มีคนป้อนยาทำแผลให้ เพียงไม่กี่ชั่วยาม สองคนนี้ก็ฟื้นคืนสติ
หลังจากสำรวจสภาพแวดล้อมรอบๆ แล้วมองตัวเอง ทั้งสองเข้าใจดีว่าพวกเขาถูกคนช่วยชีวิตไว้
“ฟื้นแล้วหรือ? พอดีเลย ข้ามีโจ๊กอุ่นอยู่ในหม้อ จะไปตักมาให้” เจียงหงหย่วนเข้ามาจากด้านนอก เห็นทั้งสองพยายามลุกขึ้นนั่งบนเตียงไม้ที่ต่อแบบเรียบง่าย
“เ้าเป็คนช่วยพวกข้า?” บุรุษร่างสูงใหญ่มีแผลเป็น่ากลัวบนใบหน้า ดูจากการแต่งตัวน่าจะเป็นายพรานบนูเา
“ไม่ถึงกับช่วยหรอก หากไม่มีพวกเ้า ข้าคงล่าเสือไม่ได้เป็แน่” เจียงหงหย่วนพูดจบก็เดินออกไปตักโจ๊ก ปล่อยให้คนทั้งสองในห้องมองหน้ากันด้วยความงุนงง
บุรุษผู้นี้จะตรงไปตรงมาเกินไปแล้วกระมัง มีบุญคุณช่วยชีวิตคนให้อ้างแต่กลับไม่รับ เขาไม่รู้หรือว่าบุญคุณนี้สามารถนำมาซึ่งเงินทองนับไม่ถ้วน?
มิหนำซ้ำ ข้อมูลที่เปิดเผยจากคำพูดบุรุษผู้นี้สุดยอดมากเช่นกัน หมายความว่า หากตอนนั้นเขาไปไม่ทันเวลา พวกเขาคงถูกเสือกินลงท้องไปเสียแล้ว!
หลิวเฉียงกับหวงจ้งซานสบตากัน ทั้งคู่กลืนน้ำลาย ความรู้สึกที่รอดตายมานี่ช่าง…ยากเกินจะบรรยายเสียจริง
“อะ โจ๊กต้มจากน้ำแกงเนื้อเสือ กินแล้วเ้าจะได้มีแรง ตอนออกจากป่าจะได้ไม่เป็ตัวถ่วงข้า” เจียงหงหย่วนยัดโจ๊กสองชามใส่มือทั้งสองแล้วออกไปทำงานต่อ
เขาต้องทำคานหาบเพื่อแบกหมีที่ติดกับดักลงจากูเา
“ท่านผู้มีพระคุณโปรดช้าก่อน!” หลิวเฉียงไม่มัวมาดื่มโจ๊ก รีบร้องเรียกเจียงหงหย่วน ประกายเ้าเล่ห์กะพริบผ่านแววตาเจียงหงหย่วน ทว่าเมื่อหันตัวมากลับดูโผงเผงไม่สนสิ่งใดเช่นเดิม
“มีกระไร!” เสียงเจียงหงหย่วนฟังดูรำคาญ “อย่าเรียกข้าว่าผู้มีพระคุณ จะว่าไปแล้วข้าควรเป็ฝ่ายขอบคุณพวกเ้าด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะพวกเ้านอนจมกองเือยู่ที่นั่นข้าคงล่อเสือไม่สำเร็จเป็แน่”
นี่…จะไม่ยอมให้ซาบซึ้งในบุญคุณเลยหรือ?
“แค่กแค่ก…เช่นนั้นข้าน้อยควรเรียกผู้มีพร…ท่านว่าอย่างไร?” หลิวเฉียงสำลักกับคำพูดของเจียงหงหย่วนเสร็จจึงเอ่ยปากถาม
“ข้าชื่อเจียงหงหย่วน คนในหมู่บ้านต่างเรียกข้าว่านายพรานเจียง”
“ข้าน้อยมีนามว่าหลิวเฉียง ผู้นี้คือหวงจ้งซาน ข้าน้อยมาจากหน่วยเชียนฮู่…”
“พวกเ้ามีกระไรกันแน่ มีเื่ก็รีบพูดมา อย่าทำข้าเสียเวลาทำงาน ด้านนอกยังมีสัตว์ที่าเ็อีก ข้าต้องไปเก็บกวาดให้เรียบร้อย มิเช่นนั้นหากล่อฝูงหมาป่าเข้ามา ไอ้ตัวข้าเองยังหนีรอดได้ แต่คงไม่มีเวลามาสนใจพวกเ้า”
ท่าทีของเจียงหงหย่วนทำให้รู้สึกเหมือนไม่สนใจฟังคำแนะนำตัวของเขาแม้แต่น้อย ท่าทีสื่อออกมาว่าข้าไม่สนใจว่าเ้าเป็ผู้ใด พวกเ้าสองคนอย่าเพิ่มปัญหาให้ข้าเป็พอ ทำเอาคนฟังไปไม่ถูก
แต่ที่พี่ชายท่านนี้พูดย่อมไม่ผิด หากงานของเขาล่าช้าจนล่อฝูงหมาป่าเข้ามาคงอนาถเป็แน่
ได้ ยอมดื่มโจ๊กแต่โดยดีไปก่อน
ดื่มโจ๊กที่ต้มจากน้ำแกงเนื้อเสือแล้วร่างกายอบอุ่น สบายตัวขึ้นไม่น้อย
“ดูท่าบุญคุณที่เ้าช่วยชีวิตพวกเราจะตอบแทนไม่ง่ายเสียแล้ว” หวงจ้งซานถอนหายใจพูดหลังจากที่ดื่มโจ๊กเสร็จ ท่าทีของเจียงหงหย่วนทำให้ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
ส่วนเขาไม่อยากติดหนี้บุญคุณผู้ใดเช่นกัน หากไม่มีนายพรานเจียง พวกเขาคงถูกเสือกินลงท้องไปเสียแล้ว
“นั่นน่ะสิ นายพรานเจียงผู้นี้เป็คนซื่อตรง แต่พวกเราต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง ข้าดูจากการแต่งกายเขา…ที่บ้านคงจะไม่ร่ำรวย กระนั้นหากเอ่ยปากให้เงินตรงๆ เขาต้องไม่ยอมรับเป็แน่”
หลิวเฉียงพิจารณานิสัยของเจียงหงหย่วนแล้วกล่าวพร้อมถอนหายใจ
แต่หวงจ้งซานกลับตาเป็ประกายเมื่อฟังจบ “เช่นนี้ก็ง่ายแล้ว พวกเราแค่หางานที่เงินเดือนเยอะให้เขาหรือไม่ก็รับซื้อสัตว์ที่ล่ามาได้และจ่ายเงินให้มากหน่อยก็จบ”
หลิวเฉียงตบเข่าฉาด “นั่นน่ะสิ อย่างไรบรรดาบุรุษในค่ายทหารล้วนชอบกินเนื้อ! ข้าซื้อเนื้อจากเขาแล้วเอาไปทำกิน ถือเป็วิธีที่ดียิ่งนัก”
ต้องยอมรับว่าท่าทีเช่นนี้ของเจียงหงหย่วนทำให้สองคนนี้ประทับใจ มีบุญคุณแต่ไม่หวังสิ่งตอบแทน แม้คำพูดจะโผงผางหยาบคาย ทว่าหากลองคิดอย่างละเอียดจะพบว่า วิธีพูดเช่นนี้ทำให้พวกเขามีภาระทางใจน้อยลง
ในเมื่อนายพรานเจียงคิดเผื่อพวกเขาเช่นนี้ พวกเขายิ่งต้องตั้งใจช่วยเหลือนายพรานเจียง
ความรู้สึกสำนึกในบุญคุณของทั้งคู่พัฒนาเป็ความ้าที่จะปฏิบัติต่อนายพรานเจียงแบบพี่น้องโดยไม่รู้ตัว
วิธียอมถอยเพื่อชนะใจของเจียงหงหย่วนทำให้สองคนนี้จดจำบุญคุณของเขาสำเร็จ ไม่สามารถใช้คืนได้ในคราเดียว เด็ดขาดเฉียบคม แม้แต่คนที่คลุกคลีในราชสำนักและค่ายทหารมานานอย่างสองคนนี้ยังถูกเขาตบตา เรียกได้ว่าเลิศล้ำมาก
“คืนนี้นอนพักบนเขาเสียก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยลง” เจียงหงหย่วนทำงานเสร็จก็เดินเข้ามาพูดแบบเหงื่อชุ่ม
หลิวเฉียงรีบถาม “นายพรานเจียง เ้าล่าสิ่งใดมาได้หรือ?”
เจียงหงหย่วนตอบเสียงอู้อี้ “หมี”
ทั้งฆ่าเสือทั้งฆ่าหมี ตอนนี้หลิวเฉียงกับหวงจ้งซานต่างต้องมองเจียงหงหย่วนใหม่
“จริงหรือ? เช่นนั้นเ้าขายอุ้งตีนหมีให้ข้าได้หรือไม่? ข้าอยากได้แค่อุ้งตีนหมี” หลิวเฉียงพูดตาเป็ประกายด้วยความดีใจ
ความหมายคือจะเอาหนังเอาเนื้อไปทำกระไรก็แล้วแต่เ้า
หมีตัวหนึ่งแยกส่วนขายย่อมได้ราคาดีกว่าขายยกตัว นี่เป็สาเหตุที่หลิวเฉียงกล่าวเช่นนั้น
เป็ไปตามคาด หลังจากเขาบอกว่าจะเอาอุ้งตีนหมี หวงจ้งซานถือโอกาสพูดต่อว่า “ข้าอยากได้เนื้อหมี” ให้นายพรานเจียงเก็บหนังหมีไว้เอง เอาไปขายเป็เงินก็ได้
ทั้งคู่ทำเช่นนี้เพราะกลัวว่าจะทำให้ผู้มีพระคุณไม่พอใจ หากบอกว่าไม่ขายสิ่งใดทั้งนั้นพวกเขาจะทำอย่างไร?
ได้แต่โกหกด้วยเจตนาดี
อันที่จริง สองคนนี้คิดมากเกินไปเสียแล้ว
นี่ถือเป็เื่ดีที่เจียงหงหย่วนไม่คาดฝัน!
เขาไตร่ตรองชั่วครู่ ถามหลิวเฉียงว่า “เช่นนั้นเ้าให้ราคาเท่าไร หมีที่ข้าล่ามาได้ แค่อุ้งตีนคู่เดียวหนักยี่สิบกว่าชั่ง!”
ทั้งสองสูดหายใจดังเฮือกเมื่อฟังจบ อุ้งตีนข้างละสิบกว่าชั่ง นี่หมีต้องตัวใหญ่ขนาดไหนกัน
หลิวเฉียงพูดว่า “ปีก่อนข้าไปงานวันเกิดผู้าุโที่บ้าน ให้คนช่วยตามหาอุ้งตีนหมีหนึ่งคู่ หนักสิบแปดชั่ง จ่ายไปห้าร้อยตำลึงเงิน” ความจริงคือสามร้อยตำลึง เขาจงใจพูดให้เยอะเพื่อซื้อจากเจียงหงหย่วนในราคาแพง ถือว่าได้ตอบแทนคืน
ไม่คิดเลยว่าเจียงหงหย่วนจะมองเขาเหมือนมองคนเขลาเช่นนี้ “เช่นนั้นเ้าคงถูกหลอกเสียแล้ว เพราะอุ้งตีนหมีขนาดที่ข้ามี นำไปขายยังได้แค่ร้อยตำลึง”
คำพูดนี้ทำเอา…หลิวเฉียงพูดต่อไม่ถูก
ดีที่หวงจ้งซานมีไหวพริบ ช่วยพูดเสริมว่า “นั่นมันราคาที่เ้านำไปขายให้พ่อค้าคนกลาง พวกเขาต้องกดราคาอยู่แล้ว หลังจากพ่อค้าคนกลางได้มาจะขึ้นราคา ปกติจะบวกกำไรเท่าตัว ยิ่งผ่านหลายมือยิ่งขึ้นราคา ราคาจะเพิ่มถึงห้าร้อยตำลึงเงินตอนมาถึงมือหลิวเชียนฮู่ย่อมไม่แปลก อันที่จริงราคาของอุ้งตีนหมีในตลาดสูงมาก พวกเ้าที่เป็นายพรานแค่ถูกพ่อค้าเอาเปรียบ หากขายให้หลินเชียนฮู่โดยตรงจะได้เพิ่มอีกสี่ร้อยตำลึงเงิน”
หลิวเฉียงแอบส่งสายตาชมเชยให้หวงจ้งซานเมื่อได้ยินดังนี้ พูดกับเจียงหงหย่วนว่า “เช่นนั้น…พี่ชายขายอุ้งตีนหมีคู่นี้ให้ข้าห้าร้อยตำลึงด้วยดีหรือไม่? ข้าเองถือว่าได้กำไรเช่นกัน เพราะหากไปซื้ออุ้งตีนหมีหนักยี่สิบกว่าชั่งในตลาดอาจราคาสูงถึงหกเจ็ดร้อยตำลึง”
ไอ๊หยา เขาช่างทุ่มเทความคิดเพื่อมอบเงินจำนวนมากออกไปเสียจริงๆ