อสรพิษไผ่น้ำเงินค่อยๆ คืบคลานไปเหนือหัวของเหวินเริ่นเหยียน ดวงตาสีน้ำเงินของมันช่างดูแปลกยิ่งนัก
“หลินเฟิง มองมาที่ข้าสิ”
เหวินเริ่นเหยียนะโ ทันใดนั้นสายตาของหลินเฟิงได้มองไปที่เหวินเริ่นเหยียน ดวงตาสีน้ำเงินที่ดูแปลกคู่นี้ราวกับสายฟ้าฟาด จึงทำให้จิตใจของหลินเฟิงว่างเปล่าราวกับถูกสะกดจิต
ั์ตาที่ดูแปลกของเหวินเริ่นเหยียนเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน การเคลื่อนไหวดั่งสายฟ้ามาถึงตัวหลินเฟิงในชั่วพริบตา ฝ่ามือที่เหมือนอสรพิษได้พุ่งไปยังหน้าอกของหลินเฟิง
“ช่างรวดเร็วยิ่งนัก!”
ฝูงชนต่างตกตะลึง สัตว์อสูรไผ่น้ำเงินไม่เพียงแต่มีดวงตาคู่แปลกเท่านั้น แต่การเคลื่อนไหวก็ยังรวดเร็วจนน่าใ เหวินเริ่นเหยียนมีลักษณะพิเศษของอสูรไผ่น้ำเงิน ทั้งร่างกายเป็เหมือนอสรพิษ ถ้าถูกเขาจ้องมองก็อาจทำให้ตายได้
“ท่าไม่ดีแล้วสิ”
หลินเฟิงตื่นจากภวังค์และชักดาบออกมาป้องกัน พลังลมปราณที่แข็งแกร่งได้ออกจากดาบเข้าปะทะ จากนั้นจึงทำให้ร่างของเขากระเด็นปลิวออกไป
“เคล็ดวิชาเคลื่อนไหวดั่งเงา!”
หลินเฟิงพลิกตัวและกลับมายืนบนลานประลองอีกครั้งอย่างมั่นคงด้วยสองเท้า
เหวินเริ่นเหยียนไม่ได้ไล่ตาม แต่แค่ยืนดูหลินเฟิงที่กระเด็นปลิวไปแล้วกล่าวว่า “เ้าเห็นความต่างหรือยัง? ที่เ้าเรียกว่าพร์ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าข้ามันช่างไร้ประโยชน์ ข้าอยากจะเล่นกับเ้า ข้าสามารถเล่นได้ แม้เ้าไม่โจมตีข้า แต่ด้วยความรวดเร็วของข้า เ้าก็ไม่สามารถทำอะไรข้าได้”
“แม้ว่าหลินเฟิงจะแข็งแกร่ง แต่ช่องว่างระหว่างเขากับเหวินเริ่นเหยียนก็ยังไม่สามารถแก้ไขได้ เหวินเริ่นเหยียนแข็งแกร่งเกินไป ถึงแม้จะกล้าต่อสู้กับเขาแต่มันก็ไร้ประโยชน์”
ฝูงชนต่างลุ้นกับการโจมตีเมื่อครู่ เหวินเริ่นเหยียนสามารถหยุดการโจมตีของหลินเฟิงได้ จึงทำให้เหวินเริ่นเหยียนรู้สึกเบื่อหน่าย
ส่วนหลินเฟิงที่ยืนอยู่ได้หรี่ตาลง ไม่กล้าสบกับดวงตาสีน้ำเงินของเหวินเริ่นเหยียน
หลังจากปลดปล่อยจิติญญา ดวงตาของเหวินเริ่นเหยียนก็เต็มไปด้วยความแปลกประหลาด แค่เหลือบมองก็สามารถทำให้เป็อัมพาตได้ ใน่เวลานั้นมันยากที่เขาจะไม่นึกถึง
จิติญญาอสูรไผ่น้ำเงินช่วยให้เหวินเริ่นเหยียนมีความสามารถที่น่าเกรงกลัวเป็อย่างมาก
นี่สิถึงจะเรียกว่าพร์ บางคนเกิดมาก็มีจิติญญาที่แข็งแกร่ง พร์ของพวกเขาเทียบกับคนทั่วไปแล้ว นับว่าเป็จุดเริ่มต้นที่สูงมาก เหมือนเช่นเหวินเริ่นเหยียน
“จิติญญาแห่ง์”
ดวงตาอันมืดมิดได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง รูม่านตาของหลินเฟิงเปลี่ยนเป็สีเทาที่ดูโเี้ ด้วยสายตาอันเย็นะเืความรู้สึกของเขาพลันค่อยๆ ตื่นตัวขึ้น สมองของเขาประมวลผลด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
ลมปราณที่เพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งได้ทะลักออกมา อำนาจของดาบที่ปลดปล่อยออกมาทั่วลานประลองเป็ตายนั้นเต็มไปด้วยจิตสังหาร
“อำนาจของดาบช่างน่าทึ่งเสียจริง?”
เหวินเริ่นเหยียนหัวเราะเยาะอย่างเ็า แต่แล้วจู่ๆ เหลินเฟิงก็หายไป กลิ่นอายที่น่ากลัวของหลินเฟิงได้ตรึงลงไปในใจของเหวินเริ่นเหยียน มันแข็งแกร่งกว่าการโจมตีเมื่อครู่นี้อีก
การเคลื่อนไหวของหลินเฟิงราวกับสายลม มันช่างรวดเร็วอย่างยิ่ง
ฝ่ามืออสรพิษของเหวินเริ่นเหยียนได้โจมตีหลินเฟิงอีกครั้ง
“โอ๊ะ?”
เสียงอุทานดังขึ้นเบาๆ เพราะฝ่ามือของเหวินเริ่นเหยียนได้หมุนเป็เกลียว และไล่ตามหลินเฟิงเพื่อโจมตีต่อ
แต่หลินเฟิงราวกับรับรู้การโจมตีของเขาล่วงหน้า ร่างของเขาเคลื่อนไหวดั่งสายลม และหลบการโจมตีของเหวินเริ่นเหยียนได้อย่างง่ายดาย
“หืม?”
ฝูงชนที่อยู่บนอัฒจันทร์ต่างมองด้วยความใ หรือว่าหลินเฟิงจะฝึกเคล็ดวิชาตัวเบาจนถึงระดับสูงสุด?
“การเคลื่อนไหวอะไรกันถึงสามารถทำได้เช่นนี้? หรือว่าไม่ใช่การเคลื่อนไหว แต่เป็การรับรู้ เป็ไปไม่ได้ ทำไมความแข็งแกร่งของหลินเฟิงถึงมีการรับรู้ที่น่ากลัวเช่นนี้?”
ผู้คนมากมายต่างคิดในใจว่า การเคลื่อนไหวนี้ช่างงดงามยิ่งนัก และเหวินเริ่นเหยียนผู้มีความเร็วอันน่าหวาดกลัวก็ไม่สามารถทำอะไรหลินเฟิงได้ นอกจากนี้การหลบหลีกแต่ละครั้งล้วนดูเป็ธรรมชาติ ไม่มีข้อบกพร่องเลยสักนิดเดียว
หลินเฟิงเข้าใจอย่างชัดเจนว่า ที่เขาสามารถใช้การเคลื่อนไหวที่ทรงพลังเช่นนี้ได้ เป็เพราะจิติญญา จิติญญาแห่ง์ทำให้การรับรู้ของหลินเฟิงแข็งแกร่งขึ้น การรับรู้นี้ดูเหมือนจะชะลอเหวินเริ่นเหยียนให้ช้าลง และทำให้การตอบสนองรวดเร็วขึ้น ดังนั้นเขาจึงสามารถหลบการโจมตีของเหวินเริ่นเหยียนได้
“ไสหัวไป”
ข้อมือของหลินเฟิงขยับกวัดแกว่งดาบออกไป คลื่นดาบที่ทรงพลังได้พุ่งทะยานไปหา ทำให้เหวินเริ่นเหยียนต้องก้าวถอยหลังเพื่อให้ห่างจากหลินเฟิง ไม่น่าเชื่อว่าหลินเฟิงจะรวดเร็วขนาดนี้
“ทำไมเ้าสามารถหลบได้?” ดวงตาคู่แปลกของเหวินเริ่นเหยียนจ้องเขม็งไปที่หลินเฟิงขณะกล่าวอย่างเ็า
“ไม่ใช่ว่าเ้าอยากเล่นกับข้าหรอกหรือ? แล้วจะก้าวถอยหลังไปทำไม?”
น้ำเสียงของหลินเฟิงฟังดูเย็นะเื ดวงตาสีน้ำเงินของเหวินเริ่นเหยียนััได้ถึงดวงตาอันมืดมิดของหลินเฟิง จู่ๆ ร่างกายของเหวินเริ่นเหยียนก็สั่นสะท้านเพียงแค่จ้องมองไปที่ดวงตาสีเทาคู่นั้น
“ทำไมเขาถึงมีั์ตาเช่นนี้? หรือว่าเขาก็มีจิติญญาคล้ายกับของข้า?”
เหวินเริ่นเหยียนจ้องมองไปยังดวงตาอันเืเย็นของหลินเฟิง ดวงตาของหลินเฟิงในตอนนี้กับเมื่อครู่ช่างแตกต่างกันลิบลับ ทั้งเยือกเย็นและไร้ความรู้สึก ดูเหมือนว่าเหวินเริ่นเหยียนจะเป็คนเดียวที่มองออกว่าดวงตาของหลินเฟิงแปลกไป
“จะเป็เพราะจิติญญาหรืออะไรก็ช่าง ข้าต้องฆ่าเ้าให้ได้”
เหวินเริ่นเหยียนคิดในใจ ขณะมองหลินเฟิงและกล่าวว่า “หลินเฟิง มองตาข้า”
ความเ็าในดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้นและดวงตาอันมืดมิดได้ปะทะกัน แต่คราวนี้ สายตาของหลินเฟิงไม่สั่นคลอนเลยสักนิด ั์ตาสีเทานี้ยังคงดูลึกลับและเยือกเย็น
“หรือจะเป็เพราะทักษะเนตรรู้แจ้ง มันต้องเป็เพราะทักษะเนตรรู้แจ้งแน่ๆ เขาถึงไม่เป็อัมพาต”
เหวินเริ่นเหยียนประหลาดใจที่เห็นสายตาของหลินเฟิงไม่มีแม้แต่ความสับสน ดูเหมือนว่าดวงตาอสูรงูไผ่น้ำเงินจะไร้ประโยชน์ต่อหลินเฟิง
“อย่าได้กังวล นี่เป็เพียงการเล่นกับเ้า ถ้าเ้าอยากรีบตายนัก ข้าก็จะช่วยเ้า”
ดวงตาอสูรไผ่น้ำเงินชำเลืองมองอย่างเ็า เมื่อเหวินเริ่นเหยียนเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นฝ่ามือของเขาได้ปลดปล่อยหยวนชี่ออกมา ซึ่งเป็หยวนชี่ที่มีสีเทาและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความตาย
อสูรไผ่น้ำเงินนอกจากจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วแล้ว ความสามารถในการหลบหลีก รวมทั้งดวงตาอสูรคู่นั้น มันยังมีพิษที่รุนแรงอีกด้วย หากััก็เท่ากับความตาย
นี่จะทำให้การบ่มเพาะของเหวินเริ่นเหยียน สามารถใช้ทักษะของสัตว์อสูรที่โหดร้ายได้สะดวก
ฝ่ามืออสรพิษเป็ทักษะระดับลี้ลับ หยวนชี่ภายในร่างกายจะกลายเป็กลิ่นอายอสรพิษ การโจมตีที่แข็งแกร่งจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามเป็อัมพาต แต่เมื่อพิษััก็จะต้องตาย
ทักษะประเภทนี้ยากที่จะฝึกฝน นอกจากทักษะนี้จะเหมาะสมกับคนที่มีพร์ที่แข็งแกร่งและคนที่มีจิติญญาไม่เหมือนใคร เช่นเดียวกับเหวินเริ่นเหยียน ที่มีจิติญญาอสูรไผ่น้ำเงิน การบ่มเพาะจึงใช้ฝ่ามืออสรพิษได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่เพียงทำให้ทักษะเต็มไปด้วยกลิ่นอายอสรพิษเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับฝ่ามืออสรพิษอีกด้วย
การเคลื่อนไหวของเหวินเริ่นเหยียนยังคงรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาก็ไปโผล่ตรงหน้าของหลินเฟิงแล้ว
กลิ่นอายที่ทรงพลังทำให้หลินเฟิงรู้สึกว่าร่างกายพลันหนักอึ้ง เพียงัักลิ่นอายอสรพิษแค่เล็กน้อยก็ทำให้การเคลื่อนไหวของเขาช้าลง
การเคลื่อนไหวของร่างกายรวดเร็วดั่งสายลมกระพือ หลินเฟิงเปลี่ยนตำแหน่งในพริบตา ดาบยาวที่พลิ้วไหวได้โจมตีออกไป
แต่ความสามารถในการหลบหลีกของเหวินเริ่นเหยียนยังคงรวดเร็ว ร่างกายส่วนล่างของเขาบิดได้เหมือนงู เพื่อหลบคลื่นดาบที่พุ่งผ่านเข้ามา
“ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเหวินเริ่นเหยียนถึงหยิ่งผยองเช่นนี้ นั่นเป็เพราะความแข็งแกร่งที่ทรงพลัง”
หลินเฟิงรู้สึกหดหู่ ดวงตาอสูรไผ่น้ำเงินและฝ่ามืออสรพิษ ได้ช่วยให้ความสามารถในการโจมตีของเหวินเริ่นเหยียนกล้าแกร่งขึ้น ส่วนการป้องกัน ร่างกายของเขาตัวอ่อนเหมือนงู จึงสามารถหลบหลีกได้อย่างรวดเร็ว และการเคลื่อนไหวของเหวินเริ่นเหยียนก็รวดเร็วขึ้นจนดูเหมือนไม่มีจุดอ่อนให้โจมตีได้เลย
ถ้าหลินเฟิงไม่เรียกจิติญญาแห่ง์ เขาคงไม่สามารถต้านทานการโจมตีของเหวินเริ่นเหยียนได้ แค่ดวงตาอสูรไผ่น้ำเงินก็สามารถเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้ ไม่แปลกใจเลยที่ไม่มีศิษย์คนใดสามารถต่อกรกับเขาได้
“ข้าจะดูว่าเ้าจะทนไปได้นานสักแค่ไหน”
เหวินเริ่นเหยียนยิ้มอย่างเ็า ทันใดนั้นฝ่ามืออสรพิษก็ได้ไล่กวดหลินเฟิง กลิ่นอายอสรพิษได้แพร่กระจายไปทั่วลานประลองความเป็ตาย
“พอแล้ว!”
“ดาบปลิดิญญา”
หลินเฟิงะโอย่างเ็า คลื่นดาบได้วาดผ่านออกไปปะทะกับกลิ่นอายอสรพิษ จนทำให้เหวินเริ่นเหยียนถอยหลัง พลังของดาบปลิดิญญาของหลิงเฟิง เพียงพอที่จะคุกคามชีวิตของเขาได้
“เมื่อครู่เ้าบอกว่ากำลังเล่นกับข้า แล้วทำไมข้าจะเล่นกับเ้าบ้างไม่ได้ล่ะ? ศิษย์สายในอันดับหนึ่ง??? อัจฉริยะ??? เหอะ ทำได้แค่นี้เหรอ…”
เสียงของหลินเฟิงดังก้องไปทั่วพื้นที่รอบๆ
คาดไม่ถึงว่าหลินเฟิงจะเล่นกับเหวินเริ่นเหยียน? เป็ไปได้อย่างไร? หลินเฟิงไม่ได้รับาเ็จากการโจมตีของเหวินเริ่นเหยียนแม้แต่น้อย เพียงแค่หลบเท่านั้น
“อย่าได้ยั่วโทสะข้าด้วยคำพูด เทคนิคเช่นนี้มันหน่อมแน้มเกินไปแล้ว”
เหวินเริ่นเหยียนกล่าวอย่างเย้ยหยัน
“ยั่วยุ? หึ เ้าคิดว่ามีแค่เ้าคนเดียวงั้นหรือที่มีจิติญญา?”
เมื่อหลินเฟิงพูดจบก็มีเงาสีดำปรากฏขึ้นด้านหลังของเขา สิ่งที่น่าใคือตรงใจกลางของเงาสีดำได้มีดวงตาคู่สีขาวคู่หนึ่ง ช่างแปลกยิ่งนัก
“จิติญญา นี่เป็ครั้งแรกที่หลินเฟิงปลดปล่อยจิติญญา”
“มันคือจิติญญาอะไรกัน? ข้าไม่เคยเห็นมันมาก่อน”
ผู้คนจำนวนมากต่างตกตะลึงเมื่อเห็นจิติญญาของหลินเฟิง ใช่แล้ว การต่อสู้เมื่อครู่ระหว่างหลินเฟิงและเหวินเริ่นเหยียน หลินเฟิงยังไม่ได้ปลดปล่อยจิติญญาออกมา แน่นอนว่า พวกเขาคงไม่รู้ว่าหลินเฟิงมีเพียงจิติญญาแห่ง์ขั้นที่ 1 เท่านั้น
“โอ้พระเ้า! นี่คือจิติญญาของหลินเฟิง? ข้าจำได้ว่าจิติญญาของหลินเฟิงเป็เพียงงูที่ไร้ประโยชน์ เป็จิติญญาขยะ เมื่อไรกันที่เขามีจิติญญาเช่นนี้?”
ผู้คนต่างใและอุทานออกมา จิติญญาของหลินเฟิงได้ดึงดูดสายตาของศิษย์สายนอกที่มีความแข็งแกร่งในระดับต่ำ แน่นอนว่าไม่มีใครใส่ใจคำพูดของเขา
“ใช่! ข้าจำได้ว่าหลินเฟิงมีจิติญญาขยะ ทำไมตอนนี้ถึงมีจิติญญาเช่นนี้ได้? หรือว่าเป็จิติญญานักรบคู่?”
ศิษย์สายนอกอีกคนกล่าวขึ้น พวกเขารู้แค่ว่าหลินเฟิงเป็เพียงขยะ จึงพากันดูถูกข่มเหง และกลั่นแกล้งเท่านั้น
แต่หลินเฟิงในวันนี้เหมือนกับเป็คนละคน เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ ก็โดดเด่นขึ้นมาถึงขนาดนี้
แต่น่าเสียดาย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะพูดความจริง แต่กลับไม่มีใครเชื่อ
จิติญญานักรบคู่? มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด การที่มีจิติญญานักรบคู่จะทำให้หลินเฟิงกลายเป็อัจฉริยะที่ทรงพลัง ใครก็ตามที่มีจิติญญานักรบคู่ล้วนเป็สัตว์ประหลาด!
คำพูดของศิษย์สายนอกไม่กี่คน ดึงดูดศิษย์คนอื่นๆ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“เหวินเริ่นเหยียน ข้าจะทำให้เ้าได้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของข้า”
คำพูดก้าวร้าวของหลินเฟิงทำให้ฝูงชนต่างสั่นกลัว หมายความว่าตลอดเวลาที่ต่อสู้กับเหวินเริ่นเหยียน เขายังไม่ได้ใช้พลังที่แท้จริง!
หมอกสีดำอันทรงพลังได้ห่อหุ้มร่างกายของหลินเฟิง ดวงตาอันมืดมิดของหลินเฟิงนั้นยิ่งเ็าและเหี้ยมโหดขึ้นเรื่อยๆ
ดาบในมือของหลินเฟิงได้ยกขึ้น คลื่นดาบส่งเสียงแผดร้องออกมา
“์”
หลินเฟิงพึมพำออกมาคำหนึ่ง ในดวงตาสีเทานั้นเปล่งประกายสีขาว เป็ดวงตาที่แปลกยิ่งกว่าดวงตาอสูรไผ่น้ำเงินของเหวินเริ่นเหยียนเสียอีก
จิติญญาแห่ง์ หลินเฟิงได้ปลดปล่อยความสามารถของจิติญญานี้เป็ครั้งแรก นั่นคือ์
เหวินเริ่นเหยียนหยุดชะงัก ในตอนนี้การบ่มเพาะจิติญญาของเหวินเริ่นเหยียน ได้ปรากฏขึ้นในหัวของหลินเฟิงอย่างชัดเจน แม้กระทั่งทุกกระทำของเหวินเริ่นเหยียน ล้วนผุดขึ้นมาในหัวของหลินเฟิง
ในตอนนี้เหวินเริ่นเหยียนมีเพียงความรู้สึกเดียว เป็ความรู้สึกที่แปลกๆ ดูเหมือนกลิ่นอายลึกลับจะตรึงร่างของเขาไว้ ไม่ว่าเขาจะไปไหนก็ไม่สามารถหนีจากกลิ่นอายนี้ไปได้
“ดาบ”
การเคลื่อนไหวของหลินเฟิงรวดเร็วมาก ในชั่วพริบตาก็มาตรงหน้าเหวินเริ่นเหยียนแล้ว จากนั้นก็ฟันดาบปลิดิญญาออกไป
เหวินเริ่นเหยียนหลบการโจมตีได้อย่างหวุดหวิด ในขณะเดียวกันมือของเขาก็ขยับเล็กน้อย เพื่อเร่งปล่อยกลิ่นอายอสรพิษออกมา
แต่ตอนนั้นเอง หมอกสีดำก็เคลื่อนตัวเข้ามาดูดซับกลิ่นอายอสรพิษเข้าไป ซึ่งเป็จังหวะเดียวกับที่ประกายแสงจากคมดาบสว่างวูบขึ้นมา ก่อนที่คลื่นดาบอันแข็งแกร่งจะพุ่งออกมา
“หนี!”
รูม่านตาสีน้ำเงินของเหวินเริ่นเหยียนหดลงเล็กน้อย ก่อนจะพลิ้วร่างหนีไป แต่เขาพบว่าร่างเงาของหลินเฟิงกำลังไล่กวดตามเขา
ดาบปลิดิญญาแผดเสียงร้องออกมาอีกครั้ง
เหวินเริ่นเหยียนกัดฟัน ร่างกายบิดไปมาเพื่อหลบหลีกคลื่นดาบที่ฟันเข้ามาอย่างรวดเร็ว
แต่สิ่งที่ทำให้เหวินเริ่นเหยียนใคือ หลินเฟิงสามารถโจมตีได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่หยุดพัก
“เป็ไปได้อย่างไร?”
เหวินเริ่นเหยียนส่งเสียงร้องออกมาในใจ ราวกับหลินเฟิงมีััพิเศษ ในขณะที่เขาเคลื่อนตัวเพื่อที่จะหลบ หลินเฟิงก็สามารถดักทางเขาได้ นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว
หรือว่าจะเป็กลิ่นอายนั่นที่คอยหยุดการเคลื่อนไหวเขา?
สีหน้าของเหวินเริ่นเหยียนเริ่มซีดขาว ด้วยการกระหน่ำโจมตีของดาบปลิดิญญา ทำให้เขาเริ่มเหนื่อยกับการหลบหลีก และทุกครั้งที่เขาปลดปล่อยกลิ่นอายอสรพิษ ก็ถูกหมอกสีดำของหลินเฟิงกลืนกิน ดูเหมือนว่าครั้งนี้ทุกอย่างจะตกอยู่ในการควบคุมของหลินเฟิง ถ้าหากหลินเฟิงใช้ความสามารถทั้งหมด เขาคงต้องตายอย่างแน่นอน
“คาดไม่ถึงเลยว่า หลินเฟิงจะสามารถไล่ต้อนเหวินเริ่นเหยียนจนจนมุมได้?”
ทุกคนต่างรู้สึกมึนชา สถานการณ์ในตอนนี้มันกลับตาลปัตร ท่าทางเย่อหยิ่งของเหวินเริ่นเหยียนได้มลายสิ้นไปหมด เขาทำได้แค่ป้องกันและคอยหลบหนี นอกจากนี้สีหน้าของเขาก็ยังดูย่ำแย่ อีกทั้งยังรู้สึกได้ถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
หรือว่าเมื่อครู่นี้หลินเฟิงก็แค่เล่นกับเหวินเริ่นเหยียน? แม้แต่ในยามที่เผชิญหน้ากับเหวินเริ่นเหยียน คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เขาก็ยังมีอารมณ์มาหยอกเล่น?
ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งกำลังมองจากบนอัฒจันทร์ พร์ของหลินเฟิงน่ากลัวเกินไปแล้ว เกรงว่านี่จะทำให้พวกเขาต่างอิจฉาริษยา
ตอนนี้พวกเขารู้ว่า นอกจากหลินเฟิงจะมีพร์ที่น่ากลัวแล้ว ความสามารถในการตอบสนองของหลินเฟิงก็น่ากลัวด้วยเช่นกัน มีเพียงผู้ที่มีความสามารถในการตอบสนองที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้แบบหลินเฟิง ตอนนี้เหวินเริ่นเหยียนถูกกดดันจนสภาพย่ำแย่ลงเรื่อยๆ หากยังปล่อยให้เป็เช่นนี้ เขาต้องตายแน่ๆ
“ว่าไง อัจฉริยะ เ้ายังซ่อนความสามารถอะไรไว้อีกไหม?”
น้ำเสียงเ็าที่ออกมาจากปากของหลินเฟิงในระหว่างการโจมตี หลินเฟิงก็ยังมีเวลามากพอที่จะเยาะเย้ยเหวินเริ่นเหยียน ทำให้ทุกคนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
คำว่า ‘อัจฉริยะ’ ได้กลายเป็คำพูดแทงใจของเหวินเริ่นเหยียนในตอนนี้ โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ที่เหวินเริ่นเหยียนพูดจาโอ้อวดตัวเองไปทั่ว ทั้งยังถากถางหลินเฟิงไว้มากมาย
ใครกันแน่ที่เป็อัจฉริยะ?
“เหวินเริ่นเหยียน ไม่ใช่ว่าเ้ากับข้ามีช่องว่างที่แตกต่างกันหรอกหรือ แล้วทำไมตอนนี้เ้าเอาแต่หลบอยู่ตลอดเวลาล่ะ ไม่รู้สึกอับอายบ้างเลยหรือ?”
หลินเฟิงสะบัดดาบในมืออีกครั้ง พร้อมกับเสียงร้องอันแหลมคมได้ลอยเข้าไปในหูของเหวินเริ่นเหยียน ไม่รู้ว่าเป็เพราะคำพูดเยาะเย้ยของหลินเฟิงหรือเสียงที่น่ารำคาญของคลื่นดาบ ที่ทำให้เหวินเริ่นเหยียนแทบคลั่งตาย
“เหวินเริ่นเหยียน ไม่ใช่ว่า้าพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นหรือว่าอะไรคืออัจฉริยะที่แท้จริง? นั่นคือสิ่งที่เ้า้าพิสูจน์นี่”
ดูเหมือนว่าหลินเฟิงจะไม่ปล่อยเหวินเริ่นเหยียนไป เพียงแค่ประโยคเดียวกลับทำให้จิตใจของเหวินเริ่นเหยียนว้าวุ่นขึ้น และหลายครั้งแล้วที่เกือบถูกหลินเฟิงโจมตี
“เ้าดูถูกคนอื่นว่าเป็สวะ แต่ตอนนี้เ้ากลับเป็สวะเสียเอง รู้สึกอับอายหรือไม่? หรือว่าเ้าหน้าหนาเกินจะรู้สึกถึงความอับอาย?”
คำพูดของหลินเฟิงได้กระตุ้นเหวินเริ่นเหยียนให้บ้าคลั่งขึ้นมา คราวนี้เขาไม่ได้หลบอีกต่อไป และโต้กลับด้วยกลิ่นอายอสรพิษอย่างไม่กลัวตาย
“ข้าแค่รอให้เ้าเข้ามาหาความตายเองเท่านั้น”
รูม่านตาที่ไร้ความรู้สึกของหลินเฟิงได้เปล่งประกายขึ้นมา คลื่นดาบนับไม่ถ้วนได้ไหลมารวมตัวกันบนใบดาบ ลมปราณที่รุนแรงได้หลอมรวมไปกับคลื่นดาบอันทรงพลัง ก่อให้เกิดพลังทำลายล้างที่แข็งแกร่งจนน่ากลัวขึ้นมา
“ดาบแห่งความตาย”
คลื่นดาบที่ทอประกายสว่างจ้าถูกห่อหุ้มด้วยลมปราณแห่งความตายสีเทา พร้อมกับกลิ่นอายแห่งความตายที่ทะลักออกมาจากตัวดาบ คลื่นดาบอันทรงพลังได้พุ่งไปหาเหวินเริ่นเหยียนอย่างรวดเร็ว ตอนนี้จิตใจของเหวินเริ่นเหยียนเริ่มสั่นสะท้านไปด้วยความกลัว
“หนี”
ทันใดนั้นก็มีเสียงะโดังขึ้นมา ทำให้เหวินเริ่นเหยียนถอยร่นอย่างไม่ลังเล เห็นได้ชัดว่าศักยภาพดาบของเขาเกือบจะถึงจุดสูงสุดแล้ว
“ตาย!”
หลินเฟิงะโออกมาแค่คำเดียว ก่อนที่ดาบแห่งความตายจะทำลายล้างทุกอย่าง
“ตูม!!!”
เสียงคำรามของดาบแห่งความตายเฉกเช่นเดียวกับเสียงเรียกของปีศาจ เพียงแค่เสี้ยววินาทีมันก็เพียงพอที่จะทำลายเหวินเริ่นเหยียนได้ ในั์ตาของเหวินเริ่นเหยียนฉายแววสิ้นหวังออกมา ดาบนี้รุนแรงและแข็งแกร่งเกินไปแล้ว
“ปลดปล่อย”
ทันใดนั้นก็มีหยวนชี่พรั่งพรูอยู่ในอากาศ และพุ่งทะยานเข้ามาทำลายพลังของดาบแห่งความตายอย่างต่อเนื่อง ไม่นานดาบแห่งความตายก็พลันสลายหายไป ซึ่งเป็จังหวะเดียวกับที่ร่างหนึ่งลุกขึ้นยืน คนคนนั้นก็คืออาจารย์ของเหวินเริ่นเหยียนนั่นเอง และเป็หญิงชราคนนี้นี่เองที่ได้ะโเตือนเหวินเริ่นเหยียนเมื่อครู่
“พอได้แล้ว การต่อสู้ในครั้งนี้เ้าเป็ฝ่ายชนะ” หญิงชรากล่าวอย่างเ็า และในน้ำเสียงของนางยังเจือไปด้วยพลังอันน่าเกรงขามเอาไว้
รูม่านตาของหลินเฟิงหดเกร็งเล็กน้อย น่าขำสิ้นดี เขาเนี่ยนะ้าแค่ชัยชนะ? ถ้าเขาแพ้ สิ่งที่เขาต้องจ่ายก็คือชีวิต แต่พอเขาชนะ เหวินเริ่นเหยียนกลับยังคงอยู่ดี และไม่ได้รับาเ็สาหัสเลยแม้แต่น้อย
“ยายแก่ เ้าลืมสัญญาระหว่างพวกเราไปแล้วหรือ?!”
เมื่อผู้าุโเป่ยเห็นฉากนี้ก็กล่าวแทรกขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
“เ้าวางใจเถอะ สัญญาของพวกเรา ข้าไม่ลืมหรอก แต่เหวินเริ่นคือลูกศิษย์ของข้า ยายแก่อย่างข้าทำใจเห็นเขาตายไปต่อหน้าไม่ได้”
คำพูดของหญิงชราทำให้ทุกคนต่างสงสัย นางบอกให้ผู้าุโเป่ยวางใจ และนางก็ยังไม่ลืมสัญญา? ถ้ายังไม่ลืม แล้วทำไมถึงเข้าไปแทรกแซงการต่อสู้ระหว่างหลินเฟิงกับเหวินเริ่นเหยียนด้วย?! การที่นางช่วยเหวินเริ่นเหยียนก็เท่ากับลืมสัญญาไปแล้ว!
แต่ฝูงชนก็ไม่ได้คิดมากไป พวกเขายังคงตกตะลึงในเพลงดาบของหลินเฟิงเมื่อครู่นี้ คาดไม่ถึงเลยว่าศิษย์อันดับหนึ่งอย่างเหวินเริ่นเหยียนจะพ่ายแพ้ให้กับหลินเฟิง
จากนี้เป็ต้นไป หลินเฟิงได้กลายเป็ศิษย์สายในอันดับหนึ่งอย่างแท้จริง
หนานกงหลิงได้ลุกขึ้นยืน ขณะที่จ้องมองไปยังร่างของหลินเฟิงที่ยืนอยู่บนลานประลองเป็ตายอย่างผ่าเผย ด้วยสายตาปลาบปลื้ม
หลินเฟิงทำให้เขาประหลาดใจเป็อย่างมาก
“เอาล่ะ การทดสอบในวันนี้ได้จบลงแต่เพียงเท่านี้ ทุกคนแยกย้ายกันได้”
ผู้าุโเป่ยโบกมือให้เหล่าศิษย์พากันแยกย้าย ตัวเขาเองก็ไม่อยากมีความขัดแย้งกับหญิงชรา
การทดสอบจบลงแต่เพียงเท่านี้?
สายตาทุกคนต่างจับจ้องไปที่หนานกงหลิง แต่หนานกงหลิงกลับมองไปที่ผู้าุโเป่ยอย่างสงสัย แต่ผู้าุโเป่ยเพียงแค่พยักหน้าให้กับเขาเท่านั้น
“ฮ่าๆ การทดสอบของนิกายหยุนไห่ในวันนี้ ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง แต่ทำไมถึงจบเร็วขนาดนี้ล่ะ”
ต้วนเทียนหลางที่นั่งเงียบมาโดยตลอดก็เริ่มพูดแทรกขึ้นมา ทำให้หนานกงหลิงขมวดคิ้ว
“ท่านประมุข กรุณาสั่งให้ศิษย์ทั้งหมดออกจากนิกายไปซะ เพราะนิกายนี้จะต้องถูกยุบ”
จู่ๆ น้ำเสียงของผู้าุโเป่ยก็ก้าวร้าวรุนแรงขึ้น ทำให้ทุกคนต่างสั่นสะท้าน ให้ศิษย์ทั้งหมดออกจากนิกาย? นิกายจะถูกยุบ?
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
จู่ๆ ฝูงชนก็เกิดลางสังหรณ์แปลกๆ ขึ้นมา ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะของต้วนเทียนหลาง
“อย่าเสียเวลาคิดเลย ทางออกของหุบเขานี้ถูกปิดล้อมไว้หมดแล้ว ไม่มีใครสามารถหนีรอดไปได้ ทุกคนจะต้องอยู่ที่นี่”
“ต้วนเทียนหลาง เ้าหมายความว่าอย่างไร?”
จู่ๆ สายตาของหนานกงหลิงก็เปลี่ยนไป
“หมายความว่าไง? หนานกงหลิง นี่เ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าพาผู้นำนิกายคนอื่นๆ ถ่อมาถึงที่นี่ ก็เพื่อมานั่งชมการทดสอบของนิกายเ้า? เหอะ ไร้เดียงสาเสียจริง เื่ง่ายๆ แค่นี้ก็มองไม่ออก” ต้วนเทียนหลางกล่าวอย่างเ็า “ครั้งก่อนข้าส่งบุตรชายของข้ามาที่นิกาย เพื่อบอกให้เ้าส่งมอบรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งของหยุนไห่มา แต่เ้าก็ปฏิเสธ วันนี้ข้ามาที่นิกายหยุนไห่ในฐานะตัวแทนของฝ่าา”
“ตึงๆๆ...”
สิ้นเสียงของต้วนเทียนหลาง พื้นดินก็สั่นะเืขึ้นมา ทำให้จิตใจของทุกคนสั่นสะท้านไปด้วยความกลัว
และการสั่นะเืก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับหุบเขาจะถล่มลงมา กระทั่งูเายังสั่นไหวพร้อมกับมีเสียงะเิดังกึกก้องอย่างต่อเนื่อง จิตสังหารแพร่กระจายไปทั่วท้องฟ้า และเข้าปกคลุมนิกายหยุนไห่
“เฮ้อ…” ผู้าุโเป่ยถอนหายใจออกมา แววตาเต็มไปด้วยความเศร้าโศก เขาค้นพบเื่นี้ช้าไป นิกายหยุนไห่ได้ถูกต้วนเทียนหลางปิดล้อมแล้ว
พื้นดินยังคงสั่นะเืและเศษฝุ่นคละคลุ้งไปทั่วอากาศ ในตอนนั้นเองผู้คนต่างเงยหน้าขึ้นมองไปเหนือหุบเขา ก็เห็นกองทหารม้าโลหิตโอบล้อมไว้ ในมือของพวกเขาต่างถือคันธนูและมีท่าทางพร้อมโจมตีได้ตลอดเวลา
“กองทหารม้าโลหิต” หลินเฟิงหรี่ตาลง เป็ไปได้อย่างไรที่กองทหารม้าโลหิตจะปิดล้อมที่นี่ไว้?
หลินเฟิงกวาดสายตามองไปที่ฝูงชนเพื่อหาหลิ่วเฟย และเห็นหลิ่วเฟยมีท่าทีตื่นตระหนกใอย่างชัดเจน
เป็ไปได้อย่างไร มันจะเป็ไปได้อย่างไร?
หลิ่วเฟยมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กองทหารม้าโลหิตที่อยู่ภายใต้คำสั่งของบิดา กำลังทำการปิดล้อมนิกายของบิดานาง
“หรือว่านี่จะเป็คำสั่งของท่านพ่อ?” หลิ่วเฟยครุ่นคิดอย่างแปลกใจ และรู้สึกว่าความคิดนี้ดูจะไร้สาระไปหน่อย มันจะเป็ไปได้อย่างไร? ท่านพ่อของนางไม่มีทางออกคำสั่งอะไรแบบนี้แน่
ทั้งหมดนี่ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“ต้วน… เทียน… หลาง…” ตอนนี้ั์ตาของหนานกงหลิงเ็าขึ้น และมองไปที่ต้วนเทียนหลางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร
“หนานกงหลิง อย่าได้มองข้าแบบนี้สิ นี่เป็กองกำลังทหารม้าโลหิตของพี่น้องเ้า หลิ่วชั่งหลันอย่างไรเล่า ถ้าจะหาคนผิดก็ไปหาเขาสิ”
ต้วนเทียนหลางแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น และเป็รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย
ในตอนนี้การสั่นะเืยังคงไม่หยุด ้าของหุบเขาเต็มไปด้วยกองทหารม้าโลหิต และยังมีกองทหารม้าอีกส่วนหนึ่งกำลังหลั่งไหลมาที่ลานประลองเป็ตาย
พวกเขาถูกปิดล้อมไว้หมดแล้ว ต่อให้มีปีกงอกออกมาก็ยากที่จะหนีพ้น ทุกคนในนิกายหยุนไห่ต่างก็มารวมตัวกันอยู่ที่นี่หมด แต่นาทีนี้คงไม่มีใครสามารถหนีพ้นไปได้อย่างแน่นอน
เหล่าศิษย์ของนิกายหยุนไห่ต่างสั่นสะท้านไปด้วยความกลัว ทำไมถึงเป็เช่นนี้?! แล้วคนเหล่านี้้าอะไร?”
ความรู้สึกตื่นตระหนกได้เริ่มแพร่กระจายไปทั่วทั้งหุบเขาเมฆพายุ ในลานประลองเป็ตายเริ่มเกิดความวุ่นวายขึ้นมา
