ไอ้สารเลวจ้าวกังนั่น ถ้าคืนนั้นมันสามารถลอบเข้าห้องไปได้จริง ไม่ว่าคนในห้องจะเป็ซุนเถียนหรือเซี่ยเสี่ยวหลาน หญิงสาวสองคนจะได้ผลดีอะไรอีกหรือ?
อาจารย์ใหญ่ซุนเป็ปัญญาชน และเป็ปัญญาชนตามขนบอย่างแท้จริงเสียด้วย ไม่ใช่พวกแขวนหัวแพะแต่ขายเนื้อสุนัข [1] ความหยิ่งในศักดิ์ศรีของปัญญาชน ความมีคุณธรรมสูงของปัญญาชน และยังมีความชิงชังการทุจริตดุจศัตรูของปัญญาชน อาจารย์ใหญ่ซุนมีครบทุกอย่าง
เมื่อก่อนเขาโปรดปรานเซี่ยจื่ออวี้เสียขนาดไหน พอรู้ว่าเซี่ยจื่ออวี้ไม่ได้ใสซื่อบริสุทธิ์เหมือนที่แสดงออกมา อาจารย์ใหญ่ซุนผู้เจ็บช้ำน้ำใจจากการถูกหลอกลวงสามารถกลายเป็ปรปักษ์ได้ภายในชั่วพริบตา... นั่นเป็เพราะความรั้นของปัญญาชนด้วยเช่นกัน ตอนนี้จ้าวกังกำลังทำเื่แบบเดียวกันไม่ใช่หรือ? จ้าวกังเป็อาจารย์ของเซี่ยนอีจง อยู่ภายใต้ความดูแลของอาจารย์ใหญ่ซุน มีคนอย่างนี้เป็อาจารย์ในโรงเรียน ก็เหมือนกับว่าอาจารย์ใหญ่ซุนบกพร่องในหน้าที่น่ะสิ!
เกือบทำให้หลานสาวของเขาบุบสลายแล้ว ทั้งยังรวมถึงนักเรียนดีเด่นที่เขาฝากความหวังไว้สูงลิบลิ่ว
อาจารย์ใหญ่ซุนถึงขนาดคิดเรียบร้อยแล้วว่าเมื่อเซี่ยเสี่ยวหลานสอบติดมหาวิทยาลัยดังก็จะติดดอกไม้แดง [2] เดินขบวนอวดโอ้ทั่วเขตอันชิ่ง จ้าวกังเกือบทำลายความฝันอันสูงสุดในอาชีพของอาจารย์ใหญ่ซุน หากอาจารย์ใหญ่ซุนปล่อยเขาไปสิถึงจะแปลก! ต้องไม่ให้ทางโรงเรียนจัดการ อาจารย์ใหญ่ซุนมองใบหน้าที่ยังไม่หายบวมของจ้าวกัง ต้องใช้เหตุผลอื่นไล่คนคนนี้ออก จะปล่อยให้เป็เื่อื้อฉาวใหญ่โตไม่ได้เด็ดขาด
“โชคดีที่เธอมีญาติสองคนนี้”
อาจารย์ใหญ่ซุนมีประสบการณ์ชีวิตมากกว่าซุนเถียน แม้จะบอกว่าเป็ญาติ ทว่าเคารพนบนอบเซี่ยเสี่ยวหลานไม่น้อย แต่ทำไมถึงมีคนเคารพนบนอบเซี่ยเสี่ยวหลานเล่า อาจารย์ใหญ่ซุนรู้พื้นเพครอบครัวของเธอดี เซี่ยเสี่ยวหลานเป็เพียงเด็กสาวชนบทธรรมดา ญาติพี่น้องฝ่ายบิดาร้ายกาจเกินทน บิดามารดาหย่าร้าง ใช้ชีวิตกับมารดา... อาจารย์ใหญ่ซุนปกปิดความไม่เข้าใจนี้เอาไว้ “เื่นี้เธอก็ไม่ต้องใส่ใจแล้ว ครูจะส่งจ้าวกังให้ผู้กำกับเหลียง”
แม้จะแซ่เหลียงเหมือนกัน แต่ผู้กำกับเหลียงคนนี้กับเหลียงปิ่งอันไม่เกี่ยวข้องกันโดยสิ้นเชิง เขาเป็ถึงอดีตผู้บังคับบัญชาโดยตรงของจั๋วเว่ยผิง
ผู้กำกับเหลียงช่ำชองประสบการณ์ทางโลก ปฏิบัติงานอย่างมีกลเม็ด ทั้งที่เป็การลงโทษคนชั่วเหมือนกัน เขากลับรู้หลบเป็ปีกรู้หลีกเป็หางกว่าจั๋วเว่ยผิง
นี่เป็การจัดการ ‘คดี’ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเซี่ยเสี่ยวหลานครั้งที่สาม ถ้ารวมจางเสเพลครั้งนั้น ควรเป็ครั้งที่สี่มากกว่า เซี่ยเสี่ยวหลานคือแขกประจำของสถานีตำรวจดีๆ นี่เอง ผู้กำกับเหลียงคิดว่าคำกล่าวหญิงงามล่มเมืองนี้มีมูลฐานอย่างยิ่ง แต่เขายังไม่ได้ตรรกะวิบัติ ที่จะคิดว่าคนเลวพวกนี้ทยอยกันเข้ามาหวังทำร้ายเซี่ยเสี่ยวหลาน แล้วกลับกลายเป็ความผิดของเซี่ยเสี่ยวหลานเสียเอง
เด็กคนนี้แค่หน้าตาสะสวยเหลือเกิน มีความผิดใด?
ผลการเรียนก็ดี อาจารย์ใหญ่ซุนเล่าว่าเธอหาเงินเล่าเรียนด้วยตนเอง ผู้กำกับเหลียงชื่นชมมากทีเดียว
สถานะของนักเรียนดีช่างไม่ต่างจากกระบี่อาญาสิทธิ์ [3] เซี่ยจื่ออวี้เคยใช้สถานะนี้ทำทุกสิ่งตามใจปรารถนา ทุกวันนี้สถานะของ ‘นักเรียนดี’ คุ้มกันภัยให้แก่เซี่ยเสี่ยวหลานได้เช่นกัน ตัดปัญหายุ่งเหยิงให้เธอมากมาย จ้าวกังถูกซ้อมจนสะบักสะบอม อีกทั้งถูกคุมขังไว้สองวัน ผู้กำกับเหลียงแค่ทำเป็ไม่รับรู้ สองหญิงสาวอย่างเซี่ยเสี่ยวหลานกับซุนเถียนคนหนึ่งคือนักเรียนดี อีกคนหนึ่งคืออาจารย์หญิง จะใช้เื่แบบนี้มาป้ายสีจ้าวกังหรือ? จองห้องในบ้านพักล่วงหน้า งัดแงะประตูห้องของพวกเธอกลางดึก บอกว่าจ้าวกังเดินผิดทางก็ไม่มีคนเชื่อ
ห้องชุดของเซี่ยเสี่ยวหลานและซุนเถียนอยู่ชั้นบนสุดเชียวนะ ห้องเดี่ยวที่จ้าวกังพักอยู่ชั้นสอง ตรงกลางถูกคั่นไว้อีกตั้งสามชั้น
หลี่ต้งเหลียงกับเก่อเจี้ยนเก็บอุปกรณ์เปิดประตูของจ้าวกังไว้ด้วย เป็ลวดเส้นเล็กที่มีความสั้นยาวไม่เสมอกัน ผู้กำกับเหลียงยอมในความพยายามจริงๆ จ้าวกังผู้เป็อาจารย์ มีอุปกรณ์มืออาชีพสำหรับพวกโจรกระจอก
“ผมพาตัวไปเลยแล้วกัน อาจ้าให้คุณครูซุนและนักเรียนเซี่ยไปสถานีตำรวจเพื่อลงบันทึกหน่อย พวกคุณสองคนวางใจได้ ทางสถานีจะเก็บเื่นี้ไว้เป็ความลับ จะไม่มีใครแพร่งพรายออกไปแน่นอน”
ผู้กำกับเหลียงมองหลี่ต้งเหลียงกับเก่อเจี้ยนซ้ำ
สองคนนี้ทำตัวซื่อๆ ปล่อยให้ผู้กำกับเหลียงพิจารณา
หากคนต่างถิ่นสองคนนี้ปรากฏตัวในอันชิ่งอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ จะเป็บุคคลที่ผู้กำกับเหลียงจับตามองแน่นอน เป็ญาติของเซี่ยเสี่ยวหลานจริงหรือ? รู้สึกว่าเหมือนมาคุ้มครองเซี่ยเสี่ยวหลานโดยเฉพาะมากกว่า
ผู้กำกับเหลียงและอาจารย์ใหญ่ซุนมีแิที่คล้ายคลึงกัน นั่นก็คือมองทะลุปรุโปร่งแต่ไม่เปิดเผย
จ้าวกังโดนลากตัวไปราวสุนัขที่แน่นิ่ง ในที่สุดอาจารย์ใหญ่ซุนก็นึกถึงเื่สำคัญได้
“จริงสิ นักเรียนเสี่ยวหลาน สำหรับสอบคัดเลือกรอบแรกเธอคิดว่าตัวเองทำได้เป็อย่างไรบ้าง?”
อันที่จริงสอบคัดเลือกรอบแรกนั้นผ่านง่ายมาก อย่าว่าแต่ระดับศักยภาพของเซี่ยเสี่ยวหลาน ต่อให้เป็ผู้เข้าสอบคนอื่นของเซี่ยนอีจง อัตราการผ่านย่อมมากกว่า 50% อย่างไรเสียเซี่ยนอีจงคือโรงเรียนมัธยมปลายที่ดีที่สุดของเขตอันชิ่ง ถ้านักเรียนส่วนใหญ่ติดอยู่ที่ด่านคัดเลือกรอบแรกนี้ เช่นนั้นโรงเรียนมัธยมปลายแห่งอื่นในชนบทยังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกหรือ?
ผู้ที่ต้องกังวลเกี่ยวกับคะแนนการสอบคัดเลือกควรเป็โรงเรียนมัธยมในชนบทเ่าั้ถึงจะถูก นักศึกษาที่มาจากเซี่ยนอีจงมีประมาณ 8 คนต่อหนึ่งปี โรงเรียนมัธยมปลายในชนบทจะแขวนไข่เป็ด [4] ก็ไม่แปลก!
ทำไมผู้เข้าสอบจากเฟิ่งเสียนถึงเหยียดคนที่มาจากในเขตน่ะหรือ นั่นก็เพราะโรงเรียนมัธยมปลายที่ดีของเฟิ่งเสียนผ่านการสอบคัดเลือกรอบแรกง่ายยิ่งกว่า
เกณฑ์รับเข้าต้าจงจวนของปีก่อนคือ 350 คะแนน สอบคัดเลือกรอบแรกขอเพียง 300 คะแนน ต้องผ่านได้อย่างแน่นอน
เซี่ยเสี่ยวหลานตอบอย่างตรงไปตรงมา “หนูคิดว่าโจทย์ไม่ค่อยยากค่ะ น่าจะสอบออกมาได้ไม่เลว”
อาจารย์ใหญ่ซุนราวกับได้รับประทานโสม สดชื่นไปทั้งร่างกาย “ดี แบบนั้นยิ่งดี!”
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าเธอทำข้อสอบได้ไม่เลว คงควรค่ากับค่าที่พักที่โรงเรียนออกให้ ทว่าอาจารย์ใหญ่ซุนนึกถึงเื่ที่เหล่าวังกลับมาเล่าให้ฟังอีกครั้ง ญาติสองคนของเซี่ยเสี่ยวหลานเลี้ยงอาหารสองวันแก่นักเรียนอีจงที่ไปเฟิ่งเสียน ขณะเขาจับมือขอบคุณหลี่ต้งเหลียงกับเก่อเจี้ยน ความสงสัยภายในใจกลับมากขึ้นทุกที
ถ้าพวกเขาไม่ใช่ญาติของนักเรียนเสี่ยวหลาน จะเป็ใครได้อีกเล่า?
หรือคนที่เลี้ยงอาหารนักเรียนเซี่ยนอีจงสองวันจะเป็นักเรียนเสี่ยวหลานเอง?!
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดถึงอุณหภูมิสูงของสองวันที่ผ่านมา การสอบคัดเลือกรอบแรกสิ้นสุดลงแล้ว เธอจึงสามารถไปหยางเฉิงได้อย่างสบายใจ ส่วนข้อสงสัยของอาจารย์ใหญ่ซุนยังตอบในตอนนี้ไม่ได้ รอเกาเข่าสิ้นสุดเมื่อไร เซี่ยเสี่ยวหลานจะจัดงานเลี้ยงขอบคุณอาจารย์เป็อย่างดี
เมื่อถึงเวลา อาจารย์ใหญ่ซุนก็จะรู้ทุกสิ่งเอง
ไปหยางเฉิงครั้งนี้ ตอนแรกเซี่ยเสี่ยวหลานตั้งใจว่าเธอจะพาพวกหลี่ต้งเหลียงไปก่อน
แต่หลานเฟิ่งหวงแทบไม่เหลือเสื้อผ้าอะไรให้จำหน่ายแล้ว งานในร้านจึงไม่ยุ่งมาก เธออยากพาหลี่เฟิ่งเหมยกับหลิวเฟินไปพร้อมกัน ก่อนการสอบเกาเข่า นี่จะเป็ครั้งสุดท้ายที่เซี่ยเสี่ยวหลานเดินทางไกล เธออยากทำให้หลี่เฟิ่งเหมยและหลิวเฟินเชี่ยวชาญวิธีการนำเข้าสินค้าในร้านเท่าที่จะทำได้ ต้องดูและเลือกบ่อยๆ ถึงจะมากประสบการณ์
ร้านสามารถส่งมอบให้หม่าเวยดูแลได้ก็จริง แล้วจะทำอย่างไรกับหลิวจื่อเทาเล่า?
จริงๆ แล้วการขอลาสองวันไม่ได้เสียเวลาเรียนสักเท่าไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาเรียนของนักเรียนประถมนั้นง่ายแสนง่าย แต่หลิวจื่อเทาเพิ่งเข้าเรียนตอนปีกลาย นิสัยในการเรียนที่ดียังไม่ถูกปลูกฝัง ไม่สมควรที่จะให้เขาเสียเวลาเรียนหนังสือเพื่อไปต่างถิ่น
ทว่าหากปิดภาคเรียนฤดูร้อนก็สามารถพาเขาออกไปเที่ยวได้
ย่าอวี๋ได้ยินหลิวเฟินกับเซี่ยเสี่ยวหลานปรึกษากัน เธอจึงเอ่ยปากอาสาแก้ไขปัญหาให้สองแม่ลูก
“ดูแลแค่รับส่งก็พอใช่หรือไม่? ฉันเลี้ยงเด็กไม่เป็หรอกนะ!”
หลิวเฟินปลาบปลื้มยิ่งนัก “เทาเทาแกรู้เื่มาก ไม่รบกวนคุณย่าแน่นอนค่ะ เขาทำอะไรเองได้หลายอย่าง”
ย่าอวี๋ร้องเฮอะเบาๆ “ควรจะเป็แบบนี้! เธออย่าใช้สายตานั่นมองฉันนะ ฉันแค่รับเงินคนอื่นมาแล้ว... บอกไว้ก่อนล่ะ ค่าใช้จ่ายของเขาต้องให้พวกเธอจ่ายกันเอง อย่าคิดจะหลอกคนแก่ส่งเสียเชียว”
ถ้ามิใช่เพราะเซี่ยเสี่ยวหลานได้ลาภลอยมาอย่างกะทันหัน และแบ่ง 5000 หยวนให้เธอ เธอไม่มีทางยุ่งเื่คนอื่นหรอก!
หญิงชราผู้นี้ จะทำความดียังต้องปากแข็ง
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ต่างจากกล่อมเด็กน้อย “จะออกค่าใช้จ่ายให้คุณย่าแน่นอนค่ะ คุณย่าว่าเท่าไรก็เท่านั้น”
ย่าอวี๋ผู้น่าอึดอัดมีความน่ารักที่น่ากระอักกระอ่วน ความสัมพันธ์ของทุกคนแปรเปลี่ยนจากเหินห่างเป็คุ้นเคย ย่าอวี๋แปรเปลี่ยนจากระแวงพวกเธอมาเป็อาสาช่วยเหลือ เ้าของบ้านกับผู้เช่าอยู่ด้วยกันเช่นนี้ได้ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว
ท่าทีของย่าอวี๋ที่มีต่อพวกเธอเปลี่ยนแปลงไป หลิวเฟินก็ยิ่งใส่ใจห่วงใยหญิงชรามากขึ้นเหมือนกัน ทุกคนเดินทางจากบ้านไปไกลกันหมด เธอยังกังวลว่าหากย่าอวี๋เป็ลมล้มพับอีกจะไม่มีใครรู้ มีหลิวจื่อเทาอยู่เป็เพื่อนก็ดีไม่น้อย
เชิงอรรถ
[1]挂羊头卖狗肉 แขวนหัวแพะแต่ขายเนื้อสุนัข หมายถึง สิ่งที่เห็นกับความจริงไม่ตรงกัน หลอกลวง
[2]การติดดอกไม้แดงให้เป็การยกย่องผู้ที่ได้รับ ถูกนำมาใช้ในหลายโอกาส เช่น ติดให้นักเรียนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ติดให้ทหารใหม่ที่จะเข้ากองทัพ ติดให้ผู้สูงอายุในงานฉลองวันเกิด
[3]尚方宝剑 กระบี่อาญาสิทธิ์ คือ กระบี่ของจักรพรรดิ เป็สัญลักษณ์แสดงแทนอำนาจของจักรพรรดิ เมื่อจักรพรรดิพระราชทานกระบี่อาญาสิทธิ์ให้ใคร ผู้นั้นจะมีอำนาจเด็ดขาดเสมอจักรพรรดิ (อำนาจในการลงโทษปะาโดยไม่ต้องทูลขออนุญาตก่อน หลังจากนั้นค่อยรายงาน) จึงนำมาเปรียบเทียบกับอำนาจที่เบื้องบนอนุญาตให้เป็พิเศษ
[4]หมายถึง จำนวนศูนย์