หลันฮวารีบจ้ำอ้าวไม่มองผู้คน ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อเดินผ่านโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใจกลางตลาด หญิงสาวมองดูผู้คนที่นั่งกินอาหารกันพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวอย่างอบอุ่น สายตาแห่งความโดดเดี่ยวฉายวาววับออกมา ให้เถ้าแก่ร้านนึกสงสารในฐานะของนาง เขาจึงกวักมือเรียกนาง
“เ้าอยากกินอาหารฤาไม่ เพียงบอกข้า ข้าไม่คิดเงิน” น้ำเสียงใจดีพูดขึ้น ก่อนที่หลันฮวาจะรู้สึกตัวแล้วรีบวิ่งหนีไปทางอื่น หญิงสาววิ่งหลบมายังอีกทางที่ผู้คนไม่พลุกพล่าน พร้อมกับห่อผ้าบรรจุสิ่งของที่ขโมยมาเต็มห่อ สองเท้าเหยียบไปตามพื้นถนนพร้อมกับหันมองไปทางด้านหลังเป็ระยะด้วยกลัวจะมีผู้ใดตามติดมา
หลันฮวารีบกลับมายังศาลเ้าร้างแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีด้วยความรีบร้อน สายตาหวานทอดมองเสื้อผ้าชุดเก่าที่ขาดวิ่นเป็ครั้งสุดท้ายก่อนจะโยนทิ้งไป หลังจากนั้นจึงย่อตัวลงนั่งกินอาหารที่ขโมยมาด้วยความเอร็ดอร่อย ภายใต้แสงเทียนที่นางจุดเพื่อให้แสงสว่างนั้น
อยู่ ๆ หลันฮวาก็รู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นมาจนถึงกับต้องวางอาหารลงกับพื้นด้วย พลันหัวใจอ่อนแรงวาบลงในทันทีเมื่องนึกถึงครอบครัวในอดีตของนาง
หลันฮวาเกิดและเติบโตมา ท่ามกลางกระท่อมไม้ที่ใกล้ผุพังเต็มที ั้แ่จำความได้มีเพียงยายฝู เป็ผู้เลี้ยงดูมาั้แ่แบเบาะ ทว่ายายฝูทำให้หลันฮวาเคลือบแคลงหลายอย่าง ทำราวกับนางไม่ใช่หลานสาวแท้ ๆ บังคับให้นางไปเป็ขอทานั้แ่เดินไม่ได้ ทั้งยังตบตีเมื่อหาเงินกลับมาไม่ตรงตามกำหนด
นับจากเด็กจนโตหญิงสาวโดนทารุณทั้งร่างกายและจิตใจ นับครั้งไม่ถ้วน เมื่อนึกถึงความหลังแล้วทำให้หลันฮวารู้สึกเ็ปจนไม่อาจกลืนอาหารลงคอได้ นางเลื่อนสายตามองพระพุทธรูปแล้วน้ำตาเอ่อขึ้น
“เหตุใดข้าจึงเกิดมาอาภัพนัก เป็ขโมยที่ผู้คนต่างหวาดกลัวและรังเกียจ นับจากเด็กจนโตข้าไม่เคยรู้จักอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นจากครอบครัวเหมือนเช่นผู้อื่น แม้แต่ยายแท้ ๆ ของข้ายังรังเกียจนางพูดอยู่บ่อยครั้ง ว่าข้าไม่ควรอยู่บนโลกใบนี้...” หญิงสาวหลุบตาต่ำลงครู่หนึ่ง ก่อนจะเลื่อนสายตาหวานขึ้นมองพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ระหว่างรูปปั้นเทพเ้าหลายองค์เรียงรายนับสิบ
“ข้าขอพรว่า...หากข้าพ้นจากการเป็ขอทานแล้ว ข้าจะทำแต่ความดี จะไม่ขโมยของผู้อื่นเช่นนี้อีก” หญิงสาวหันใบหน้าเศร้ามองตรงไปยังพระพุทธรูปนั้น ที่นั่งมองตรงมาด้วยสายตาเมตตา
หลังจากนั้น ข่าวเื่ขโมยที่ออกอาละวาดในแคว้นเทียนกู่ ก็แว่วมาถึงจวนผู้ว่าการ ซึ่งรับตำแหน่งจากวังหลวงในการปกครองแคว้นเทียนกู่ให้อยู่ร่มเย็นเป็สุข ใต้เท้าตงซันเป็ที่รักใคร่ของชาวเมืองมายาวนานหลายสิบปี ด้วยเพราะปกครองดูแลประชาชนให้ผาสุกเสมอมา ชายกลางคนวางมือจากกระดาษตรงหน้า แล้วหันไปถามผู้ใต้บัญชาด้วยน้ำเสียงเมตตา
“หัวขโมยออกอาละวาดอีกแล้วฤา”
“เรียนใต้เท้า วันนี้มีชาวบ้านเข้ามาแจ้งเกี่ยวกับของหายหลายราย โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็พ่อค้าแม่ค้า ของที่ขโมยไปก็จะเป็พวกอาหารและเสื้อผ้า”
“เป็หัวขโมยคนเดิมฤาไม่”
“เรียนใต้เท้า..ข้าไม่ทราบแน่ชัดนักว่าหัวขโมยรายนี้จะเป็ผู้เดียวกันฤาไม่” หลังจากผู้ใต้บัญชารายงานเสร็จ ชายกลางคนจึงพยักหน้าขึ้นลง แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“หากเป็คนเดียวกัน เหตุใดจึงยังออกอาละวาดอยู่อีก ในเมื่อหยุดอาละวาดไปนานหลายเดือนแล้ว...จงสั่งให้ทหารออกตรวจตราคุมเข้ม แล้วมีพ่อค้าแม่ค้าคนใดเห็นหน้าหัวขโมยฤาไม่”
“ชาวบ้านพูดตรงกันว่าหัวขโมยรายนี้เป็หญิง แต่นางจะคลุมหน้ามิดชิด ไม่มีผู้ใดเห็นหน้าตาที่แท้จริงของนาง”
“นั่นก็อาจเป็คนเดียวกัน กับที่เคยออกอาละวาดหนักเมื่อไม่นานมานี้...เช่นนั้นข้าฝากให้เป็หน้าที่ของเ้า ดูแลตรวจตราคุมเข้มให้มากขึ้นกว่าแต่ก่อนเป็สองเท่า อย่าให้ชาวบ้านต้องอยู่อย่างหวาดระแวง”
หลังจากน้อมรับคำสั่งแล้ว ผู้ใต้บัญชาก็จัดการทำหน้าที่ทันที โดยส่งทหารเข้าไปยังตลาดแห่งนั้น และติดประกาศรางวัลนำจับหัวขโมยรายนี้ไว้ทั่วทุกมุมถนน เหล่าบรรดาชาวเมืองต่างพากันมารุมล้อมประกาศนั้นด้วยความสนใจ
“รางวัลนำจับมากมายเช่นนี้ อย่างไรเสียพวกเราก็ต้องจับมันได้”
“ข้าอยากให้จับมันได้เร็ว ๆ ข้าล่ะอยากเห็นหน้านังหัวขโมยผู้นี้นัก” ชายหนุ่มรูปงามในชุดสีขาวสะอาดตา ยืนมองประกาศของทางการด้วยสายตาใคร่รู้ ท่ามกลางการวิจารณ์ของเหล่าชาวบ้าน ที่พากันเข้ามารุมล้อมประกาศนั้น หวงซีเหรินขมวดดคิ้วเล็กน้อย พลันหันใบหน้าหล่อเหลากลับไปยังผู้ติดตามอย่างอู่เจ๋อ แล้วตัดสินใจก้าวเดินผ่านผู้คนออกมาด้วยความแปลกใจ
“ข้าไม่อยู่สองปี เหตุใดตลาดแห่งนี้จึงมีขโมยมาทำความเดือดร้อนให้กับชาวเมือง เป็ไปได้ฤาไม่ว่าหัวขโมยรายนี้จะเป็คนเดียวกันกับที่เคยออกอาละวาดในครั้งก่อน ๆ” อู่เจ๋อได้ฟังดังนั้นจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบคำถามพร้อมกับก้าวเท้าตามหวงซีเหรินไปเรื่อย ๆ
“อาจมีความเป็ได้ หัวขโมยรายนี้มักจะออกอาละวาดครั้งหนึ่ง แล้วเงียบหายไปพอให้เื่เงียบ นางก็กลับมาอาละวาดอีก แต่หากใต้เท้าตงซันออกประกาศมาเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่านางเริ่มออกอาละวาดบ่อยมากขึ้น จนเริ่มเป็ภัยกับชาวเมือง ไม่นาน..ข้าเชื่อว่าต้องจับได้แน่ ๆ”
