ขณะเดียวกันมีหลายคนตกตะลึงกับคำพูดของเย่เฟิงเมื่อครู่นี้ และจดจำนามว่าตั๋วมิ่งนี้ไว้ขึ้นใจ
หลังจากผู้ฝึกยุทธ์สำนักศึกษาเสินเจียงคนนั้นจากไป เย่เฟิงก็ออกไปจากที่นี่ แต่มีผู้คนจำนวนไม่น้อยมองตามแผ่นหลังเขาไปด้วยสายตาหวาดหวั่น
ในค่ายกลมายา พวกเขารับรู้ได้ถึงแรงกดดันจากพันธมิตรที่เกิดจากรวมตัวของสำนักศึกษาเสินเจียง หอชิงหลง และสำนักอี่เทียน บัดนี้มีผู้กล้าที่สามารถจัดการคนของสามกองกำลังปรากฏตัวขึ้น เพียงแต่ตั๋วมิ่งผู้นี้แม้จะแข็งแกร่ง แต่อย่างไรก็ตัวคนเดียว หากเผชิญหน้ากับสามกองกำลังนี้มีแต่จะเสียเปรียบ เป็ไปได้ว่าในที่สุดอาจจะเจอจุดจบที่น่าอนาถ
หญิงสาวเห็นเย่เฟิงจากไป นางก็หันไปพูดกับชุ่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้าง ๆ ว่า “ชุ่ยเอ๋อร์ ตามเขาไป”
ชุ่ยเอ๋อร์พยักหน้า จากนั้นพวกนางก็ไล่ตามเย่เฟิงไป แต่หลังจากทั้งสามคนออกไป เย่เฟิงก็ใช้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อตลอดทาง ทำให้หญิงสาวต้องผลาญพลังไปมากเพื่อที่จะไล่ตามจนเหงื่อแตกพลั่ก
“พลังต่อสู้แกร่งกล้า ท่าร่างว่องไว ตั๋วมิ่งผู้นี้เป็ใครกันแน่?” หญิงสาวคิดในใจ แต่ด้วยความเร็วของเย่เฟิง สุดท้ายนางรับใช้ของหญิงสาวก็ตามไม่ทัน จึงมีเพียงหญิงสาวที่กัดฟันไล่ตามต่อไป ผ่านไปสักพักทั้งสองมาถึงช่องเขาแห่งหนึ่ง เย่เฟิงที่อยู่ข้างหน้าหยุดชะงัก ทำให้หญิงสาวแปลกใจก่อนจะหาที่ซ่อน แต่กลับไม่มีที่ให้ซ่อน
“เ้าตามข้ามามีธุระอันใด?” เย่เฟิงค่อย ๆ หันหลังไป พร้อมดวงตาภายใต้หน้ากากสีเงินเผยประกายคมกริบ
“ความแข็งแกร่งของเ้าทำให้ข้าสนใจมาก เ้ากับข้ามาประลองกันสักครั้ง เป็ไง?” หญิงสาวกล่าว
“เ้าเป็ผู้หญิงหรือ?” เย่เฟิงได้เสียงของอีกฝ่ายก็ชะงักไปชั่วขณะ ไม่คิดว่าตัวเองจะถูกผู้หญิงจับตามอง
“อืม” หญิงสาวพยักหน้า
“ข้าไม่ชอบสู้กับผู้หญิง ออกไปซะ” เย่เฟิงกล่าวเสียงนิ่งเรียบ แต่หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายไม่ชอบให้ใครมาดูแคลนเพียงเพราะนางเป็ผู้หญิง
“ไม่ว่าชายหรือหญิง เ้าชนะข้าได้แล้วค่อยว่ากัน!” หญิงสาวกล่าวด้วยเสียงที่เย็นเยือกขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นนางเดินออกมา พร้อมกับเคลื่อนไหวดุจดั่งสายลมไปเยือนเบื้องหน้าเย่เฟิงในพริบตา ก่อนจะวาดฝ่ามือที่เปี่ยมด้วยพลังน่าทึ่งโจมตีเย่เฟิง
เย่เฟิงรู้สึกว่ามีสายลมพัดปะทะใบหน้า ตามมาด้วยกลิ่นอายที่อันตราย มันแข็งแกร่งมาก จากนั้นเขาใช้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อหลบหลีกการโจมตีของหญิงสาว ขณะเดียวกันเขายังประหลาดใจกับหญิงสาวผู้นี้ เพียงแค่กระบวนท่านี้ เย่เฟิงก็รู้สึกว่านางมีพลังพอ ๆ กับตู๋กูหลง
“ใบหลิวดุจคมมีด!” หญิงสาวแผดเสียงะโ พลันฝ่ามือแปรเปลี่ยนเป็ใบหลิวและอัดแน่นไปด้วยพลังแห่งการทำลายล้างที่ไร้สิ้นสุด
“ฝ่ามือภูผาพิฆาต!” เผชิญหน้ากับฝ่ามือที่ทรงพลังเช่นนี้ เย่เฟิงมิอาจอยู่เฉยได้ จากนั้นเขาวาดฝ่ามือภูผาพิฆาตที่ผสานด้วยพลังหอกโจมตีอีกฝ่าย
“ฟิ้ว!” ฝ่ามือฝ่าทะลวงใบหลิว ก่อนจะเข้าปะทะกับฝ่ามือของหญิงสาว ตามมาด้วยเสียงะเิดังสนั่น ด้วยกระบวนท่าที่ทรงพลังของเย่เฟิง หญิงสาวถึงกับเซถอยหลัง ตัวสั่นสะท้าน และพลังปราณแตกซ่านเล็กน้อย
“เ้าลงมือเต็มที่ได้เลย!” เย่เฟิงกล่าว เขาดูออกว่าหญิงสาวผู้นี้กดขั้นพลังเพื่อที่จะสู้กับเขาอย่างยุติธรรม
“งั้นเ้าก็ระวังตัวด้วย!” หญิงสาวตาเป็ประกายและไม่ปฏิเสธเย่เฟิง นางรู้ว่าหากอยู่ระดับเดียวกัน ตนจะมิใช่คู่ต่อสู้ของเย่เฟิง จากนั้นพลังอันแกร่งกล้าพวยพุ่งออกจากร่าง เป็พลังจุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ที่ 7
“ความรู้สึกแห่งเจตจำนงบุปผา!” หญิงสาวแผดเสียงะโพร้อมผสานมือควบแน่นพลัง จากนั้นพลังหยวนมารวมตัวที่กลางอากาศ ค่อย ๆ ก่อรูปเป็ดอกบัวขนาดใหญ่จนปกคลุมท้องฟ้า เข้ากดดันเย่เฟิงอย่างบ้าคลั่ง
ดวงตาของเย่เฟิงเผยประกายคมกริบ จากนั้นเขารัวหมัดออกไป ก่อนจะเข้าปะทะกับดอกบัวนั่น ตามมาด้วยเสียงะเิดังสนั่นต่อเนื่อง ดอกบัวเกิดรอยร้าวจนแตกสลายไปในที่สุด แต่คลื่นกระแทกกลับโจมตีเย่เฟิง ทำให้เืลมในกายของเย่เฟิงสั่นคลอน
“ตอนนางปลดปล่อยพลังทั้งหมดน่ากลัวอย่างที่คาดไว้ ไม่รู้ว่าเป็ลูกศิษย์จากกองกำลังไหนของเมืองหลวง?” เย่เฟิงคิดในใจ จู่ ๆ เขาพบว่ามีอีกการโจมตีหนึ่งของหญิงสาวมาถึงตัว พลันใบหลิวนับไม่ถ้วนเข้าห่อหุ้มร่างเย่เฟิง ก่อนจะกลายเป็คมกริบแล้วเชือดเฉือนทันที
“พรึ่บ!” พลังหอกปะทุออกจากร่างเย่เฟิง ก่อนจะกลายเป็รังสีหอกไร้ที่สิ้นสุด แล้วเข้าปะทะกับคมกริบใบหลิวของหญิงสาว จากนั้นพวกเขาปะทะกันไปมาหลายสิบรอบ ต่อสู้จนมืดฟ้ามัวดิน แต่กลับไม่มีผู้ชนะหรือแพ้ ในที่สุดหลังจากทั้งสองปะทะกันอีกครั้ง หญิงสาวก็เป็ฝ่ายถอยร่นก่อน นางมองเย่เฟิงแล้วกล่าวว่า “พลังของเ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวัง ขืนเราสู้กันต่อไปก็ไม่มีทางหาผู้ชนะได้ ไม่สู้พรุ่งนี้ค่อยปะทะกันอีกครั้ง!”
เมื่อกล่าวจบ หญิงสาวก็จากไปทันที
“ช่างเป็ผู้หญิงที่น่าสนใจเสียจริง” เย่เฟิงพึมพำกับตัวเองขณะมองแผ่นหลังของอีกฝ่าย แต่ขณะนั้นนางรับใช้ชุ่ยเอ๋อร์พุ่งตัวออกมา คนผู้นี้สวมชุดเกราะ สวมหน้ากากที่น่าเกรงขาม ให้ความรู้สึกอันตราย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ตอนที่เย่เฟิงมองไปที่คนนั้น กลับมีความรู้สึกคุ้นเคยราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
คนนั้นมองมาที่เย่เฟิงเช่นกัน ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าขอเตือนเ้า ทางที่ดีอยู่ให้ห่างจากนางเสีย นางไม่ใช่คนที่เ้าจะอาจเอื้อมได้ หากไม่เชื่อฟัง ข้าจะฆ่าเ้าซะ!”
น้ำเสียงของคนนั้นแข็งกร้าวราวกับเห็นเย่เฟิงเป็มดแมลง หากไม่ฟังคำเตือนนางก็จะฆ่าเขา
เมื่อชุ่ยเอ๋อร์กล่าวจบก็เร่งฝีเท้าไล่ตามหญิงสาวผู้นั้นไป
ดวงตาของเย่เฟิงวาบประกายเย็นเยือก แต่เขาไม่ได้ขวางทางอีกฝ่าย ไม่นานเย่เฟิงก็ออกไปจากที่นี่เช่นกัน ซึ่งเย่เฟิงอยู่ในค่ายกลมายาได้ไม่นาน เขาก็ออกจากค่ายกล แล้วกลับไปยังที่พักตนเพื่อบ่มเพาะพลัง จากการประลองฝีมือกับหญิงสาวผู้นั้น ทำให้เย่เฟิงได้เรียนรู้บางอย่าง และยังค้นพบจุดอ่อนของตัวเองในการต่อสู้ หวังว่าการบ่มเพาะพลังจะช่วยชดเชยได้
เย่เฟิงบ่มเพาะพลังทั้งคืนโดยไม่หยุดพัก ปรับปรุงตนให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ประโยชน์ที่ได้รับจากการค้นพบจุดอ่อนและการปรับปรุงไม่ใช่สิ่งที่การบ่มเพาะพลังเพียงอย่างเดียวจะเทียบได้
เช้าวันรุ่งขึ้น เย่เฟิงออกจากที่พัก เข้าสู่ค่ายกลมายาอีกครั้ง ที่นี่ยังคงโหดร้ายเช่นเดิม การต่อสู้พบเห็นได้ทุกหนแห่ง การเข่นฆ่าไม่มีที่สิ้นสุด
เย่เฟิงท่องเที่ยวไปในค่ายกลมายา บางครั้งพบเจอคนท้าทาย เขาก็ลงมือสังหาร โดยเฉพาะคนของสามกองกำลังอย่างสำนักศึกษาเสินเจียว หอชิงหลง และสำนักอี่เทียน เย่เฟิงยิ่งไม่คิดปล่อยไป จึงมีคนตายในน้ำมือของเย่เฟิงมากขึ้นเรื่อย ๆ นามว่าตั๋วมิ่งก็เริ่มแพร่สะพัดไปทั่วค่ายกลมายาจนผู้คนเริ่มรู้จัก
เย่เฟิงมาถึงช่องเขาที่มาเมื่อวานนี้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จึงอดทำให้เขานึกถึงหญิงสาวผู้นั้นไม่ได้
“เมื่อวานผู้หญิงคนนั้นบอกว่าวันนี้นางจะมาที่นี่ เห็นทีนางคงพูดเล่น” เย่เฟิงคิดในใจพลางส่ายหัว
“ในที่สุดเ้าก็มา ข้ารอเ้านานแล้ว!”
ตอนที่เย่เฟิงคิดว่าหญิงสาวผู้นั้นจะไม่ปรากฏตัว จู่ ๆ มีเสียงดังเข้ามาในหูของเย่เฟิง จากนั้นปรากฏเงาร่างของหญิงสาวในสายตาของเย่เฟิง
“เ้ารอข้าอยู่ที่นี่มาตลอดเลยหรือ?” เย่เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาได้กลิ่นหอมที่อบอวลทั่วพื้นที่ ทำให้เขามีแรงกระตุ้นที่อยากจะถอดหน้ากากของหญิงสาว
“ใช่ ข้าพูดแล้วก็ต้องมา” หญิงสาวพยักหน้า รอบกายราวกับรายล้อมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสูงศักดิ์ประหนึ่งเทพธิดา
“วันนี้ข้าคิดจะใช้เคล็ดวิชาใหม่ เ้าแพ้แน่” หญิงสาวกล่าวด้วยความมั่นใจ
“จริงหรือ?” เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็เผยสีหน้าสนใจ
“ถ้าไม่เชื่อ เ้าก็ลองดูสิ!” หญิงสาวกล่าวพร้อมดวงตาภายใต้หน้ากากเผยประกายแสงแห่งความมั่นใจ จากนั้นนางกะพริบร่างก่อนจะมาเยือนเบื้องหน้าเย่เฟิง แล้วโจมตีเย่เฟิงโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
เป็อย่างที่นางกล่าวไว้ เคล็ดวิชาใหม่ที่นางว่ามามีท่วงท่าสง่างดงาม แต่กลับเต็มเปี่ยมด้วยพลังเต็มสิบ
เย่เฟิงปลดปล่อยพลังเข้าต่อต้านหญิงสาว เขานั้นมีประสบการณ์จากการต่อสู้มามากมาย ทั้งยังแก้ไขข้อบกพร่อง พลังต่อสู้ก็ย่อมเปลี่ยนไปแกร่งขึ้น
ครึ่งชั่วยามต่อมา หญิงสาวเหงื่อแตกพลั่กและส่งกลิ่นกายหอมหวานจางๆ อาภรณ์ของนางเปียกชุ่มแนบกายเผยให้เห็นเรือนร่าง ซึ่งนางพบว่าเย่เฟิงเปลี่ยนไปจากเดิม การโจมตีและการป้องกันไร้ข้อบกพร่องใด ๆ จนนางมิอาจหาโอกาสเอาชนะได้แม้แต่นิด
“ข้าจำต้องยอมรับเลยว่าเ้าแข็งแกร่งมาก พรุ่งนี้เราค่อยมาต่อกันใหม่” หญิงสาวมองสำรวจเย่เฟิง เย่เฟิงยิ่งมีพลังไม่ธรรมดา ก็ยิ่งดึงดูดความสนใจจากนาง แต่นางก็พบว่าเย่เฟิงแตกต่างจากชายหนุ่มคนอื่น ๆ เขามีแววตาเฉยชา ไร้ซึ่งความละโมบเฉกเช่นชายอื่นที่นางเคยพบพาน นี่ทำให้หญิงสาวสนใจเย่เฟิงมากยิ่งขึ้น และนาง้ารู้ว่าอีกฝ่ายเป็คนแบบไหน
“ได้เลย!” เย่เฟิงไม่พูดมากความ เขามาที่ค่ายกลมายาก็เพื่อหาประสบการณ์และยกระดับพลัง ในเมื่อมีคู่ซ้อมที่แข็งแกร่งที่ยินดีฝึกกับเขาทุกวัน เหตุใดจะไม่ยินดีเล่า
ดังนั้นวันต่อ ๆ มา เย่เฟิงมาที่ค่ายกลมายาทุกวันและไปยังช่องเขานั้นทุกครั้ง หญิงสาวมักจะรอคอยอยู่ที่นั่นเสมอ จากนั้นทั้งสองเปิดฉากแลกเปลี่ยนวิชา ต่างฝ่ายต่างได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ภายใต้แรงกดดัน หญิงสาวมักจะใช้เคล็ดวิชาใหม่ ๆ มาใช้จัดการเย่เฟิง แต่ทุกครั้งที่นางคิดว่าตนเอาชนะเย่เฟิงได้ด้วยเคล็ดวิชาใหม่ ๆ เย่เฟิงก็มักจะก้าวหน้าในสถานการณ์ยากลำบาก และจัดการการโจมตีของนางได้อย่างชาญฉลาด
ครั้งล่าสุดนางรู้สึกกดดันเป็อย่างมาก ทำให้หญิงสาวยิ่งอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นเกี่ยวกับตัวตนของเย่เฟิง ทั้งสองต่างก็รู้จักกันมากขึ้น หญิงสาวเคยซักถามอยู่หลายครั้ง แต่คำตอบที่ได้มามักมีเพียงคำว่า ตั๋วมิ่ง
เพราะเหตุนี้หญิงสาวจึงหมกมุ่นที่อยากจะเอาชนะเย่เฟิง เพื่อถอดหน้ากากของเขา
วันนี้เหมือนครั้งก่อน ๆ ทั้งสองเข้าสู่ค่ายกลมายา เปิดฉากประลองฝีมือ ซึ่งเมื่อคืนนี้หญิงสาวฝึกจนทะลวงขั้นพลังสู่ขั้นรวมชี่ที่ 8 พลังจึงถูกยกระดับไปอีกขั้น นี่ทำให้นางพอใจมาก ถึงนางจะแกร่งขึ้น เย่เฟิงกลับดูเหมือนแกร่งยิ่งกว่า แม้ไม่ได้เกิดจากการทะลวงขั้นพลัง แต่ทุกการโจมตีของเขากลับทรงพลังขึ้น
เริ่มแรกหญิงสาวทุ่มสุดกำลัง แล้วค่อย ๆ สงบนิ่ง ส่วนพลังของเย่เฟิงค่อย ๆ เปลี่ยนไป พัฒนาจนสามารถกดดันหญิงสาวได้แบบข้ามสามระดับพลัง จึงทำให้หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะบ่นเย่เฟิงว่าเป็ตัวประหลาด นางมีฐานะไม่ธรรมดา เป็อัจฉริยะมากฝีมือ พบเจออัจฉริยะมาตั้งมากมาย แต่กลับไม่มีคนใดวิปริตเท่าเย่เฟิงผู้นี้
“วูบ!” หลังจากเย่เฟิงวาดฝ่ามือโจมตีจนหญิงสาวถอยหลัง พลันรังสีหอกพาดผ่านท้องฟ้ามาเยือนในพริบตา ทำหญิงสาวหน้าถอดสี แม้อยากหนี แต่กลับไม่ทันการณ์ เพราะปลายหอกได้จี้อยู่ที่ลำคอของนางแล้ว
“เ้าแพ้แล้ว!” เย่เฟิงกล่าว ดวงตาภายใต้หน้ากากสีเงินไร้ซึ่งความผันผวน หลังจากประลองฝีมือกับหญิงสาวมาหลายวัน ทำให้เขาเข้าใจในความสามารถของตนมากขึ้น และได้รู้ว่าก่อนทำอะไรต้องวางแผนให้ดี ๆ พลังต่อสู้ของเขาจึงจะยกระดับไปอีกขั้น ครั้งนี้เอาชนะหญิงสาวที่มีขั้นพลังมากกว่าถึงสามขั้น โดยที่เขาไม่ได้เผยไพ่ตาย ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้เขาพอใจเป็อย่างมาก
หญิงสาวเม้มปากพลางเผยสีหน้าผิดหวังระคนไม่พอใจ เมื่อคืนนางทะลวงขั้นพลังจนพลังยกระดับ ถึงอย่างนั้นนางก็ยังคงพ่ายแพ้อยู่ดี ไม่ว่านางพยายามมากเพียงใด แต่เย่เฟิงยังคงทิ้งห่างไปไกล
ไม่นานสีหน้าผิดหวังก็จางหายไป แต่หญิงสาวระบายยิ้มแทนพลางกล่าวว่า “เ้าช่างไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผา[1]เสียเลย ยังไม่รีบเอาหอกออกไปอีก”
“เอ่อ...” เย่เฟิงเห็นหญิงสาวเกิดโทสะ รอยหยักสีดำพลันปรากฏบนหน้าผาก ก่อนจะเก็บหอกัเงินประกาย
“ข้าเคยบอกแล้วไง คนต่ำต้อยเช่นเ้าไม่มีสิทธิ์อยู่ใกล้นาง แต่เ้ากลับทำเป็หูทวนลม เช่นนั้นเ้าต้องชดใช้ให้กับการกระทำของเ้า!”
ขณะนั้นมีเสียงเย็นเยือกดังเข้ามาในหูของทั้งสองคน จากนั้นมีเงาร่างหนึ่งมาเยือนเบื้องหน้าเย่เฟิงในพริบตา พร้อมกับปล่อยพลังเข้าโจมตีซึ่งเป็พลังจุดสูงสุดของขั้นรวมชี่
เย่เฟิงเผยสีหน้าเย็นเยียบ คนผู้นี้เคลื่อนไหวเร็วมากจนเขามิอาจตอบสนองทัน เขาจึงวาดฝ่ามือโจมตีที่อัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาลด้วยความรีบร้อน
----------------------------------------------
[1] รักหยกถนอมบุปผา หมายถึง บุรุษควรทะนุถนอมอ่อนโยนต่อสตรี
