้ความ ถึงไม่ถือสาหรอกนะ”
เจิ้งหยวนหัวเราะคิกคัก เธอกอดไหล่เฉินชุ่ยอวิ๋นแล้วโยกเบาๆ “ฉันยอมรับผิดแล้วนี่ไง วางใจเถอะ ขอเพียงสกุลเฝิงยินดีสู่ขอ ฉันแต่งแน่นอน”
เมื่อโดนบุตรสาวปลอบสีหน้าบึ้งตึงของเฉินชุ่ยอวิ๋นก็พลันดีขึ้นจนหัวเราะออกมา อยู่ๆ บุตรสาวก็รู้จักออดอ้อน เธอไม่ค่อยชินเท่าไรนัก แต่ลูกก็คือลูก แม้เจิ้งหยวนจะเปลี่ยนไป ใจเธอเพียงยินดีเท่านั้น ไม่คิดอันใดมาก
“ว่าแต่พี่สะใภ้ทายาให้แกแล้วใช่ไหม?”
“อื้อ ทาแล้วค่ะ อีกสองวันรอยแดงคงยุบ”
เฉินชุ่ยอวิ๋นเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็ดี”
ทันใดนั้นเสียงร้องไห้ไม่หยุดก็ดังมาจากทางห้องโถง เฉินชุ่ยอวิ๋นอุทานอย่างใพลางวิ่งเข้าไปยังด้านใน “หนิวหนิวตื่นแล้ว ร้องไห้ทำไมกัน…”
หนิวหนิวคือลูกชายคนเล็กของพี่ชายคนโต อายุครบหนึ่งขวบปีนี้ เพิ่งหย่านมไม่นาน คลอดออกมาก็หนักเจ็ดจิน แข็งแรงเหมือนลูกวัวน้อย เขาติดนิสัยนอนกลางวัน ตามปกติแล้วเขาเป็เด็กที่ว่าง่ายมาก ไม่ค่อยร้องไห้สักเท่าไร น่าจะเกิดจาก่นี้เพิ่งหย่านมบวกกับไม่เห็นหน้าแม่สักพัก ถึงงอแงนิดหน่อย
เฉินชุ่ยอวิ๋นผละไปแล้ว เจิ้งหยวนจึงเดินเข้าไปในห้องสำหรับเก็บเสบียงแล้วเปิดฝาโถสอดส่องดู แป้งข้าวโพดเหลือมากกว่าครึ่ง ข้างๆ วางเม็ดข้าวโพดที่ยังไม่บดไว้สองกระสอบ โถอีกใบใส่แป้งมัน ซึ่งมีอยู่ไม่น้อย และมีมันเทศตากแห้งที่ยังไม่บดบางส่วนด้วย โถใบสุดท้ายบรรจุแป้งขาวใกล้หมดไว้จำนวนหนึ่ง ถึงจะเรียกว่าแป้งขาว แต่ความจริงแล้วถ้าเอามานึ่งหมั่นโถว เนื้อแป้งก็ไม่ขาวนัก ด้วยทำมาจากเปลือกข้าวสาลี จึงไม่ขาวจั๊วะราวหิมะ หรือแบ่งเป็แป้งโปรตีนสูง โปรตีนปานกลาง โปรตีนต่ำเหมือนที่ซื้อในยุคปัจจุบัน ยุคสมัยนี้แป้งขาวสำหรับคนชนบทถือเป็สินค้าฟุ่มเฟือย ได้ส่วนแบ่งปีละประมาณสิบจินต่อคน ครอบครัวพวกเราเก้าคน ปีหนึ่งจะได้แบ่งปันข้าวสาลีร้อยจิน บ้านจะยอมหยิบมาทานสักมื้อใน่ฉลองเทศกาลเท่านั้น
เธอเหลือบมองซ้ายขวา ทันทีที่แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ ก็หายวับเข้าไปในมิติอีกครั้ง แป้งสาลีในมิติจะเอาออกมาใช้ไม่ได้เด็ดขาด เนื้อมันละเอียดเกินไปจะถูกสงสัยเอาได้ โชคดีที่โรงแรมห้าดาวมีบริการอาหารธัญพืชไม่ขัดสีแก่แขก เลยไม่ขาดแคลนแป้งข้าวโพด เจิ้งหยวนตักแป้งข้าวโพดราวๆ ห้าจินออกมาจากมิติ พร้อมเทเกลี่ยให้เรียบในโถจนดูไม่ออกว่าแป้งมันเพิ่มขึ้น
ทั้งน้ำมัน เกลือ ซีอิ๊ว และน้ำส้มสายชู เจิ้งหยวนล้วนเติมให้ที่บ้านเล็กน้อยอย่างระมัดระวัง
เมื่อออกจากห้องครัว เจิ้งหยวนชะโงกหน้ามองห้องโถง จากนั้นจึงแอบเข้าไปในเล้าไก่ จับลูกเจี๊ยบตัวหนึ่งลองพาเข้ามิติดู ผลปรากฏอย่าว่าแต่ไก่ ขนาดตัวเธอเองยังเข้าไม่ได้ ทว่าเมื่อปล่อยลูกเจี๊ยบลง เธอถึงเข้าไปในมิติได้อีกครั้ง
เจิ้งหยวนจิ๊ปากอย่างเสียดาย ดูท่าเธอจะไม่สามารถนำสิ่งมีชีวิตอื่นเข้ามิติได้แล้ว
เชิงอรรถ
[1] จิน หมายถึง หน่วยน้ำหนักจีน เท่ากับชั่ง หรือ ครึ่งกิโลกรัม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้