ในขณะที่กงจื้อิกำลังจะโบกมือให้พวกเขายกเข้าไปวางไว้ในห้อง เขาจะได้ค่อยๆ ดูตอนกลางคืน แต่บังเอิญเห็นติงเหว่ยที่มือหนึ่งถือสมุดบัญชีและอีกมือหนึ่งถือลูกคิดอยู่เสียก่อน ท่าทางคล่องแคล่วและชำนาญเป็อย่างมาก ทำให้ดวงตาของเขาทอประกายขึ้นมาและยกมือขึ้นชี้ไปที่นาง
ท่านลุงอวิ๋นที่อยู่เคียงข้างเขามาหลายปีก็เข้าใจเจตนารมณ์ของนายน้อยได้ทันที เขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ลังเลอยู่บ้าง สมุดบัญชีพวกนี้ถึงแม้จะเป็แค่บันทึกกระแสเงินเข้าออก ทว่าหากสังเกตดีๆ ก็จะเห็นไพ่ตายในเงามืดที่ตระกูลกงจื้อซ่อนเอาไว้ได้ ถ้าจะส่งให้หญิงสาวคนหนึ่งก็นับว่าเป็เื่เสี่ยงอยู่ไม่น้อย ต่อให้หญิงสาวคนนี้จะให้กำเนิดสายเืของตระกูลกงจื้อก็ตาม
“ส่งให้นางจัดการไปเถอะ”
กงจื้อิเองก็รู้ถึงความกังวลของบ่าวชราเช่นกัน เขาโบกมืออย่างสบายๆ แล้วก็ฝึกเดินต่อไป คราก่อนที่ซีจิงส่งข่าวมาว่าฮ่องเต้พระองค์ใหม่ได้ปะาชีวิตขุนนางผู้ซื่อสัตย์ทั้งครอบครัวและเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอีกสามเท่า หากว่าเขาคาดการณ์ไม่ผิดฤดูใบไม้ร่วงในปีหน้าจะเป็่เวลาลงมือที่ดีที่สุด ต่อให้เขาไม่สามารถจะขี่อาชาและปราบศัตรูได้ แต่เขาก็ยังต้องยืนอยู่เพื่อเป็ขวัญกำลังใจให้กับกองกำลังของเขา
ติงเหว่ยที่กำลังทำอะไรหลายอย่างพร้อมกัน จึงไม่ทันสังเกตเห็นการกระทำลับๆ ระหว่างนายบ่าวเมื่อครู่นี้ ดังนั้นเมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นท่านลุงอวิ๋นยกกล่องหนึ่งใบที่เต็มไปด้วยสมุดบัญชีมาวางเอาไว้บนโต๊ะของนางและถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านลุงอวิ๋น นี่คืออะไรอย่างนั้นหรือ”
ท่านลุงอวิ๋นยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วเขาก็พูดว่า “นี่คือสมุดบัญชีทรัพย์สินบางส่วนของสกุลอวิ๋น ใกล้จะถึงเวลาที่ต้องตรวจสอบบัญชีปลายปี เดิมทีงานนี้เป็ของข้า ทว่าตาของข้าก็ลายไปหมดแล้ว และในใจเองก็รู้สึกว่าเหนือบ่ากว่าแรงจริงๆ ่ไม่กี่วันนี้ข้าเห็นแม่นางติงจัดการดูแลร้านได้อย่างรวดเร็วและรอบคอบ ข้าก็เลยอยากจะยืมแรงแม่นางติงสักหน่อย…”
“เอ่อ ท่านลุงอวิ๋น” ติงเหว่ยไม่ได้เห็นลุงอวิ๋นเกรงใจกับนางขนาดนี้ตั้งนานแล้ว นางจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยแล้วรีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วพลางถามว่า “ก็แค่กดลูกคิดไม่กี่ครั้งเอง เป็เื่เล็กน้อยเท่านั้น ท่านลุงอวิ๋นอย่าได้เกรงใจขนาดนั้นเลย”
ท่านลุงอวิ๋นถูมือด้วยความลำบากใจแต่สุดท้ายก็เสริมอีกสองสามประโยคว่า “สมุดบัญชีเล่มนี้เกี่ยวข้องกับเื่สำคัญในครอบครัว คงต้องขอให้แม่นาง เอ่อ เก็บเป็ความลับ”
เมื่อติงเหว่ยได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจแจ่มแจ้งในทันทีและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านลุงอวิ๋นโปรดวางใจ ข้าไม่ใช่คนชอบนินทาอยู่แล้ว อีกอย่าง่นี้อันเกอเอ๋อร์ก็ชอบก่อปัญหา สองสามวันนี้ข้าจะซ่อนตัวอยู่ที่นี่เพื่อตรวจสอบบัญชีและแอบอู้งานสักหน่อย”
ท่านลุงอวิ๋นยิ้มแย้มแจ่มใสเมื่อได้ยินดังนั้น เขาจึงรีบตอบกลับไปว่า “ร้านค้าที่อยู่ทั่วประเทศได้ส่งของขวัญมาให้เป็จำนวนมาก ตามขนบธรรมเนียมของจวนสกุลอวิ๋น หนึ่งในสามส่วนจะส่งให้ผู้ตรวจสอบบัญชีเป็การขอบคุณ วันพรุ่งนี้ข้าจะให้หลินลิ่วเอาของมาส่งให้ที่ห้องข้างๆ”
งานง่ายๆ สบายๆ และยังมีค่าตอบแทน ติงเหว่ยจึงรู้สึกมีความสุขมากขึ้นไปอีก หลังจากที่นางทำบัญชีของร้านค้าตนเองเสร็จก็เริ่มหยิบสมุดบัญชีที่อยู่้าสุดของกล่องมาเริ่มคำนวณและตรวจสอบ
ในที่สุดนางก็เข้าใจในความกังวลของลุงอวิ๋น เหตุผลก็คือจำนวนเงินที่เกี่ยวข้องกับสมุดบัญชีมีมากเกินไปมาก ไม่ทันไรก็หนึ่งร้อยสองร้อยตำลึง สมุดบัญชีหนึ่งเล่มจากหน้าปกจนถึงหน้าสุดท้ายมีกระแสเงินมากกว่าสามพันห้าร้อยตำลึง หากเอาทั้งกล่องรวมกัน อย่างไรก็จะต้องมากกว่าสองสามแสนตำลึง!
ติงเหว่ยอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ ปกตินางก็คิดว่าสกุลอวิ๋นร่ำรวยอยู่แล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าจะร่ำรวยมหาศาลขนาดนี้
ไม่น่าแปลกใจเลยที่นางซึ่งเป็แม่ครัวและหมอนวดจะได้รับของขวัญขอบคุณเป็บ้านและร้านค้า แต่สิ่งนี้ก็ทำให้นางรู้สึกสบายใจมากขึ้นด้วยเช่นกัน นางคิดไม่ออกจริงๆ ว่าครอบครัวชนชั้นสูงที่ร่ำรวยขนาดนี้จะมีแผนการอะไรกับลูกสาวตระกูลชาวนาอย่างนางได้
เดิมทีท่านลุงอวิ๋นยังมีความแคลงใจอยู่เล็กน้อย แต่หลังจากที่สังเกตอย่างระมัดระวังมาสองวันก็เห็นติงเหว่ยดื่มน้ำชาและดีดลูกคิดคำนวณไปด้วยท่าทีสบายๆ เหมือนกับที่ทำอาหารอยู่ในห้องครัวทุกวันไม่มีผิด
ผู้าุโเองก็มีบางอย่างที่ไม่เข้าใจจริงๆ หากจะพูดว่าแม่นางคนนี้ไม่โลภมาก เมื่อวานตอนที่เขาขนเสื้อผ้าเครื่องประดับและของใช้ต่างๆ ไปให้ นางเองก็ชอบใจจนยิ้มแย้มแจ่มใส หากจะพูดว่าไม่โลภ นางดูสมุดบัญชีที่มีกระแสเงินมากมายเ่าั้อย่างง่ายดายราวกับว่าเป็ผักกาดขาวสองหัว หัวไชเท้าหนึ่งหัว
เตรียมของปีใหม่ ตัดเย็บเสื้อผ้าใหม่ ทำความสะอาดห้อง ฆ่าหมูและฆ่าแกะ และตรวจสอบบัญชี วันยุ่งๆ มักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ ท่านลุงอวิ๋นเป็คนใจกว้าง ทำให้ทุกคนในจวนสกุลอวิ๋นล้วนได้รับเสื้อผ้าใหม่และเงินรางวัล ทุกคนต่างก็มีรอยยิ้มบนใบหน้าและวิ่งไปมารอบๆ ราวกับมีลมพัดอยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขา
เรือนทุกหลังได้ถูกกวาดจนสะอาด ส่วนใต้ชายคาก็มีการแขวนโคมแดงเรียงรายเป็แถว แม้แต่มือจับประตูก็ถูกเช็ดจนขึ้นเงา ติงเหว่ยเห็นว่าพรุ่งนี้ก็ถึงเสี่ยวเหนียนเอ๋อร์ [1] แล้ว ของเซ่นไหว้ทั้งหมดก็ถูกจัดเตรียมไว้หมดแล้ว นางจึงมีความคิดที่จะกลับบ้านไปดูท่านพ่อกับท่านแม่
……
กงจื้อิฝึกจับไม้เท้ามาเป็เวลาหลายวัน และตอนนี้เขาก็เชี่ยวชาญขึ้นมาก เมื่อได้ยินว่าติงเหว่ยกำลังจะกลับไปบ้านพ่อแม่ของนางเขาก็ไม่ได้คัดค้านและตอบว่า “ของขวัญที่ข้างนอกส่งเข้ามา เ้าเลือกเอาไปใช้สักหน่อยแล้วก็เอากลับไปด้วย”
ติงเหว่ยรีบโบกมืออย่างรวดเร็ว “ไม่เป็ไร ของที่บ้านข้าให้เฉิงต้าโหยวซื้อแล้วส่งไปให้ตั้งนานแล้ว ข้าแค่อุ้มอันเกอเอ๋อร์กลับไปก็เท่านั้น!”
กงจื้อิขมวดคิ้วราวกับว่าเขา้าจะคัดค้าน แต่สุดท้ายเขากลับบอกว่า “ไปเถอะ ตอนนี้ลมแรงและอากาศหนาว ใส่เสื้อผ้าเพิ่มให้อันเกอเอ๋อร์สักหน่อยด้วยล่ะ”
“ตกลง” ติงเหว่ยออกจากห้องหลักด้วยสีหน้าแปลกๆ เมื่อนางกลับมาที่ห้องแล้วเห็นลูกชายของนางที่กำลังกัดเท้าของเขาอยู่ นางก็อดไม่ได้ที่จะบ่นว่า “เ้าเด็กดื้อ ทำไมใครๆ ถึงได้พากันเอ็นดูเ้าขนาดนี้? ข้าที่เป็แม่เ้าจะอุ้มเ้าออกไปยังต้องขออนุญาตคนอื่น ราวกับแม่เป็แม่เลี้ยง แล้วเ้าก็เป็ลูกแท้ๆ ของเขาเสียอย่างนั้น”
อวิ๋นอิ่งที่กำลังก้าวเท้าเข้าไปในห้องได้ยินคำพูดเ่าั้ของแม่นางติงก็ใจนเกือบจะทำกาน้ำชาหล่น จากนั้นเมื่อเห็นแม่นางติงแย่งเท้าของลูกชายไปกัดทำให้อันเกอเอ๋อร์หัวเราะคิกคักออกมาไม่หยุด นางถึงได้คลายความกลัวในใจเมื่อครู่ลงไป
“แม่นาง ท่านจะกลับไปที่บ้านสกุลติงไม่ใช่หรือ รีบไปเก็บของเถอะ หากว่าเลยยามเที่ยงไปแล้วลมจะยิ่งหนาวขึ้นอีก!”
“ตกลง ข้าจะไปเก็บของเดี๋ยวนี้” หลังจากได้ยินดังนั้นติงเหว่ยก็ปล่อยเท้าของลูกชาย นางเปิดกล่องเพื่อหาชุดกระโปรงตัวใหม่ หลังจากสวมชุดกระโปรงแล้ว นางก็สวมเสื้อคลุมที่มีหมวกคลุมหัวอีกชั้นหนึ่งโดยทำจากผ้าฝ้ายสีเงินอมแดง ภายในบุด้วยหนังแกะ ทำให้อบอุ่นและกันลมด้วย ที่สำคัญที่สุดคือทำให้สีผิวของนางทั้งมีเืฝาดและดูสุขภาพดี มีความร่าเริงมากกว่าเดิมถึงสามส่วน
อันเกอเอ๋อร์เองก็เปลี่ยนเป็เสื้อคลุมตัวเล็กๆ สีฟ้าชุดหนึ่ง และสวมหมวกสีเดียวกันที่บุด้วยขนกระต่ายเอาไว้ข้างใน และข้างนอกก็ยังห่อด้วยผ้านวมสีแดง อวิ๋นอิ่งเกรงว่าถนนจะลื่นและทำให้คุณชายน้อยาเ็ นางจึงยืนกรานที่จะส่งห่อของให้ติงเหว่ย ส่วนนางก็ใช้เสื้อกันลมห่อให้อันเกอเอ๋อร์อย่างระมัดระวังอีกชั้นหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มออกเดินทาง
ติงเหว่ยเห็นแล้วรู้สึกไม่รู้จะทำอย่างไรดี และนางก็อิจฉาลูกชายของนางอีกครั้ง
……
ผู้ใหญ่สองคนและเด็กหนึ่งคนเดินทวนลมทางเหนือเป็เวลาราวหนึ่งเค่อก่อนจะมาถึงหน้าบ้านของสกุลติง บางคนในหมู่บ้านที่เห็นจากไกลๆ ต่างก็ยืดคอเพื่อมองไปรอบๆ อย่างสงสัย ติงเหว่ยก็ไม่สนใจเช่นกัน นางจะพยักหน้าเป็ครั้งคราวเมื่อพวกเขาพบกัน หากว่าพวกนางหลบไปอยู่ด้านข้างนางเองก็จะทำเป็มองไม่เห็น
คิดไม่ถึงว่าจะเป็เช่นนี้ ชาวบ้านยิ่งอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ติงเหว่ยจะเดินเข้าไปในบ้าน ชาวบ้านเองก็มารวมตัวกันเย็บผ้าอยู่ที่้าของเตียงเตาอันใหญ่และกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
ได้ยินมาว่าติงเหว่ยใช้เสน่ห์ล่อลวงชายผู้าุโของจวนสกุลอวิ๋น และกลายเป็นางกำนัลของเขา ไม่อย่างนั้นแม่ครัวคนหนึ่งจะสวมทองคำและใส่เงินได้อย่างไรกัน?
แล้วยังมีบางคนพูดว่า เมื่อก่อนเดิมทีไม่มีิญญาของท่านย่าเทวาูเา บางทีอาจเป็ิญญาร้ายมาก่อปัญหาหรือเปล่า ดังนั้นลูกที่ติงเหว่ยคลอดออกมาก็เป็ปีศาจเช่นกัน
กล่าวโดยรวมแล้วแต่ละคนก็มีความเห็นต่างกัน พวกผู้หญิงพูดแต่งเติมจนเื่ราวผิดเพี้ยนไปหมด ส่วนพวกผู้ชายที่รวมตัวกันในห้องหลัก หัวข้อนี้ก็ไม่เคยออกไปจากวงสนทนาเลย แต่ที่มากขึ้นในแต่ละวันก็คือความอิจฉาริษยาที่สกุลติงมีชีวิตเจริญรุ่งเรือง
คงไม่ต้องพูดถึงร้านไม้ที่เปิดอยู่ในเมือง ร้านอาหารที่มีซาลาเปาขาวๆ เกี๊ยวน้ำที่มีกลิ่นหอมๆ แล้วยังมีแผ่นแป้งทอด ไม่ว่าจะเป็แบบไหนต่างก็ไม่ใช่อาหารที่ชาวบ้านจะลิ้มรสได้ ทว่าครอบครัวสกุลติงกลับกินอิ่มอย่างนั้นทุกวัน แล้วเช่นนี้จะไม่ให้คนอิจฉาได้อย่างไร
และแน่นอนว่า ไม่ว่าชาวบ้านจะพูดอะไรติงเหว่ยเองก็ไม่รับรู้ ในขณะนี้นางก็กำลังเผชิญหน้ากับปากที่เต็มไปด้วยเืของป้าสะใภ้ของนาง และพวกนางก็ขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ
ติงเหว่ยจำได้ว่าตอนที่อันเกอเอ๋อร์ยังไม่เกิด ป้าสะใภ้ท่านนี้เคยไล่แม่นางหลี่ว์ออกมาอย่างรุนแรงเมื่อครั้งที่นางจะเอาของขวัญวันเกิดไปให้ท่านยาย วันนี้กลับอุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกลเพื่อจะมอบของขวัญปีใหม่ให้กับแม่นางหลี่ว์ เห็นได้ชัดเจนว่าทำไปเพราะมีจุดประสงค์อะไร
“ไม่ได้เจอกันตั้งหนึ่งปีแล้ว เหว่ยเอ๋อร์หน้าตาสวยขึ้นจริงๆ ดูผิวที่บอบบางและนุ่มนวลนั่นสิ แค่ดูก็รู้แล้วว่าได้เจอกับคนดีๆ รีบให้ป้าสะใภ้ดูเสื้อตัวน้อยๆ หน่อย ไอ๊หยา สีของผ้านี้เป็ของแท้จริงๆ ต้องราคาไม่ถูกอย่างแน่นอน แล้วยังมีที่ปักผมที่ทำอย่างประณีตอีก จินจือเอ๋อร์น้องสาวของเ้าเคยพูดว่าอยากได้ตั้งนานแล้ว แต่น่าเสียดายที่ปีนี้ไม่ค่อยดีเท่าไร อาหารในบ้านก็ไม่พอกิน ไหนเลยจะมีเงินเหลือไปซื้อเครื่องประดับให้นาง เหว่ยเอ๋อร์ทุกวันนี้ก็ร่ำรวยและได้ใช้ชีวิตที่ดีแล้ว วันไหนให้น้องสาวเ้าไปเล่นกับเ้าที่จวนสกุลอวิ๋นบ้างสิ…”
“ป้าสะใภ้พูดล้อเล่นเสียแล้ว ข้าทำงานที่จวนสกุลอวิ๋น ปกติก็อยู่ภายใต้การควบคุมของคนอื่น อยากจะกลับบ้านสักครั้งก็ไม่ใช่เื่ง่าย จะให้ดูแลน้องสาวได้อีกอย่างนั้นหรือ?” ติงเหว่ยยิ้มออกมาอย่างราบเรียบ นางนึกขึ้นได้ว่าตอนนั้นท่านแม่กลับมาร้องไห้อย่างเ็ปขนาดไหนจึงอดไม่ได้ที่จะพูดเหน็บแนมไปอีกประโยค “หากป้าสะใภ้ยังจำครอบครัวเราว่าเป็ญาติได้ ครั้งหน้าแม่ข้าไปบ้านท่านยาย ท่านก็อย่าปิดประตูใส่อีกก็พอ”
ป้าสะใภ้หลี่ว์ได้ฟังแล้วก็หน้าแดงขึ้นมา นางยังอยากจะพูดอะไรแต่เมื่อเห็นแม่นางหลี่ว์อุ้มอันเกอเอ๋อร์ไว้และนั่งข้างๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำก็รู้ว่าวันนี้คงใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ คิดในใจว่าอนาคตยังอีกยาวไกลจึงยิ้มและพูดว่า “ครั้งก่อนนั้นเป็แค่ความเข้าใจผิด ต่อไปจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว วันนี้ที่ข้ามาก็เพื่อเอาถั่วแดงและถั่วเขียวที่บ้านมาให้ ตอนฉลองปีใหม่ก็ให้แม่เ้าทำเกาปิ่ง [2] ให้กินจะได้ลองรสชาติใหม่ๆ ที่บ้านยังมีธุระต่อข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน นานๆ เ้าจะได้กลับบ้านสักครั้งก็คุยกับแม่เ้าเยอะๆ”
เมื่อพูดเช่นนั้นป้าสะใภ้หลี่ว์ก็ลุกขึ้นเตรียมจะบอกลาแล้วเดินออกไปข้างนอก ท้ายที่สุดแล้วแม่นางหลี่ว์ก็ไม่สามารถทำกับป้าสะใภ้เหมือนเป็อากาศธาตุได้จึงวางอันเกอลง จากนั้นก็นำทางป้าสะใภ้ไปที่ห้องเก็บของ และให้ตะกร้าที่ข้างในมีหมูหนึ่งเส้นแล้วก็มีข้าวสารอีกครึ่งถุง ป้าสะใภ้หลี่ว์ดีใจจนยิ้มแย้มออกมาและขอบคุณนางอยู่พักหนึ่งแล้วจึงกลับบ้านไป
ติงเหว่ยเปิดน้ำและล้างหน้าแรงๆ ด้วยเกรงว่าน้ำลายของป้าสะใภ้จะยังติดอยู่ จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นแล้วเห็นท่านแม่เข้ามา จึงพูดว่า “ทำไมป้าสะใภ้ถึงได้มาที่นี่ล่ะ?”
เมื่อนางหลี่ว์เห็นอวิ๋นอิ่งอยู่ นางก็ไม่สามารถพูดสิ่งที่ไม่ดีเกี่ยวกับครอบครัวแม่ของนางได้ ดังนั้นนางจึงตอบอย่างคลุมเครือว่า “บางทีอาจไม่มีอะไรทำที่บ้านก็เลยมาเดินเล่นสักหน่อย”
ติงเหว่ยเองก็ไม่เคยถูกท่านแม่หลอกได้ แต่นางก็ไม่อยากทำให้ท่านแม่เสียหน้า จึงพูดด้วยเสียงเบาๆ ว่า “ป้าสะใภ้เป็คนที่ทำอะไรเพื่อหวังผล ทุกวันนี้บ้านเราเองก็มีชีวิตความเป็อยู่ที่ดีขึ้นแล้ว ป้าสะใภ้น่าจะหาวิธีการเพื่อมาเอาเงิน พี่ใหญ่และพี่รองต่างก็แยกครอบครัวกันไปแล้วข้าเองก็ทำงานอยู่ที่จวนสกุลอวิ๋น ท่านแม่กับท่านพ่อจะต้องเก็บเงินเอาไว้ใช้ยามเกษียณ อย่าให้ใครมายืมใช้ไปได้ง่ายๆ”
“แม่เข้าใจ เ้าวางใจเถอะ” แม่นางหลี่ว์กอดอันเกอแล้วหอมแก้มเขาซ้ำไปซ้ำมา เมื่อเห็นว่าหลานชายยื่นมือออกมาคว้าต่างหูนางจึงยิ้มและพูดว่า “อันเกอเอ๋อร์เป็เด็กดีนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ยายจะทำเสือจากผ้าให้เ้าเล่นสักสองสามตัว”
คำพูดเหล่านี้เตือนให้ติงเหว่ยรู้ว่าตอนนี้อันเกอเอ๋อร์อายุได้ห้าเดือนแล้ว และถึงเวลาที่เขาจะไวต่อสีและเสียง ดังนั้นควรจะหาของเล่นเล็กๆ น้อยๆ มาให้เขาเล่นได้แล้ว
โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่บ้านพอดี ท่านพ่อเองก็กำลังยุ่งอยู่ที่ร้านอาหาร พี่รองและครอบครัวก็อยู่ในเมือง จะเหลือก็แค่แม่นางหลี่ว์เฝ้าบ้านอยู่ ดั้งนั้นนางจึงเดินเข้าไปในห้องที่ตนเองเคยอาศัยอยู่มาก่อน จากนั้นก็เดินไปยังห้องที่นางเคยอาศัยอยู่ และแน่นอนว่าสิ่งล้ำค่าทั้งสี่ในห้องหนังสือ [3] ต่างก็วางอยู่บนโต๊ะ
-----------------------------------------
[1] เสี่ยวเหนียนเอ๋อร์ 小年儿 หมายถึง วันตรุษจีนเล็ก ในสมัยโบราณนั้นเทศกาลตรุษจีนจะเริ่มต้นั้แ่วันเซ่นไหว้ “เทพเ้าแห่งเตาไฟ(灶神)” โดยการเซ่นไหว้จะเริ่มก่อนถึงวันตรุษจีน 7 วัน ชาวจีนเรียกวันเซ่นไหว้เทพแห่งเตาไฟว่า “วันตรุษจีนเล็ก(小年)” ซึ่งเป็วันที่ชาวจีนส่ง “เทพแห่งเตาไฟ (灶王爷 หรือ 灶神)” กลับขึ้นไปบน์ ชาวจีนมีความเชื่อว่าเทพแห่งเตาไฟนั้น “เง็กเซียนฮ่องเต้(玉皇大帝)” ส่งให้ลงมาช่วยปกป้องและดูแลเตาไฟประจำแต่ละบ้าน อีกทั้งยังคอยเฝ้าดูพฤติกรรมและจดบันทึกการกระทำของสมาชิกทุกคนในบ้านว่าทำอะไรดีหรือไม่ดีบ้าง
[2] เกาปิ่ง 糕饼 หมายถึง ขนมชนิดหนึ่งที่ทำจากแป้งแล้วนำไปอบ ลักษณะคล้ายๆ ขนมเปี๊ยะ
[3] สิ่งล้ำค่าทั้งสี่ในห้องหนังสือ 文房四宝 หมายถึง สิ่งสำคัญสี่อย่างที่เป็อุปกรณ์สำคัญในห้องหนังสือ เป็ภาษาโบราณที่มีเรียกกันมานานั้แ่สมัยหนานเป่ยเฉา หรือราว 1,600 ปีมาแล้ว ประกอบไปด้วย พู่กัน(笔) หมึก(墨) กระดาษ(纸) และแท่นฝนหมึก(砚)