สติรับรู้ของซ่างกวนจือหลินล่องลอยไปยังห้วงเวลาอันไกลแสนไกล
เมื่อร่างกายและจิติญญาของมนุษย์อ่อนแอถึงขั้นขีดสุด ย่อมเป็จุดดึงดูดพลังแห่งความชั่วร้าย หรืออาจจะก่อให้เกิดนิมิตภาพที่์หรือนรกอยากให้ข้าได้รับรู้
ร่างเล็กเมื่อถอดชุดเกราะที่ทั้งหนาและหนักออกจนหมด ก็เผยให้เห็นร่างกายอันผ่ายผอมของผู้สวมใส่ เป็เวลากว่าห้าวันห้าคืนที่หญิงสาวหมดสติไป หมอหลวงหลายสิบชีวิตต่างถูกเชิญมาอย่างลับๆ ทั้งยังมีท่านหมอชราที่เดินทางมาพร้อมกับคนตระกูลซ่างกวนเมื่อสองวันก่อน ทุกคนต่างรวมตัวกันอยู่ที่จวนอิงกั๋วกง บรรยากาศภายในจวนปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกแห่งความกดดัน
ทุกคนต่างหลับตาลงด้วยความทรมานจิตใจ เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของหญิงสาวที่ดังลอดออกมาจากเรือนนอน เสียงกรีดร้องนั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน ท่านหมอที่มาเฝ้าดูอาการต่างก็จนปัญญา
เฉินอี้กอดประคองร่างผอมบางเอาไว้ในอ้อมกอดโดยไม่สนใจสายตาของผู้ใด ชายหนุ่มต้องออกแรงเล็กน้อยถึงจะสามารถควบคุมร่างเล็กที่กำลังดิ้นรนอย่างทุรนทุราย หมอเทวดาที่มาจากตระกูลซ่างกวนต่างก็ทำทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้ เมื่อหมดหนทางรักษาร่างกายจึงกล่าวได้ว่าผลกระทบจากค่ายกลเก้าสังหารในยามนี้กำลังโจมตีจิตใจและจิติญญาของผู้สร้างอย่างรุนแรง
ยิ่งผู้ที่มีความแค้นในจิตใจมากเพียงใดยิ่งส่งเสริมให้แรงอาฆาตกัดกินจิตใจและจิติญญามากเท่านั้น เฉินอี้ที่ได้รับฟังเช่นนั้นก็ได้แต่หลับตาลงอย่างหมดสิ้นหนทาง มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าหญิงสาวสั่งสมความคับแค้นเอาไว้ภายในจิตใจของตนเองมากเพียงใด แม้จะรับรู้เช่นนี้แต่ชายหนุ่มกลับยื่นมือเข้าช่วยเหลือนางไม่ได้แม้แต่น้อย นางต้องหลุดพ้นจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตชาติด้วยตนเอง นางต้องรับรู้ให้ได้ว่าตนเองได้เกิดใหม่ในชาตินี้แล้ว
...
“ท่านผู้นำตระกูล! ทัพหลวงเคลื่อนพลมาปิดล้อมด้านหน้าหุบเขาเอาไว้หมดแล้วขอรับ”หนึ่งในผู้าุโประจำตระกูลวิ่งเข้ามากล่าวรายงานยังห้องโถงหลัก
“ข้าทราบแล้ว อู๋ิน้องสามกับพวกเด็กๆ จากไปไกลแล้วใช่หรือไม่”ซ่างกวนอู๋จี๋เอ่ยถามน้องรองของตนด้วยแววตาเหนื่อยล้า หนึ่งเดือนก่อนพวกเขาได้ข่าวสารจากเมืองหลวง ตระกูลซ่างกวนถูกใส่ร้ายว่าสมคบคิดกับแคว้นเหลียวชักศึกเข้าบ้านหวังล้มล้างราชวงศ์ อิงกั๋วกงผู้เฒ่าออกรบกับแคว้นเหลียวจนสิ้นชีพ ผู้สืบทอดเข้ารับตำแหน่งอิงกั๋วกง เดินทางไปด่านซางหยางเพื่อปราบปรามชนเผ่าซยงหนู ชนเผ่าเร่ร่อนที่มาก่อความไม่สงบนับั้แ่สามหัวเมืองใหญ่ถูกตีแตก
หนึ่งเดือนมานี้มีคำสั่งให้เหล่าทหารและครอบครัวแยกย้ายกันไปก่อนที่ฮ่องเต้จะมีพระราชโองการลงมา ทุกคนต่างตัดสินใจได้เองว่าจะเลือกไปตั้งรกราก ณ ที่แห่งหนใด ส่วนลูกชายลูกสะใภ้และเหล่าหลานๆ เดินทางไปยังดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อขอความคุ้มครองจากตระกูลเฉิน ซ่างกวนอู๋จี๋รู้ดีว่านี่เป็คำขอที่มากเกินไป ทว่าตัวเขาในยามนี้ไร้ซึ่งทางเลือก
“ทหารส่วนใหญ่ของเราต่างกระจายกันออกไปจนเกือบหมดแล้ว เหลือกำลังพลไว้ไม่ถึงห้าพันนาย ในบรรดาทหารเหล่านี้ต่างยืนหยัดแน่วแน่ที่จะละทิ้งวาระสุดท้ายไว้ที่หุบเขาิญญาพยัคฆ์แห่งนี้ พี่ใหญ่...เหตุใดเราถึงต้องก้มหน้ารอรับความตายเช่นนี้”ซ่างกวนอู๋ิอดไม่ได้ที่จะเอ่ยคำถามที่อัดแน่นอยู่ในใจของเขามานาน ด้วยกำลังทหารที่มีหากอยากใต้หล้า ย่อมมิใช่เื่ยาก
เหตุใดต้องทนกล้ำกลืนความอัปยศเช่นนี้
“อาิบรรพบุรุษท่านได้ร่วมสร้างแว่นแคว้นขึ้นมาด้วยสองมือ ด้วยเืเนื้อมาทั้งชีวิต หากเรายอมสละชีพในรุ่นนี้วันหน้าย่อมมีหนทางกอบกู้ชื่อเสียง ทว่ากลับกันหากเราลุกขึ้นมาต่อต้าน หันคมดาบเข้าใส่คนร่วมชาติเช่นนั้นแล้ว เกียรติยศที่บรรพบุรุษทั้งห้าสิบกว่ารุ่นที่ผ่านมาจะต้องสูญสิ้นไป จากนี้หากเอ่ยนามตระกูลซ่างกวนในสายตาผู้คนใต้หล้าก็เป็ได้เพียงคนทรยศต่อแผ่นดิน!”เขาจะทำเช่นนั้นไม่ได้ บุตรหลานกระทำความผิดย่อมต้องให้คนเป็ปู่เช่นเขารับโทษแทน เพราะปู่เช่นเขาสั่งสอนบุตรหลานไม่ดีพอจึงทำให้วงศ์ตระกูลต้องมีมลทิน
เสียงรัวกองศึกดังสนั่นไปทั่วหุบเขา เปลวไฟลุกโชนไปทั่วผืนฟ้า เพื่อป้องกันผู้ที่คิดจะหลบหนีทัพหลวงที่ยกมาปราบฏจึงใช้ยุทธการทะเลเพลิง การจุดไฟให้ลุกโหมเช่นนี้ช่วยขับไล่หมอกหนาทึบที่ปกคลุมรอบๆ หุบเขาออกไปจนหมด นั่นจึงง่ายต่อการบุกโจมตี เสียงการเข่นฆ่าดังก้องเป็เวลายาวนาน เพียงเพราะ้าลวงอีกฝ่ายว่าที่หุบเขาแห่งนี้ถูกโจมตีอย่างกะทันหัน ทั้งทหารชาวบ้านที่เต็มใจจะอยู่ต่อ เพื่อให้ศัตรูคิดว่าไม่มีผู้เหลือรอดออกไปแม้แต่ผู้เดียว
ที่พวกเขาเต็มใจสละชีวิตเพื่อให้ครอบครัวไม่ต้องถูกตามล่า
เหล่าทหารและชาวบ้านทั้งหลายต่างมองไปยังท่านผู้นำตระกูลที่นั่งอยู่บนอาชาศึก ชายชราเส้นผมขาวโพลนหลังงองุ้มเล็กน้อยแสดงให้เห็นว่าเขาหมดสิ้นปณิธาน ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจว่าเป็เพราะท่านผู้นั้นจึงทำให้คนในหุบเขาิญญาพยัคฆ์ต้องเดือดร้อน
เสียงโห่ร้องอย่างฮึกเหิมของกองทัพหลวงทำให้เหล่าทหารที่ตั้งทัพอยู่หลังป้อมปราการต่างหลับตาลงราวกับยอมรับชะตากรรม ประตูเหล็กค่อยถูกเปิดออกช้าๆ ทหารทั้งสองฝ่ายต่างเข้าต่อสู้โรมรันกันอย่างห้าวหาญ ขณะเดียวกันเสียงะเิก็ดังกึงก้องจนทั่วทั้งแผ่นดินสั่นะเื บ้านเรือน ตึก ร้านค้า หอตำรา ศาลบรรพบุรุษ ทุกสิ่งถูกแรงะเิทำลายจนสิ้น เปลวไฟลุกโหมอย่างรุ่นแรง ทัพหลวงยกพลมาสามแสนนายย่อมกำจัดศัตรูที่มีกำลังพลไม่ถึงหนึ่งหมื่นในเวลาไม่ถึงหนึ่งคืน
เมื่อฝุ่นธุลีปลิวหายไปกับสายลม
ศพทหารกล้านอนเรียงรายไปทั่วผืนดิน โลหิตไหลรินดั่งผืนธารา
หนึ่งผู้นำชรายืนหยัดแม้ตัวตาย มีทวนคู่กายอยู่เคียงข้างจนวาระสุดท้าย
สิ้นชีพด้วยคมดาบที่แทงตัดขั้วหัวใจ
...
ภาพเหตุการณ์นั้นแจ่มชัดดั่งตัวข้าเป็ผู้ชมที่นั่งชิดติดขอบเวที แม้กระทั่งเสียงคมกระบี่ที่แทงตัดขั้วหัวใจของขุนพลชรานั้นยังดังก้องอยู่ในหัวของข้าไม่หยุด มันส่งเสียงสะท้อนบีบอัดจนหัวของข้าแทบจะะเิ ข้าอยากตื่นจากความฝันอันโหดร้ายนี้ ข้าไม่อยากมองภาพเหล่านี้
อา----อ๊ากกกกกก!!!
ร่างอันซูบผอมที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียงเกร็งกระตุกอย่างรุนแรง พร้อมกับเปล่งเสียงกรีดร้องออกมาจนสุดเสียง ห้าวันห้าคืนที่เ้าตัวมีอาการเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดจะส่งเสียงปลุกให้ตื่นนางก็ไม่มีท่าทีตอบสนอง แม้ครั้งหนึ่งนางจะเพ้อหาผู้เป็ปู่ ทว่าเมื่อชายชราเดินทางมาถึง ยิ่งเขาส่งเสียงเรียกอาการของนางยิ่งหนักหนา
ทุกคนในห้องได้แต่มองด้วยความเวทนา ทั้งยังกล่าวโทษตนเองไม่หยุด คนที่ใช้การได้มีมากมายเหตุใดจึงยอมให้เด็กสาวอายุสิบสี่เอาชีวิตไปเสี่ยงเช่นนั้น ในห้องนอนอันกว้างใหญ่อัดแน่นไปด้วยคนตระกูลซ่างกวนและตระกูลเฉิน หลายวันมานี้พวกเขามิได้อยู่เฉยต่างก็ออกไปหาหมอมาทั่วสารทิศ
“ท่านกั๋วกง ฝูกงกงมาขอพบเ้าค่ะ”เสียงรายงานของบ่าวรับใช้ดังขึ้นที่ด้านหน้าประตูเรือน
พอได้ยินว่าเป็ฝูกงกงอิงกั๋วกงก็เดินออกไปพบคนทันที
“กงกงทางฝ่าามีความคืบหน้าบ้างหรือไม่”เื่อาการป่วยของยายหนูทั้งสามครอบครัวต่างรับรู้ ฝ่าาซึ่งเป็ผู้มีอำนาจสูงสุดและหน่วยข่าวกรองที่ดีที่สุดก็ได้รับปากว่าจะช่วยอีกแรง เห็นฝูกงกงมาด้วยตนเองเช่นนี้คงเป็เื่ดีแน่ๆ
“ฝ่าาให้ข้าน้อยล่วงหน้ามาแจ้งข่าว อีกครึ่งชั่วยามฝ่าาและฮองเฮาจะเสด็จมาพร้อมกับผู้ที่จะมาช่วยเหลือซางหยางอ๋องในครั้งนี้ ขอให้ทุกท่านโปรดเตรียมตัวเอาไว้ให้พร้อม”กงกงเฒ่าแจ้งข่าวเสร็จแล้วก็กลับไปเตรียมความพร้อมในส่วนของตนทันที
ครึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เหล่าคนตระกูลเฉินและตระกูลซ่างกวนต่างยืนรอรับแขกผู้สูงศักดิ์อยู่หน้าประตูจวนอย่างพร้อมเพรียง รถม้าคันใหญ่ที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายสองคันแล่นมาหยุดลงที่หน้าจวนอิงกั๋วกงช้าๆ แม้จะเป็เพียงรถม้าธรรมดามีผู้ติดตามไม่กี่คน แต่เชื่อได้เลยว่ารอบๆ นี้ต้องมีเหล่าองครักษ์ส่วนพระองค์ซุ่มอยู่ในที่ลับเป็จำนวนมากเป็แน่
บุรุษวัยกลางคนก้าวลงมาจากรถม้าก่อนเป็คนแรกก่อนจะถามมาด้วยสตรีที่สวมอาภรณ์เรียบง่าย นั่นคือฮ่องเต้และฮองเฮา ส่วนรถม้าคันที่สองมีผู้ก้าวลงมาเพียงหนึ่ง เป็ภิกษุชราที่ใครหลายคนเคยพบปะ ผู้ที่ว่านั้นก็คือเฉินปินและซ่างกวนอู๋จี๋นั่นเอง
“ไต้ซือเสวียนจั้ง”เป็เฉินปินที่เดินเข้าไปกล่าวทักทายภิกษุชราก่อน
“ประสกเฉิน ประสกซ่างกวน หลายสิบปีก่อนที่พบกันหนล่าสุดพวกท่านทั้งสองไม่ได้มีสภาพย่ำแย่เช่นนี้”ผู้ทรงศีลกล่าวทักทายสหายธรรมด้วยความเป็กันเอง
“ภิกษุเช่นเ้าเดี๋ยวนี้หัดเอ่ยวาจาถากถางเป็แล้วหรือ รีบไปช่วยหลานสาวข้าก่อนเถิด”ซ่างกวนอู๋จี๋เร่งเร้าอีกฝ่ายอย่างร้อนใจ เหตุใดชายชราจะไม่คิดตามสหายผู้นี้มาเพียงแต่เ้าลาหัวโล้นนี่หากไม่้าให้หาตัวพบก็อย่าหวังว่าจะเจอเลย
ปากก็พ่นแต่ลิขิต์มิอาจแพร่งพรายอยู่นั่น
“ประสกซ่างกวนยังคงใจร้อนไม่เปลี่ยนดังเดิม อาตมายังคงยึดมั่นในข้อปฏิบัติที่ว่า ลิขิต์มิอาจแพร่งพรายดังเดิมนั่นแล...”ใต้ซือเสวียนจั้งพนมมือไว้กลางหว่างอกกล่าว อามิตาพุทธ ออกมาหนหนึ่งแล้วเดินนำเข้าไปในจวนอย่างรวดเร็ว
ภายในเรือนนอนที่ซ่างกวนจือหลินพำนักอยู่นั้นแม้จะเพิ่มแขกขึ้นมาอีกสามท่านก็มิได้ทำให้แออัดแม้แต่น้อย ทุกคนต่างมองภิกษุชรากำลังยืนอยู่ด้านข้างเตียงไม้หลังใหญ่ ท่านยืนสงบนิ่งมาพักใหญ่ผู้ที่สายตาดีหน่อยก็จะเห็นว่าใต้ซือกำลังขยับปากท่องบางสิ่งอยู่
“ใต้ซือท่านเห็นว่าเป็เช่นไร ยังจะพอมีหนทางแก้ไขหรือไม่”เมื่อเห็นว่าใต้ซือลืมตาขึ้นแล้วหันกลับมาทางพวกเขา ซ่างกวนอู่จี๋ที่รอจังหวะอยู่ก็เอ่ยถามทันที
“ประสกซ่างกวนโปรดวางใจ สรรพสิ่งล้วนมีครรลองเป็ของตน ด้วยวิบากกรรมที่สีกาน้อยท่านนี้ต้องเผชิญนั้นหนักหนาเกินกว่าที่นางจะรับไหว นี่จึงส่งผลกระทบต่ออายุขัยและจิติญญาตื่นรู้ของนาง ยามนี้นางติดอยู่ในวังวนความสูญเสียจากอดีตชาติ สิ่งที่นางสูญเสียนั้นหนักหนาจนยากจะหลุดพ้น”
“...”
“หนทางเดียวที่จะทำให้สีกาน้อยตื่นขึ้นมาจากห้วงฝัน คือต้องมีบุคคลที่จะสามารถนำพานางกลับมายังโลกความเป็จริง...”ใต้ซือเสวียนจั้งหยุดกล่าวแล้วหันกลับไปมองคนที่อยู่บนเตียงเงียบๆ ทุกคนต่างมองตามสายตาของท่านใต้ซือไป ก็เห็นว่าท่านกำลังประสานสายตากับบุรุษที่กำลังกอดประคองร่างของซ่างกวนจือหลินเอาไว้ไม่ห่าง
ใต้ซือเสวียนจั้งไม่ได้ปล่อยให้ทุกคนข้องใจนานนัก
“มีพิธีกรรมหนึ่งที่สืบทอดต่อกันมาั้แ่โบราณ เป็พิธีกรรมขั้นสูงที่จะหลอมรวมจิติญญาของคนสองคนให้เป็หนึ่งเดียวกัน ผู้ที่ผ่านพิธีกรรมนี้จะกลายเป็ส่วนหนึ่งของกันและกันอย่างสมบูรณ์ ทั้งสองจะใช้จิติญญาและอายุขัยร่วมกัน ลมหายใจหนึ่งเดียงกัน”
เมื่อผ่านพิธีกรรมนี้ไปแล้ว...
แม้พวกเ้าทั้งสองจะมิได้ถือกำเนิดมาพร้อมกัน ทว่าวันเวลานับจากนี้ไป พวกเ้าทั้งสองจะหลอมรวมจิตใจเป็หนึ่ง ทั้งความห่วงหา ทั้งความรู้สึกทั้งปวงจะหยั่งลึกจวบจนวันตาย
“ขอถามประสกเฉินอี้ เ้ายอมรับได้หรือไม่”
“ผู้น้อยเฉินอี้...ยินยอมจากใจจริงขอรับ”