‘ชั้นเรียนกวดวิชา’ ต้องปิดตัวลงด้วยเหตุนี้
นี่คือผลลัพธ์จากการไล่บี้ของตระกูลเหอ และมีผู้อื่นคอยให้ความช่วยเหลืออยู่เช่นกัน
การค้นพบเส้นทางการศึกษารูปแบบใหม่อย่างนั้นหรือ?
นั่นเป็เื่เหลวไหลทั้งเพ
กู้เจิ้งชิงรู้สึกว่าหาก้าสร้างชั้นเรียนกวดวิชานอกโรงเรียน สมควรให้อาจารย์ผู้มีคุณวุฒิและมากประสบการณ์เป็คนก่อตั้งขึ้นมา แน่นอนว่าตอนนี้คงพูดถึงเื่นี้อีกไม่ได้ ชั้นเรียนกวดวิชาเพิ่งถูกสั่งปิด ่เวลาเช่นนี้อ่อนไหวเกินไป
ตระกูลหวังได้ผลักนักศึกษาหญิงคนหนึ่งให้ออกมารับกรรม ว่ากันว่าเธอคือว่าที่ลูกสะใภ้ที่ยังไม่ได้แต่งเข้าตระกูลของหวังก่วงผิง เื่นี้ทำให้เหอเย่าจวินรู้สึกพอใจได้ชั่วคราว และเลิกกัดหวังก่วงผิง
ถึงอย่างไรตระกูลหวังคงไม่อาจฟอกขาวตัวเองได้อย่างหมดจด หวังก่วงผิงปล่อยให้ลูกชายกับว่าที่ลูกสะใภ้ก่อตั้งชั้นเรียนกวดวิชาขึ้นเพื่อหากำไร ส่งผลให้เหล่าเพื่อนร่วมงานในกระทรวงศึกษาธิการต่างพากันมองเขาในด้านลบ ผลกระทบอาจจะยังไม่ชัดเจนในตอนนี้ แต่อนาคตหวังก่วงผิงคงรู้ซึ้งอย่างแน่นอน
เหอเจียที่อยู่ท่ามกลางลมมรสุม เพราะความคิดที่ยังเด็กและมักง่าย ก็คงได้รับผลกรรมด้วยเช่นกัน
เื่พวกนี้กู้เจิ้งชิงไม่กล้าถามรายละเอียดมากนัก
หากไม่รับผลกรรมแล้วจะให้ทำอย่างไรเล่า หรือจะยอมให้เหอเจียคลอดเด็กออกมา
นั่นไม่ใช่การรักลูกสาว แต่เป็การปล่อยให้ชีวิตของลูกสาวถูกทำลายต่างหาก! เด็กในยุคนี้ยังไม่ตระหนักถึงเื่สิทธิส่วนบุคคล หากทำผิดแล้วถูกพ่อแม่จับได้ สิ่งที่รออยู่ย่อมคือบทลงโทษอันหนักหน่วง
เท่าเทียม?
อิสระ?
ไม่ต้องให้พ่อแม่เลี้ยงดูเมื่อไรค่อยว่ากัน!
ค่านิยมการเลี้ยงบุตรหลานใน่ยุค 80 นั้นก็เรียบง่ายและฉาบฉวยเช่นนี้แล
กู้เจิ้งชิงไม่อาจก้าวก่ายตระกูลเหอว่าจะปฏิบัติกับลูกสาวอย่างไรต่อไป เขาทำได้เพียงอบรมสั่งสอนลูกสาวคนโตของตนอย่างกู้ซือเหยียนให้ดีเท่านั้น เด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน หากวันใดกู้ซือเหยียนเจอเื่แบบเดียวกันนี้ กู้เจิ้งชิงก็คงบ้าคลั่งไม่ต่างจากเหอเย่าจวินอย่างแน่นอน
เขากับภรรยาผลัดกันอบรมเื่กระบวนการทางความคิดให้กับกู้ซือเหยียน พร่ำบอกกู้ซือเหยียนว่า เป็นักเรียนสิ่งสำคัญที่สุดคือการตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ใฝ่หาความรู้เชิงวัฒนธรรม อนาคตถึงจะเป็คนที่มีประโยชน์ต่อสังคมและครอบครัว!
“ในครั้งนี้สิ่งที่ลูกทำถูกต้องที่สุดก็คือการสารภาพความจริง และบอกเื่นี้ให้แม่เหอเจียรู้!”
หลังอบรมกู้ซือเหยียนอย่างเข้มงวดยกใหญ่แล้ว กู้เจิ้งชิงก็เอ่ยคำชมเป็การปิดท้าย
เกิดเื่แบบนี้ขึ้นและตัดสินใจบอกผู้ปกครองทันทีสมควรที่จะได้รับคำชม เื่ของเหอเจียคราวนี้ โชคดีที่กู้ซือเหยียนยอมบอกความจริง หากปิดบังต่อไปหลายเดือนจนเหอเจียท้องโต เื่นี้คงจัดการยากยิ่งกว่าเดิม เหอเจียไม่เพียงต้องแบกรับแรงกดดันมหาศาล ร่างกายของเธอเองก็จะได้รับผลกระทบมากเช่นกัน
“ความจริงหนูก็ไม่กล้าบอกหรอกค่ะ แต่พี่เซี่ยเป็คนให้กำลังใจหนู บอกว่าถ้าเป็เพื่อนที่ดีจริงๆ ก็ควรบอกเื่นี้กับพ่อแม่เหอเจีย เธอบอกว่าพวกเรายังเด็กเกินไป จัดการปัญหานี้เองไม่ได้หรอกค่ะ”
กู้ซือเหยียนขายเซี่ยเสี่ยวหลานกันเสียดื้อๆ
“พี่เซี่ย?”
“แฟนของพี่โจวเฉิงไงคะ หนูไปโรงพยาบาลกับเหอเจียแล้วเจอพี่เซี่ยพอดี เธอให้หนูยืมเงินก่อน พอตอนที่หนูเอาเงินไปคืน หนูก็ทนความอึดอัดใจไม่ไหวเลยบอกเื่นี้กับเธอ เธอจึงเตือนหนูว่าควรบอกพ่อแม่ของเหอเจียค่ะ”
ที่แท้ยังมีเื่แบบนี้ด้วย
กู้เจิ้งชิงอดพยักหน้าไม่ได้ “พ่อเคยบอกแล้ว ว่าแฟนของพี่ชายลูกเป็คนดี ต่อไปลูกควรไปมาหาสู่กับเธอให้มากๆ เธอไม่เพียงมีผลการเรียนดีเยี่ยม ทว่ายังสุขุมรอบคอบ สามารถเป็คนที่พึ่งพาได้”
กู้เจิ้งชิงชื่นชมเซี่ยเสี่ยวหลานเป็ทุนเดิมอยู่แล้ว พอเกิดเื่นี้ขึ้นนั่นก็ยิ่งทำให้เขามั่นใจในความคิดของตนเอง
โจวเฉิงเป็คนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในบรรดาคนรุ่นหลังของตระกูลโจว สายตาการเลือกคู่ครองของเขาย่อมดีเยี่ยมกว่าคนทั่วไป
ขณะที่กู้เจิ้งชิงบอกให้กู้ซือเหยียนเรียนรู้จากเซี่ยเสี่ยวหลาน ความคิดของโจวอวิ๋นฉินผู้เป็ภรรยากลับหลุดลอยไปเื่อื่น เธอได้ยินจากปากคุณย่าโจวว่า ดูเหมือนบ้านพี่รองจะไม่ค่อยถูกใจคู่ครองของโจวเฉิงคนนี้สักเท่าไร
โจวอวิ๋นฉินคิดในใจ ก็ดูเป็เด็กสาวที่ใช้ได้มิใช่หรือ?
หากเช่นนี้ยังไม่พอใจ ตกลงโจวเฉิงกำลังเลือกคู่ครองหรือเลือกฮองเฮากันแน่?
น่าเสียดายที่คงบอกเื่นี้กับพี่สะใภ้รองไม่ได้ มิเช่นนั้นเื่ของเหอเจียก็จะแพร่ออกไปด้วยเช่นกัน แม้ว่าแม่เหอเจียจะเป็ไร้เหตุผลแค่ไหน แต่ที่ทำไปก็เพราะหัวอกของคนเป็แม่ทั้งสิ้นไม่ใช่หรือ
—--------------------------
เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็ได้เปิดโลกเช่นกัน มีคนคิดว่าเธอสามารถพึ่งพาได้ ขณะที่ตัวเธอนั้นก็คิดว่าผู้จัดการใหญ่อู่ช่างพึ่งพาได้จริงๆ
หลิวหย่งเองก็ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ วิธีการของผู้จัดการใหญ่อู่นั้นแตกต่างจากหลิวหย่งและเซี่ยเสี่ยวหลานยิ่งนัก เซี่ยเสี่ยวหลานเชี่ยวชาญด้านการทำธุรกิจ ส่วนหลิวหย่งคือผู้รับเหมาจากชนบทที่เข้าเมืองมา ทั้งสองคนสมแล้วที่เป็ลุงกับหลาน ความคิดต่างๆ คล้ายกันไม่น้อยเลยทีเดียว
ขณะที่ทางผู้จัดการใหญ่อู่นั้นอ่อนโยนกว่ามาก
เพราะสภาพแวดล้อมที่พวกเขาใช้ชีวิตนั้นมีความแตกต่างกัน ผู้จัดการใหญ่อู่ไม่จำเป็ต้องใช้กำลัง เื่กลุ้มใจของเขามีแค่การขายพันธบัตรรัฐบาลกับเื่เงินโบนัสของลูกน้องเท่านั้น เขาไม่ได้มีแรงกดดันมากมายเหมือนเซี่ยเสี่ยวหลานกับหลิวหย่ง
เอาเป็ว่าแค่ผู้จัดการใหญ่อู่ออกหน้า ไม่ต้องพูดจาข่มขู่ และไม่ต้องถึงกับคุกเข่าอ้อนวอน คนที่สำนักงานท้องถิ่นก็ลงมือทำงานทันที
หลิวหย่งซื้อบ้านใหม่ให้ตัวเองด้วยเงินทองที่หามาอย่างสุจริต จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องถูกเอารัดเอาเปรียบจากกลุ่มผู้เช่า
อาจารย์สวีนั้นทำตัวสูงส่ง คนของสำนักงานท้องถิ่นจึงแค่รับปากอย่างขอไปที ต่างจากหลิวหย่งที่ไม่สนใจเื่ของศักดิ์ศรี แถมมีผู้จัดการอู่เป็สะพานเชื่อมอีกด้วย นอกจานี้หลิวหย่งยังเป็คนอัธยาศัยดี ใครๆ ก็อยากผูกสัมพันธ์กับคนที่คุยด้วยง่ายอยู่แล้ว พวกที่เอาแต่วางมาด หาก้าให้ผู้อื่นช่วยเหลือ จากเดิมที่จะช่วยอย่างเต็มที่ บางทีคนเขาอาจจะแค่ช่วยแบบผ่านๆ เท่านั้น แล้วคุณจะทำอะไรได้เล่า
การให้เกียรติควรมีให้กันทั้งสองฝ่าย
คนของสำนักงานท้องถิ่นเดินนำหน้า หลิวหย่งกับเซี่ยเสี่ยวหลานเดินตามหลัง
แต่กระนั้นพวกผู้เช่าก็ยังไม่เลิกโวยวาย ทำเอาคนของสำนักงานท้องถิ่นชักโมโหขึ้นมา
“อาจารย์สวีเ้าของบ้านเดิมบอกให้พวกคุณย้ายออกั้แ่ครึ่งปีก่อนแล้วมิใช่หรือ ให้เวลามากขนาดนี้ แต่พวกคุณกลับรังแกอาจารย์คนหนึ่งไม่เลิก ตอนนี้เขาขายบ้านแล้ว เ้าของบ้านคนใหม่ก็มีเอกสารอย่างถูกต้อง เมื่อเขาบอกให้พวกคุณย้ายก็ต้องย้าย”
หากคนของสำนักงานท้องถิ่นเอ่ยปากแล้วยังไม่สำเร็จ ก็เท่ากับอนุญาตให้หลิวหย่งใช้วิธีการของเขากลายๆ
มีคนก้าวออกมาโวยวาย เพราะเห็นหลิวหย่งร่างผอมบางคิดว่ารังแกง่าย แต่หลี่ต้งเหลียงกับเก่อเจี้ยนนั้นคนละเื่น่ะสิ พวกเขาสองคนยืนอยู่ข้างหลังหลิวหย่งเงียบๆ ถึงเวลาสำคัญเมื่อไรพร้อมลุยทุกเมื่อ
สรุปคือ ด้วย ‘ความช่วยเหลือ’ จากหลี่ต้งเหลียงและเก่อเจี้ยน พวกผู้เช่าจึงถูกอัญเชิญออกจากบ้านเรียบร้อย รวมถึงสัมภาระทั้งหมดของพวกเขาก็ถูกย้ายออกไปจนหมดสิ้น
หลิวหย่งเห็นทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ยังให้เงินแก่ผู้เช่าอีกคนละยี่สิบหยวน
“เงินนี้มากพอสำหรับเช่าบ้านสองเดือน ผมไม่เคยเก็บเงินค่าเช่าพวกคุณ ทั้งยังกลัวพวกคุณไม่มีที่อยู่เลยให้เงินเช่าบ้านไปอีกสองเดือน หากยังทู่ซี้ไม่ยอมย้ายออก ผมคงต้อง...”
คนของสำนักงานท้องถิ่นพยักหน้าเห็นด้วยกับการกระทำของหลิวหย่ง
อัญเชิญพวกผู้เช่าออกจากบ้านโดยไม่ทำร้ายใคร แถมยังชดเชยค่าเช่าบ้านให้อีกสองเดือน หากคนพวกนี้ยังไม่ยอมไปก็เท่ากับได้คืบจะเอาศอกน่ะสิ
พวกที่เมื่อครู่ยังชี้หน้าด่า ตอนนี้กลับพากันชมเปราะว่าหลิวหย่งช่างมีน้ำใจ
วิธีนี้ผู้จัดการใหญ่อู่เป็คนชี้แนะ
เวลาเกิดเื่ขัดแย้งต้องชิงเป็ฝ่ายได้เปรียบ แต่อย่าได้ทิ้งปัญหาที่อาจเกิดขึ้นภายหลัง หลิวหย่งมาถึงก็บอกให้คนติดตามไล่พวกผู้เช่าออกไป แน่นอนว่ามันเป็วิธีการที่รวดเร็วสะใจ แต่พวกเพื่อนบ้านล้วนเข้าข้างพวกผู้เช่าที่ดื้อแพ่งเ่าั้ ตอนนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว หลิวหย่งเชิญคนจากสำนักงานท้องถิ่นมาเป็พยาน เขาใช้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง ไล่ผู้เช่าออกจากบ้าน แต่ก็ยอมมอบ ‘เงินชดเชย’ อย่างสมน้ำสมเนื้อ เ้าของบ้านผู้มีน้ำใจอย่างเขา ใครบ้างจะกล้าตำหนิ?
จะให้เจรจาค่าชดเชยกับพวกผู้เช่าลับหลัง?
ถุย ทำไมต้องชดเชยให้ด้วย
เงินพวกนี้จ่ายให้คนของสำนักงานท้องถิ่นและเพื่อนบ้านดูต่างหาก อีกหน่อยหลิวหย่งต้องตั้งรกรากที่นี่ อย่างไรก็ต้องสร้างสัมพันธไมตรีกับเหล่าเพื่อนบ้าน!
ผู้จัดการใหญอู่ยิ้มตาหยี ช่วยเหลือผู้อื่นเท่ากับช่วยเหลือตนเอง ทุ่มเทใส่ใจช่วยเหลือผู้เดือดร้อน พันธบัตรรัฐบาลของเขาถึงจะมีคนซื้อ!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้