เมื่อออกมาจากเรือนตะวันออกแล้วถึงเพิ่งค้นพบว่าคนบนถนนน้อยลงไปมาก โดยเฉพาะลูกหลานรุ่นเยาว์จากตระกูลต่างๆ อ๋าวหรานคาดว่าคงจะใกล้เวลามากแล้ว เดินอย่างมั่นคงมาตลอดทาง แต่ในหัวกลับเอาแต่คิดถึงแผนการชั่วร้ายของจิ่งเหวินซานไม่หยุด เขาต้องทำอย่างไรถึงจะทำให้จิ่งเหวินซานไม่สมดังปรารถนา?
ถึงจะยังไม่อาจรับประกันได้ว่าเ้าหวาหวาจิ่วผู้นี้จะแข็งแกร่งถึงขนาดที่จิ่งฝานไม่อาจสู้ได้จริงหรือ แต่เขาหาได้กลัวเื่นี้ไม่ กลัวเหตุไม่คาดฝันเสียมากกว่า
อ๋าวหรานยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนรน แล้วรีบไปยังสนามประลองอย่างรวดเร็ว
...
ตอนที่จิ่งเหวินซานไปถึงสนามประลอง ลูกหลานจากหลายตระกูลส่วนใหญ่ล้วนมาถึงแล้ว จับกลุ่มพูดคุยกันกลุ่มละสองสามคนอย่างสรวลเสเฮฮา ดูสมัครสมานยิ่ง จิ่งเหวินซานยืนยิ้มน้อยๆ อยู่บนเวที
ที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงก็คือรอบนี้ไม่ได้มาเพียงแค่จิ่งเหวินซาน ผู้าุโคนอื่นๆ ของตระกูลจิ่งก็ล้วนมาทั้งสิ้น ในบรรดาคนเหล่านี้จิ่งเหวินซานนับว่ามีลำดับาุโค่อนข้างต่ำแล้ว แต่อย่างไรเขาก็เป็เ้าภาพหลักของงานแข่งขันประลองยุทธ์ครั้งนี้ ผู้าุโของตระกูลจิ่งจึงให้เกียรติเขาโดยให้เขานั่งอยู่ที่ด้านหน้าสุดฝั่งขวา
คนด้านล่างเห็นที่นั่งบนเวทีมีคนทยอยนั่งลงจนครบจึงค่อยๆ เงียบลง
เฒ่าชราบนที่นั่งแต่ละคนมีอายุอานามมากแล้ว แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะนั่งเงียบอยู่เฉยๆ ตอนนี้แต่ละคนก็ทำท่าทางเคร่งขรึมทรงอำนาจ ดวงตาสอดส่ายไปมาเป็ร้อยรอบ คุณชายตระกูลใดยอดเยี่ยม คุณชายตระกูลใดยืนตระหง่าน เทียบกับลูกชายตัวเองแล้วเป็อย่างไร จะจับมาแต่งงานกับลูกสาวตัวเองดีหรือไม่...ในใจคิดไปร้อยพันตลบ คิดไปเสียยาวไกล ไม่แปลกเลยที่ข้อเสนองานประลองยุทธ์ครั้งนี้ของจิ่งเหวินซานจะได้รับเสียงสนับสนุนถึงเพียงนี้ ไม่ใช่แค่เพราะจิ่งเหวินซานรู้จักพูด แต่คิดว่าแต่ละคนคงมีแผนการอยู่ในใจเป็แน่
พวกจิ่งฝานทั้งสี่คนยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน จิ่งเซียงอึ้งไป “อาสามก็มาด้วย”
อาสามผู้นี้ไม่ใช่อาสามคนนั้นที่จิ่งเคอเรียก คนผู้มีเชื้อสายห่างไปสักเล็กน้อย แต่แค่อยู่ลำดับที่สามพอดีก็เท่านั้น แต่คนผู้นี้คือน้องชายของจิ่งเหวินซาน อาสามแท้ๆ ของจิ่งเซียง...จิ่งเหวินหยู่
ที่นั่งของจิ่งเหวินหยู่นับว่าอยู่ค่อนไปทางหลืบมุม นั่งเงียบอยู่ตรงนั้นคนเดียว หลุบตาลงครึ่งหนึ่ง ราวกับรับรู้ได้ว่ามีสายตาส่งมาทางเขาจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็จิ่งเซียงจึงโบกมือทักทาย แล้วยังยิ้มน้อยๆ ให้อีกด้วย ใบหน้าซีดขาวราวกับกล้วยไม้ผลิบานทำให้ดวงตาคนที่มาสว่างไสว น่าเสียดายที่รอยยิ้มนั้นแค่ครู่เดียวก็หายไป จากนั้นจิ่งเหวินหยู่ก็ปิดปากไอออกมาสองที
จิ่งเซียงรีบโบกมือ สีหน้าปรากฏแววกังวลขึ้นหลายส่วนซึ่งน้อยครั้งนักจะมี
ลูกหลานตระกูลจิ่งอย่างพวกเขา...จำนวนครั้งที่เจอจิ่งเหวินหยู่นั้นไม่นับว่ามาก แต่ส่วนใหญ่ล้วนค่อนข้างชอบจิ่งเหวินหยู่ เขาผู้นี้ถึงแม้จะอ่อนแอขี้โรคและมักจะไอแทบไม่หยุด แต่เขาก็ไม่เคยโทษฟ้าโทษผู้คน กลับมีนิสัยอ่อนโยนและมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเสมอ ไม่ว่าพบใครก็มักจะพูดคุยถามไถ่อย่างอ่อนโยนมีน้ำใจ ไม่เคยถือโทษโกรธเคืองใคร ในตระกูลเคยมีคนหัวเราะเยาะเขาต่อหน้าฝูงชนว่า ‘รูปร่างบอบบางอ่อนแอ’ ราวกับสตรี แล้วเขายังได้ยินเต็มสองหู คนผู้นั้นตอนนั้นก็กระอักกระอ่วนไป แต่เขากลับทำเพียงยิ้มบางๆ แล้วเดินจากไป ไม่เอาเื่เอาความแม้แต่น้อย
แต่คนที่ว่าร้ายเขาผู้นั้นก็นับว่าดวงซวยแล้ว ไม่กี่เดือนต่อมาเมื่อออกไปเที่ยวเล่นกับพรรคพวก เขาจับงูพิษมาแกล้งคนให้ใกลัว กลับไม่คิดว่าเผลอเพียงนิดเดียวจะถูกเ้างูนั่นกัดเข้าให้ แม้จะมียาถอนพิษและรีบพากลับมาที่ตระกูลจิ่งอย่างรวดเร็ว แต่สุดท้ายก็รักษาชีวิตไว้ไม่ได้
ไม่พูดเื่อื่นแล้ว จิ่งเซียงมองดูอาสามบนเวทีที่พยายามกลั้นไอก็รู้สึกเป็ห่วงอย่างยิ่ง
จิ่งเหวินหยู่มักจะอยู่แต่ที่เรือนพักของตัวเอง น้อยครั้งนักที่จะออกมา หนึ่งเพราะเกรงว่าจะโดนลมเหนื่อยหอบจนทำให้ป่วยหนักขึ้น สองคือกลัวจะไปแพร่เชื้อโรคให้กับคนอื่นๆ ในตระกูล ในรุ่นราวคราวเดียวกับจิ่งเหวินซานนี้ เขาจึงนับได้ว่าเป็คนที่ไร้ชื่อเสียงที่สุดแล้ว
จิ่งเซียงเคยเจอเขาเพียงสองสามครั้ง และทุกครั้งเขามักจะมอบของเล่นไร้สาระให้เพื่อหยอกล้อให้นางดีใจ ดังนั้นจิ่งเซียงจึงค่อนข้างชอบอาสามผู้นี้ของนางมาก
จิ่งเหวินหยู่ไออยู่สองทีก็หยุด จิ่งเซียงจึงค่อยเบาใจและกำชับเขาจากที่ไกลๆ ว่าให้ระวังร่างกายตัวเองให้ดี จิ่งเหวินหยู่เข้าใจความหมายของนาง ยิ้มแล้วโบกมือปลอบใจนางเพื่อให้นางไม่ต้องกังวล
หลังจากกังวลเื่จิ่งเหวินหยู่เสร็จ จิ่งเซียงก็หันซ้ายหันขวาอีก อดพูดอย่างประหลาดใจไม่ได้ว่า “เหตุใดอ๋าวหรานยังไม่มาอีก เขากับหวางฮวายเหล่ยเหตุใดถึงคุยกันนานถึงเพียงนี้?”
จิ่งจื่อขมวดคิ้ว “แต่เ้าหวางฮวายเหล่ยนั่นมาถึงแล้วนี่”
จิ่งเซียงตื่นใ “ไม่ใช่ว่าหวางฮวายเหล่ยเล่นไม่ซื่อแล้วจับอ๋าวหรานขังเอาไว้หรอกใช่หรือไม่?”
จิ่งจื่อเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “ไม่ถึงขนาดนั้นกระมัง เขาไม่มีทางทำเื่ชั่วร้ายอย่างเหิมเกริมเช่นนี้แน่ อีกอย่างอ๋าวหรานน่าจะสู้เขาได้มิใช่หรือ?”
จิ่งเซียงทำสีหน้าราวกับว่าเ้าคิดง่ายเกินไปแล้วพูดว่า “หวางฮวายเหล่ยยังมีอีกคนที่ตามติดอยู่ด้านหลังเขาอย่างกับหางอยู่นะ”
เหยียนเฟิงเกอที่อยู่อีกด้านค่อยๆ ขมวดคิ้วเข้าหากัน “เขาเคยมีเื่กับศิษย์น้องข้าหรือ?”
จิ่งจื่อส่ายหน้า “แม้จะไม่เคยมีเื่กันมาก่อน แต่เขามีจุดมุ่งหมายอื่นอยู่ เกรงว่าเขาจะบรรลุเป้าหมายตัวเองไม่ได้แล้วคิดทำอะไรขึ้นมา”
เหยียนเฟิงเกอได้ยินก็ยกเท้ากำลังจะจากไป จิ่งจื่อรีบหยุดเขาไว้ “เ้าจะทำอะไร?”
สีหน้าเหยียนเฟิงเกอแข็งราวกับน้ำแข็ง “ข้าจะไปหาดู”
จิ่งจื่อยังไม่ทันอ้าปาก จิ่งฝานก็พูดเรียบๆ ว่า “รอไปก่อนเถิด เวลายังเร็วอยู่มาก”
จิ่งจื่อเองก็พยักหน้า “ไม่แน่ว่าอาจจะไปเถลไถลอยู่ที่ไหนสักที่ก็ได้”
จิ่งเหวินซานทักทายผู้าุโรุ่นใหญ่สองสามท่านที่อยู่รอบๆ ยืนยิ้มอยู่ที่ขอบเวที เคลื่อนย้ายกำลังภายในเบาๆ แล้วพูดว่า “ทุกท่าน ใกล้ได้เวลาแล้ว ข้อมูลเกี่ยวกับการประลองเมื่อเช้านี้...ข้าก็ได้บอกกับทุกท่านไปแล้ว จึงไม่ขออธิบายซ้ำอีกรอบ วันนี้ผู้ที่มายังมีผู้าุโทั้งหลายของตระกูลจิ่งข้า ถือว่ามาทำหน้าที่เป็ผู้ตัดสินให้กับทุกท่านและยังเป็กรรมการอีกด้วย หวังว่าหลานทั้งหลายจะหยุดเมื่อสมควรหยุด ประลองกันฉันมิตร ถือการแลกเปลี่ยนเป็สำคัญ”
จิ่งเหวินซานพูดจบแล้วยังแนะนำผู้าุโในตระกูลจิ่งที่มากันในวันนี้ให้ได้รู้จักกันอีกด้วย แน่นอนว่าคนที่มีศักดิ์าุโสูงสุดของที่นี่ก็ยังเป็จิ่งเฟิงกั๋ว คนผู้นี้ยังคงไม่ยิ้มแย้มช่างพูดเหมือนเดิม ยังคงทำสีหน้าเคร่งขรึม ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา
คนอื่นๆ มากน้อยก็ยังคงเป็คนกลุ่มเดิมที่อภิปรายกันในวันนั้น คนที่เพิ่มเข้ามาก็คือพวกคนรุ่นเดียวกับจิ่งเหวินซาน ไม่ได้เข้าร่วมการตัดสิน แค่มาเพื่อชมดูเื่สนุกเท่านั้น
จิ่งเหวินซานเองก็ไม่พูดไร้สาระมากความ เมื่อดูเวลาและแนะนำให้ลูกหลานจากตระกูลอื่นให้ได้รู้จักกับคนใหญ่คนโตที่สำคัญๆ บางคนในตระกูลเสร็จแล้วจึงหยุดพูด ผู้ดูแลที่เดินตามหลังเขาอยู่ตลอดเวลาก็สังเกตสีหน้าเขาแล้วคอยปฏิบัติตามคำสั่ง เมื่อเห็นว่าเขาพูดจบแล้วจึงอุ้มกล่องไม้กล่องหนึ่งลงจากเวทีไป เมื่อจิ่งเหวินซานเห็นว่าเขายืนนิ่งแล้วก็ชี้ไปที่กล่องไม้แล้วพูดว่า “ในกล่องนี้มีแท่งไม้อยู่สองร้อยห้าสิบหกแท่ง มีหมายเลขั้แ่หนึ่งถึงหนึ่งร้อยยี่สิบแปด ทุกตัวเลขจะมีแท่งไม้สองอัน ใครที่จับได้เลขเดียวกันก็จะถือว่าได้คู่กัน และตัวเลขนี้ยังหมายถึงอันดับการลงสนามประลองอีกด้วย เหตุเพราะคนที่สามารถทำหน้าที่เป็ผู้ตัดสินได้นั้นมีไม่มาก จัดการประลองร้อยกว่าคู่พร้อมกันทีเดียว...ข้าเกรงว่าจะดูไม่ทั่วถึง ดังนั้นในทุกรอบเราจะประลองแค่สิบห้าคู่เท่านั้น อันดับการประลองก็ดูได้จากตัวเลขบนแท่งไม้ วันนี้น่าจะได้สักเก้ารอบแล้วคงเสร็จสิ้น ทุกท่านยังมีข้อสงสัยอะไรอีกหรือไม่”
ทุกคนพากันส่ายหน้าเพื่อแสดงออกว่าเข้าใจแล้ว
จิ่งเหวินซาน “เช่นนั้นข้าก็จะไม่เสียเวลาแล้ว มาเริ่มกันเลยเถิด”
เมื่อเสียงประกาศเริ่มดังขึ้น ทุกคนยังคงอ้ำอึ้งกันอยู่ ชั่วขณะหนึ่งก็ยังไม่รู้ว่าควรเป็คนแรกที่เข้าไปจับฉลากหรือไม่ แต่ว่าพวกเขายังไม่ทันได้คิดให้ดี พวกหลัวฉี่ก็ไปถึงกล่องไม้นั่นแล้ว คนพวกนี้อยู่รวมกลุ่มกันมาั้แ่แรก ตอนนี้ก็เดินขึ้นหน้ามาพร้อมกัน ก็ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะดีเช่นนี้ด้วยหรือไม่
ทางเต๋อรั่วยังคงไม่พูดแม้สักคำ ยังคงมีท่าทางสบายๆ ราวกับอย่างไรก็ได้ยืนอยู่ข้างสวีหรงฉี่ สวีหรงฉี่ที่น่าสงสารต้องคอยหันมามองเขาอย่างเกรงกลัวเป็ระยะ เกรงว่าจะละเลยเขา หลางฉาก็เดินตามไป มือเท้าไม่เป็ธรรมชาติ หากว่าอ๋าวหรานมาเห็นต้องทอดถอนใจเป็แน่ แม่นางที่ในหนังสือโอหังไร้ความเกรงกลัว ผู้ใดได้ยินกิตติศัพท์เป็ต้องหวาดกลัว แต่ขณะเดียวกันผู้ใดได้เห็นก็ล้วนต้องใจสั่นไหวนั้นก็มี่เวลาที่หวาดกลัวหัวหดเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน
พวกหลัวฉี่เกรงใจกันไปรอบหนึ่ง สุดท้ายก็เป็หลัวฉี่ที่ขึ้นนำไปจับฉลากเป็คนแรก...หมายเลขสี่สิบเจ็ด หลัวฉี่เอาให้ทุกคนดูทีหนึ่งแล้วจึงถอยหลังไปสองสามก้าว เพื่อรอคนที่เหลือจับฉลาก
มีหลัวฉี่นำไปก่อน คนที่เหลือก็ไม่คล้อยตามหลัง สวีหรงฉี่มองไปทางทางเต๋อรั่วทีหนึ่ง เห็นเขาไม่คิดจะไปจับจึงลงมือจับก่อน...ได้หมายเลขหกสิบสอง สวีหรงฉี่แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ดียิ่งแล้ว ยังไม่ต้องสู้กับหลัวฉี่เป็การชั่วคราว ถึงแม้ว่าเขาจะอยากสู้กับหลัวฉี่มาก แต่ถ้าเจอกันั้แ่รอบแรก เช่นนั้นก็คงกระอักกระอ่วนแล้ว เมื่อถอนหายใจเสร็จ สวีหรงฉี่ก็มองไปยังทางเต๋อรั่วทีหนึ่ง อดสำลักขึ้นมาไม่ได้ อย่าให้ต้องได้สู้กับทางเต๋อรั่วหรือหลางฉาเลย
ในตอนที่เขากำลังกังวลอยู่นี้ เซี่ยเหวินเอ่อก็จับได้หมายเลขสิบแปด คนพวกนี้อันดับเริ่มขยับขึ้นมาข้างหน้าบ้างแล้ว
เฉินเปิ่นฉีและหวางฮวายเหล่ยล้วนเป็คนรักหยกถนอมบุปผา พากันทำสีหน้านอบน้อมเอาใจ มองไปทางหลี่หนิงหว่านกับหลางฉาแล้วพูดอย่างยอมถอยว่า “แม่นางทั้งสอง เชิญก่อนเลย”
หลี่หนิงหว่านถูกคนรักใคร่บูชามาั้แ่เล็ก แน่นอนว่าไม่มีทางเกรงใจและไม่แม้แต่จะมองคนทั้งสอง ล้วงมือลงไปในกล่องไม้ หยิบแท่งไม้ขึ้นมาดู...หนึ่งร้อยหนี่ง ลำดับค่อนไปทางด้านหลัง คาดว่าคงอีกนานกว่าจะถึง หลี่หนิงหว่านขมวดคิ้ว ดูไม่ยินดีอยู่เล็กน้อย
หลางฉาเดินตามหลังไป แต่ยังคงหันไปแสดงท่าทางคารวะน้อยๆ ที่เหมือนจะมองไม่เห็นต่อทางเต๋อรั่ว แล้วจึงค่อยยื่นมือลงไปในกล่องไม้ นางไม่ได้เลือก เพียงเอื้อมมือไปจับเฉยๆ เมื่อได้แล้วจึงหยิบขึ้นมา สุดท้ายพอดูก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปาก...หนึ่งร้อยหนึ่ง
หลัวฉี่ที่อยู่อีกด้านอดส่งเสียงดัง “อา” ออกมาทีหนึ่งไม่ได้แล้วพูดว่า “แม่นางทั้งสองมีวาสนาต่อกันจริงๆ”
คิ้วของหลี่หนิงหว่านขมวดเข้าหากันยิ่งกว่าเดิม แลดูดูถูกอย่างชัดเจน
หลางฉาเก็บแท่งไม้ หาได้สนใจหลี่หนิงหว่านไม่ แล้วจึงไปยืนอยู่อีกฝั่งอย่างนิ่งเงียบ ท่าทางเช่นนี้ดูคล้ายกับอิ่นซีเิที่นางเคยเยาะหยันว่าเป็ดอกบัวเรียบง่ายอยู่หลายส่วน
หลี่หนิงหว่านเห็นแล้วก็รู้สึกดูถูกอยู่บ้าง...หน้าตาราวกับปีศาจจิ้งจอก ยังจะเสแสร้งทำเป็บริสุทธิ์เรียบร้อยอีก
หวางฮวายเหล่ยเห็นหญิงงามทั้งสองจับเสร็จแล้วก็เดินขึ้นหน้าไปก้าวหนึ่งแล้วจับแท่งไม้ เฉินเปิ่นฉีก็ตามหลังมาติดๆ หมายเลขที่ทั้งสองจับได้คือ...ห้าสิบเอ็ดและสิบสี่
เมื่อคนทั้งสองจับเสร็จ ทุกคนก็อดมองไปยังทางเต๋อรั่วไม่ได้ คนผู้นี้ยังคงมีท่าทางเ็าเรียบเฉยอยู่เหมือนเดิม สายตาไม่แม้แต่จะมองไปยังผู้ใด แล้วจึงเดินไปที่กล่องไม้ในทันที นิ้วเรียวยาวหยิบแท่งไม้ขึ้นมาอย่างส่งๆ อันหนึ่ง...หนึ่งร้อยยี่สิบแปด อันดับสุดท้าย
ในขณะที่สวีหรงฉี่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกนั้นก็อดรู้สึกปลงไม่ได้ ถูกจัดให้อยู่อันดับสุดท้าย ไม่รู้ว่านายท่านผู้นี้จะยินดีหรือไม่ อดสาดสายตาไปยังทางเต๋อรั่วไม่ได้ น่าเสียดายที่เขามีสีหน้าไร้ความรู้สึกจึงทำให้สวีหรงฉี่มองไม่ออกเลยจริงๆ
พวกเขาจับฉลากเสร็จก็ถอยหลังไปสองสามก้าว ออกห่างจากกล่องไม้ คนอื่นๆ ที่เหลือเห็นพวกเขาถอยไปก็รู้ว่าพวกเขาคงเสร็จแล้ว นอกจากหลัวฉี่ที่แสดงแท่งไม้ของเขาให้เห็น คนที่เหลือกลับไม่มีใครแสดงให้ดูเลย ในขณะที่พวกเขาสงสัยใคร่รู้จึง ทำได้เพียงสนใจแต่เื่ของตัวเอง แล้วรีบเข้าไปจับฉลาก
จิ่งเซียงเดินตามหลังจิ่งฝาน ส่วนด้านข้างยังมีพวกจินเฉียนเป้ยสามคนที่คิดเอาเองว่าสนิทกับพวกเขาแล้ว แน่นอนว่าคนที่เหลืออีกสองคนนั้นคิดอย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้ จินเฉียนเป้ยยังคงตื่นเต้นอย่างที่สุด เห็นผู้ใดจับฉลากเสร็จก็หาได้สนใจว่าจะสนิทหรือไม่ ล้วนลากมาถามทั้งหมด บางคนก็ตอบเขา บางคนก็ไม่แม้แต่จะสนใจเขา แต่จินเฉียนเป้ยก็ไม่แม้แต่จะโศกเศร้า
จิ่งเซียงมองไปทั้งสี่ทิศอย่างร้อนรน “เหตุใดอ๋าวหรานยังไม่มาอีก? ตกลงว่าเขาหายไปไหนกันแน่!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้