ในตอนที่ข่าวลือของหลงอวี้กำลังเป็ประเด็นร้อนทั่วทั้งเขตพระราชฐานของอาณาจักรต้าถัง หลงอวี้กลับกำลังมุ่งหน้าไปหาประมุขไป๋อวิ๋นจง
หลู่กวนิได้ถูกพาไปส่งให้กับอวี้สุ่ยอวิ๋นแล้ว เมื่อมีอวี้สุ่ยอวิ๋นคอยดูแลอยู่ พ่อหนุ่มหน้าบึ้งคนนี้จะต้องดีขึ้นในไม่ช้าแน่นอน
ต่อจากนั้นเขาก็มุ่งหน้าไปยังตำหนักประมุขต่อ และได้พบกับปู่สิงที่กำลังพูดคุยเรื่อยเปื่อยอยู่กับไป๋อวิ๋นจง
“ฮ่าฮ่า ศิษย์น้องหลง ได้ยินว่าเ้าสร้างิญญาแท้ได้แล้ว ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!”
พอมองเห็นหลงอวี้ ปู้สิงก็แย้มยิ้มอย่างหยิ่งผยอง มองดูหลงอวี้ราวกับมองสัตว์ประหลาดก็ไม่ปาน
“พอนึกถึงตอนที่ข้าสร้างิญญาแท้ได้ครั้งแรก ตอนนั้นข้าก็มีอายุยี่สิบปีเข้าไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าเ้าที่เพิ่งจะอายุเพียงสิบแปดก็สามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขติญญาแท้ได้แล้ว!”
“ท่านประมุข”
หลงอวี้ยกมือขึ้นคารวะไป๋อวิ๋นจงก่อน จากนั้นก็หันไปหาปู้สิงแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ศิษย์พี่ปู้ หากท่านดวงดีเหมือนอย่างข้า ท่านต้องสร้างิญญาแท้ได้รวดเร็วยิ่งกว่าข้าเป็แน่”
“ดวง?”
ปู้สิงส่ายหน้า
“ไม่ว่าจะดวงดีเพียงใด หากไม่มีพร์และความพยายามที่มากพอก็ไม่อาจก้าวข้ามกำแพงระดับิญญาแท้ไปได้หรอก ในเมื่อเ้ามาแล้วข้าไปฝึกฝนก่อนล่ะ อาจารย์ท่านมีเื่อยากจะพูดคุยกับเ้า”
“อืม”
หลงอวี้พยักหน้ารับ มองดูปู้สิงในชุดรัดรูปสีดำก้าวเท้าเดินไป ไม่นานก็หายตัวไปจนไม่เห็นแม้แต่เงา
ไป๋อวิ๋นจงประเมินหลงอวี้พร้อมกับแสดงสีหน้าชื่นชมยินดีออกมา
“เ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ สมกับเป็เืเนื้อเชื้อไขของหลงจ้ายเทียนกับเป่ยอวี้เหยา... มาเล่าให้ข้าฟังหน่อย เ้าเจอเื่น่าอัศจรรย์อะไรทีู่เาตระกูลหลิงกัน?”
หลงอวี้ตอนนี้ค่อนข้างจะคุ้นชินกับชื่อของหลงจ้ายเทียนแล้ว เพราะทุกครั้งที่เขามองดูหอกัปรภพในมือก็จะนึกถึงชื่อๆ นี้ตลอด
เพียงแต่พอได้ยินชื่อของเป่ยอวี้เหยาแล้ว เขากลับรู้สึกไม่คุ้นหูอยู่ดี
ชื่อนี้เป็ชื่อของมารดาเขา แต่กระนั้นตัวเขากลับไม่เคยพบเจออีกฝ่ายเลย และนอกจากไป๋อวิ๋นจงแล้วก็ไม่เคยได้ยินใครพูดถึงนางเลยด้วย
เป่ยอวี้เหยาเป็ผู้หญิงแบบไหนกันแน่?
หลงอวี้กำหมัดแน่น รู้สึกได้ว่าตัวเขาในตอนนี้ยังอ่อนแอมากเกินไป ถึงขนาดไม่มีสิทธิ์ไปตามหามารดาของตนเลยด้วยซ้ำ!
หลงอวี้เล่าเื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนูเาตระกูลหลิงให้ไป๋อวิ๋นจงฟัง แน่นอนว่าเขาได้ตัดเื่ที่ได้เข้าไปอยู่ในห้องศิลากับหลิ่วยวนออก
“จริงสิ ท่านประมุขมีความรู้กว้างขวาง ท่านพอจะรู้ไหมว่า แผ่น์คืออะไร?”
เมื่อหลงอวี้เล่าเื่จบแล้ว เขาก็ได้ขมวดคิ้วเอ่ยถามขึ้น
“แผ่น์?”
ไป๋อวิ๋จงได้ยินแล้วก็ชะงัก รู้สึกเหลือเชื่อมากๆ ที่ได้ยินคำนี้ออกมาจากปากของหลงอวี้!
“เ้าไปได้ยินชื่อแผ่น์นี้มาจากไหนกัน?”
ไป๋อวิ๋นจงลูบหนวดเล็กๆ ของตนไปที ในดวงตาฉายแววประหลาดใจ
“เ้าของสิ่งนี้ ปกติแล้วมีเพียงยอดฝีมือชั้นยอด ที่ก้าวขึ้นสู่ระดับคนผสานฟ้า ฟ้าคนเป็หนึ่งเดียวได้แล้วเท่านั้นถึงจะเข้าถึงมันได้ แม้แต่ข้าเอง เกรงว่าทั้งชีวิตนี้ก็คงไม่อาจก้าวไปถึงขอบเขตระดับนั้นได้”
ขอบเขตคนผสานฟ้า!
หลงอวี้ตื่นตะลึงขึ้นเล็กน้อย นี่เป็ครั้งที่สองแล้วที่เขาได้ยินคำนี้
ครั้งแรกเขาได้ยินจากอวี้สุ่ยอวิ๋นตอนที่ออกเดินทางไปยังป่าโสมโบราณก่อนหน้านี้ อวี้สุ่ยอวิ๋นได้พูดว่า หากก้าวสู่ขอบเขตระดับคนผสานฟ้าได้ จะสามารถเหาะเหินเดินอากาศ ตัวตนระดับนั้น ทั่วทั้งอาณาจักรต้าถังยังมีเพียงหยิบมือ!
ไม่คิดเลยว่าแม้แต่ไป๋อวิ๋นจงก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่อาจก้าวขึ้นไปถึงขอบเขตระดับนั้นได้ใน่ชีวิตนี้แล้ว
คนผสานฟ้า เป็ขอบเขตแบบไหนกันแน่นะ?
แผ่น์ เป็สิ่งที่มีเพียงตัวตนระดับนั้นถึงจะเข้าถึงได้ หมายความว่า แผ่น์จันทรามีฤทธิ์เดชสูงส่งสุดขีดเลยน่ะสิ?
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแค่เศษชิ้นส่วนจันทราชิ้นเดียวถึงทำให้โม่เฟิงิกลายเป็อันดับสามในเก้ายอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรต้าถังได้!
เก้ายอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่แกร่งที่สุดในอาณาจักรต้าถัง ล้วนเป็ยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่อายุไม่ถึงยี่สิบห้าปีทั้งนั้น อย่างปู้สิงที่เป็หนึ่งในเก้าคนนั้นก็ยังถูกจัดอยู่ในอันดับที่แปดเท่านั้นเลย ส่วนอันดับที่เก้านั้นเป็ยอดฝีมือของสำนักดาบสะบั้น นามว่า ต้วนเมี่ย
ระยะห่างระหว่างปู้สิงกับโม่เฟิงินั้นคือระยะห่างระหว่างยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรอันดับแปดกับอันดับสาม
หากต่อสู้กันจริงๆ ปู้สิงไม่สามารถรับมือกับโม่เฟิงิได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว!
‘แผ่น์จันทรา แม้ข้าจะได้มาเพียงครึ่งชิ้น แต่ถึงจะเป็เพียงครึ่งชิ้นก็ยังเป็ของที่ร้ายกาจสุดขีดอยู่ดี’
หลงอวี้คิดในใจ รู้สึกคาดหวังกับพลังที่แฝงอยู่ในแผ่น์จันทราเป็อย่างมาก
“ดูท่าเ้าจะดวงดีไม่เลวเลยนะ ถึงกับได้แผ่น์มาด้วย”
ไป๋อวิ๋นจงกล่าวด้วยท่าทางเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม ดูท่าทางจะมองหลงอวี้ออก แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะยุ่งกับเื่นี้สักเท่าไรนัก
การที่หลงอวี้ได้แผ่น์มา ล้วนเป็ผลดีต่อทั้งตัวหลงอวี้เอง ตัวลัทธิสยบฟ้า หรือแม้กระทั่งตัวไป๋อวิ๋นจงเองด้วย!
แผ่น์นั้นเป็ตัวตนที่แม้แต่ไป๋อวิ๋นจงก็ยังไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลยสักครั้ง หลงอวี้ที่ได้มาย่อมต้องมีอนาคตสดใสและก้าวเดินในเส้นทางแห่งวิถียุทธ์ไปได้ไกลยิ่งกว่าเขาไป๋อวิ๋นจงอยางแน่นอน!
“ในเมื่อเ้าก้าวขึ้นสู่ระดับิญญาแท้ได้แล้ว ข้าก็สามารถบอกรายละเอียดเกี่ยวกับการฝึกฝนในขอบเขติญญาแท้ได้แล้ว”
ไป๋อวิ๋นจงเปลี่ยนเื่ออกจากแผ่น์ กล่าวขึ้นพร้อมกับลูบหนวดเล็กๆ ของเขา
“วิถียุทธ์เก้าขั้นที่ผู้คนมักเรียกกันนั้น ความจริงแล้วมันคือขอบเขตวิถียุทธ์ระดับหลอมกายที่แบ่งออกเป็สาม่ การสร้างลมปราณ การใช้ลมปราณเสริมกำลัง การปล่อยลมปราณออกสู่ภายนอก เพียงแต่ทั้งสาม่นี้ล้วนแบ่งตามระดับความแข็งแกร่งได้อีกสามขั้น ถึงได้มีคนเรียกว่าวิถียุทธ์เก้าขั้น”
“ส่วนขอบเขตวิถียุทธ์ระดับิญญาแท้นั้น อันที่จริงถูกเรียกว่า ‘ิญญาแท้สามระดับ’ ระดับแรก ก่อตัวเป็ร่างเงา ระดับต่อมา ควบแน่นเป็รูปธรรม ระดับสุดท้าย คือผสานิญญาเเท้! ในทุกระดับของขอบเขติญญาแท้สามารถแบ่งตามความแข็งแกร่งได้อีกสามขั้นเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ระดับิญญาแท้จึงถูกแบ่งออกเป็ทั้งหมดเก้าขั้นเหมือนกับขอบเขตระดับหลอมกาย”
“ระดับิญญาแท้ขั้นที่หนึ่งถึงขั้นที่สาม คือระดับก่อตัวเป็ร่างเงา อีกทั้งยังเป็่ที่ต้องเพิ่มความแข็งแกร่งของเงาด้วย เมื่อถึงขั้นที่สี่แล้ว จะต้องทำให้ิญญาแท้อัดแน่นจนกลายเป็รูปธรรมก่อนถึงจะสามารถพัฒนาต่อได้ ิญญาแท้ที่กลายเป็รูปธรรมแล้ว จะมีความแข็งแกร่งเหนือกว่าแบบเงาสิบเท่าเป็อย่างน้อย ไม่มีทางถูกทำลายได้ง่ายๆ แน่ และสุดท้ายคือระดับผสานิญญาแท้ มันคือระดับิญญาแท้ขั้นที่เจ็ดไปจนถึงขั้นที่เก้า”
“ผสานิญญาแท้ คือ่เริ่มต้นของระดับคนผสานฟ้า เื่เกี่ยวกับระดับคนผสานฟ้านั้น ข้าเองก็ไม่สามารถบอกเ้าได้เช่นกัน แต่ระดับผสานิญญาแท้ก็คือการที่เ้าผสานรวมเป็หนึ่งเดียวกับิญญาแท้ของตัวเอง พึ่งพาิญญาแท้ในการหยิบยืมพลังของกฎเกณฑ์ฟ้าดินมาใช้งาน มันคือการเปลี่ยนแปลงในระดับิญญาของผู้ฝึกยุทธ์เลยทีเดียว!”
เมื่อหลงอวี้ได้ฟังคำอธิบายของไป๋อวิ๋นจงแล้ว ในที่สุดเขาก็เข้าใจเกี่ยวกับขอบเขติญญาแท้อย่างสมบูรณ์
แค่เื่ของิญญาแท้สามระดับก็สามารถสรุปขั้นตอนการฝึกของขอบเขตระดับิญญาแท้ทั้งหมดแล้ว เริ่มจากสร้างเงาิญญาแท้ก่อน จากนั้นก็ทำให้ิญญาแท้อัดแน่นจนกลายเป็รูปธรรม และสุดท้ายคือการผสานรวมเป็หนึ่งเดียวกับิญญาแท้
ร่างเงา รูปธรรม ผสานิญญาแท้!
ระดับผสานิญญาแท้มันก็คือ่เริ่มต้นก่อนการเข้าสู่ขอบเขตระดับคนผสานฟ้า สามารถคาดเดาได้ว่า หลังจากขอบเขตระดับิญญาแท้เก้าขั้นขึ้นไป ก็คือขอบเขตอันทรงพลังของระดับคนผสานฟ้า ฟ้าคนเป็หนึ่งเดียว!
ขอบเขตระดับนั้น เรียกได้ว่าเป็ตำนานของอาณาจักรต้าถังเลยก็ว่าได้
แน่นอนว่าหลงอวี้ในตอนนี้ยังอยู่ห่างจากขอบเขตระดับนั้นอีกไกลโขเลย มันคือขอบเขตที่ผู้แข็งแกร่งอย่างไป๋อวิ๋นจงชาตินี้ยังไม่อาจไปถึง
“ท่านประมุข ตอนนี้ท่านระดับไหนแล้วหรือ?”
หลงอวี้ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“หากเ้าอยากรู้เื่นี้จริงๆ ล่ะก็ ไว้ให้เ้าเปลี่ยนิญญาแท้ให้กลายเป็รูปธรรมแล้วค่อยมาถามข้าอีกครั้งแล้วกัน”
ไป๋อวิ๋นจงลูบเคราพลางแย้มยิ้มบางๆ
หลงอวี้หมดคำพูด เขาได้แต่คาดเดาว่าเ้าไป๋อวิ๋นจงนี่จะต้องสร้างิญญาแท้ได้นานแล้วเป็แน่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าก้าวขึ้นสู่ระดับผสานิญญาแท้ได้หรือยัง?
หากไป๋อวิ๋นจงไม่บอก หลงอวี้ก็ไม่มีทางรู้ได้เลย!
ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งกว่านั้น มองเพียงปราดเดียวก็รู้ระดับพลังของผู้ที่อ่อนแอกว่าตนได้เลยทันที
แต่ผู้ที่อ่อนแอกว่านั้น ทำได้เพียงคาดเดาระดับพลังของผู้ที่แข็งแกร่งกว่าตนแบบคร่าวๆ เท่านั้น
หากเป็แค่ยอดฝีมือระดับิญญาแท้ขั้นสองหรือขั้นสาม หลงอวี้คาดเดาระดับพลังของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย แต่ไป๋อวิ๋นจงห่างชั้นกับเขามากเกินไป ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจคาดเดาได้เลย
“เอาล่ะ หากระหว่างการฝึกเ้ามีคำถามอะไรสงสัยสามารถถามข้าได้ทุกเมื่อ”
ไป๋อวิ๋นจงกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ส่วนตอนนี้ นี่คือแผ่นตราประจำตัวของลูกศิษย์ระดับิญญาแท้ หากเ้าพกแผ่นตรานี้ไว้ก็จะสามารถขึ้นไปยังชั้นสองของหอผู้าุโแล้วเลือกวิทยายุทธ์ระดับิญญาที่ชอบมาฝึกได้”
หลงอวี้รับแผ่นหยกที่ไป๋อวิ๋นจงโยนมาให้ จากนั้นก็พยักหน้ารับ
“อีกเื่คือ เ้าสามารถเลือกรับยุทธภัณฑ์ขั้นสูงได้หนึ่งชิ้น แต่ในเมื่อเ้ามีหอกัปรภพเล่มนี้อยู่แล้ว เ้าไปเลือกยุทธภัณฑ์ประเภทป้องกันมาใช้สักชิ้นจะดีกว่า”
ไป๋อวิ๋นจงอธิบายต่อ
“แม้ยุทธภัณฑ์ขั้นสูงจะไม่สามารถต้านรับการโจมตีของยอดฝีมือระดับิญญาแท้ได้ แต่ผู้ฝึกยุทธ์ที่ยังไม่มีิญญาแท้จะไม่สามารถทำอันตรายใดๆ กับเ้าได้เลย”
คราวนี้หลงอวี้กับส่ายหน้า
เขาฝึกวิชากายาพิชิตมารแล้ว ผลลัพธ์ของวิชาประเภทฝึกกายวิชานี้ทรงพลังขึ้นตามระดับวิถียุทธ์ของเขาด้วย
ตัวเขาในตอนนี้ แม้จะไม่ใช้ยุทธภัณฑ์สายป้องกันขั้นสูง ผู้ที่ไม่มีิญญาแท้ก็ไม่สามารถทำอันตรายใดๆ เขาได้อยู่แล้ว
ยุทธภัณฑ์ป้องกันจึงแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเขาในตอนนี้เลย
อีกทั้งแค่ยุทธภัณฑ์ขั้นสูง สำหรับหลงอวี้แล้วมีคุณภาพต่ำเกินไป!
หอกัปรภพในมือเขานั้นเป็ถึงยุทธภัณฑ์ระดับิญญา เมื่อหลอมรวมปราณปรภพเข้าไป สลักลายเส้นปรภพลงไปบนหอกแล้ว มันจะกลายเป็ยุทธภัณฑ์ระดับิญญาชั้นยอดเลยทีเดียว!
วิทยายุทธ์ที่เขากำลังจะฝึกฝนตอนนี้ หมัดัปรภพขั้นที่สองฝ่ามือตื่นรู้สู่สังสารวัฏ เป็ถึงวิทยายุทธ์ระดับิญญาขั้นสุดยอดเลยทีเดียว!
ยุทธภัณฑ์ระดับธรรมดาขั้นสูงแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเขาเลย
“ตามกฎแล้ว เ้าจะได้สิทธิ์ในการฝึกในหุบเขาลัทธิเป็เวลาหนึ่งเดือนด้วย”
แต่ไป๋อวิ๋นจงส่ายหน้าแล้วกล่าวขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
“แต่บัดนี้เ้าสามารถบรรลุถึงเขตแดนสยบฟ้าได้แล้ว สิทธิ์ในการฝึกหนึ่งเดือนคงจะไม่จำเป็สำหรับเ้าแล้ว เ้าสามารถทิ้งสิทธิ์นี้ไปแล้วไปเลือกยุทธภัณฑ์ระดับิญญาหนึ่งชิ้นแทนได้ เ้าว่าแบบนี้เป็อย่างไร?”
“วิชาฝึกพลัง หากบรรลุถึงระดับเขตแดนแล้วก็คือขีดจำกัดสูงสุดแล้วหรือ?”
หลงอวี้ขมวดคิ้วขึ้นพร้อมกับเอ่ยถาม
“ไม่ใช่หรอก เหนือเขตแดนขึ้นไป ก็คือกฎเกณฑ์ มีเพียงผู้ที่บรรลุกฎเกณฑ์สยบฟ้าได้แล้วเท่านั้นถึงนับว่าเข้าใจเคล็ดสยบฟ้าอย่างสมบูรณ์ทะลุปรุโปร่ง”
ไป๋อวิ๋นจงลูบหนวดเล็กทั้งสองข้าง
“แต่ว่า หากคิดจะเปลี่ยนจากเขตแดนเป็กฎเกณฑ์ ระดับความยากมันสูงไม่ธรรมดา อีกทั้งมันไม่ใช่อะไรที่สามารถทำได้จากการฝึกในหุบเขาลัทธิเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เื่นี้เ้าต้องไปศึกษาหาทางเอาเองแล้วล่ะ เพราะระดับกฎเกณฑ์นั้นมันเป็สิ่งที่อยู่ในขอบเขตระดับคนผสานฟ้าเหมือนกับพลังของแผ่น์”
คนผสานฟ้าอีกแล้ว!
หลงอวี้ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า
“อย่างนั้นข้าขอเลือกยุทธภัณฑ์ระดับิญญาหนึ่งชิ้นก็แล้วกัน”
“ยุทธภัณฑ์ระดับิญญา ลัทธิสยบฟ้าเราเองก็มีเก็บไว้ไม่มากเท่าไรนัก”
ไป๋อวิ๋นจงกล่าวเตือนไว้ก่อน
“ลัทธิเรามีผู้เฒ่าขาวที่เป็นักหลอมโอสถอยู่ แต่ช่างทำอาวุธเรากลับไม่มีเลยสักคนเดียว ยุทธภัณฑ์ระดับิญญาเหล่านี้ล้วนเป็ของที่ผู้เฒ่าขาวหลอมโอสถระดับิญญาขึ้นมาได้แล้วนำไปแลกที่เขตพระราชฐานกลับมาทั้งสิ้น”
ช่างทำอาวุธ คือผู้ที่สามารถสร้างอาวุธยุทธภัณฑ์ได้นั่นเอง!
“อย่างนี้นี่เอง”
หลงอวี้เข้าใจแล้ว
ในลัทธิสยบฟ้าอันใหญ่โต กลับมีนักหลอมโอสถอยู่เพียงคนเดียว ส่วนช่างทำอาวุธนั้น กลับไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว!
เห็นได้ชัดเลยว่านักหลอมยากับช่างทำอาวุธนั้นมีความสำคัญมากเพียงใดในแผ่นดินเทียนอวี้!
ไม่ว่าจะเป็ยุทธภัณฑ์หรือโอสถก็ล้วนเป็ของที่ผู้ฝึกยุทธ์ไม่สามารถขาดได้เลยแม้แต่อย่างเดียว แต่นักหลอมยากับช่างทำอาวุธกับมีจำนวนน้อยยิ่งกว่าน้อย เป็ตัวตนที่ล้ำค่าสุดแสน!
