ผ่านไปไม่นานก็มาถึงวันที่อวี้ฉู่เฉิงรับหลินเสี่ยวฉีเข้าวังหลวงมาเป็พระสนม
นับเวลาดูแล้วอาจไม่เกินหนึ่งเดือน แต่เมื่อยึดตามกฎระเบียบในการรับพระสนมเข้าวังนั้นก็ถือว่าเป็่เวลาที่ค่อนข้างเร่งรัดพอสมควร
หลังจากอวี้ฉู่เฉิงได้เอ่ยในเทศกาลงานชมดอกไม้ว่าเขา้าเลือกหลินเสี่ยวฉี นี่จึงเป็เหตุให้ฮองเฮาต้องรับปากอย่างเลี่ยงไม่ได้ พร้อมแสดงให้เห็นว่านางมีคุณสมบัติ มีความเหมาะสมที่จะเป็พระสนมขององค์ชาย
ต่อจากนั้น วันหนึ่งในเดือนสี่ ที่จวนตระกูลหลินก็ได้เกิดเื่มงคลขึ้น
เนื่องจากนางจะอภิเษกสมรสกับองค์ชายเพื่อเป็พระสนมรอง หลินฮวาเหนียนจึงเตรียมสินสอดตามธรรมเนียมให้มากขึ้นหน่อย
แน่นอนว่าการที่หลินฮวาเหนียนจัดเตรียมงานให้หลินเสี่ยวฉีอย่างดีเช่นนี้ทำให้คนอื่นๆ ล้วนไม่พอใจนัก
ภายในเรือนของหลินเสี่ยวฉียุ่งวุ่นวายั้แ่เช้าตรู่
ผู้เป็มารดาของหลินเสี่ยวฉีไม่อยู่อีกแล้ว หลินฮวาเหนียนจึงได้กำชับให้นางซ่งมาช่วยเตรียมการ
นานมาแล้ว นางเว่ยกับนางซ่งเคยเกิดความขัดแย้งกันเื่สินสอด
ถ้าเช่นนั้น นางจะช่วยจัดเตรียมสินสอดให้หลินเสี่ยวฉีด้วยความตั้งใจอย่างนั้นหรือ?
ด้วยเหตุนี้ ส่งผลให้ในจวนตระกูลหลินคึกคักกันแต่เช้า
“เหตุใดชุดแต่งงานจึงเป็เช่นนี้? เพราะอันใดจึงยังปักลวดลายไม่เสร็จเรียบร้อย ปิ่นเหล่านี้อีก เหตุใดถึงเป็เช่นนี้กัน ใช่ปิ่นทองบริสุทธิ์หรือไม่? แล้วทำไมถึงไม่เอามาให้ข้าดูก่อน มีเหตุผลอะไรทำไมวันนี้เพิ่งมาถึง? แม้ท่านแม่ของข้าไม่อยู่แล้ว แต่อย่างไรข้าก็ยังเป็หลินเสี่ยวฉี คุณหนูของตระกูลหลิน คนที่ข้าจะแต่งงานด้วยวันนี้คือองค์ชาย เป็ถึงเชื้อพระวงศ์ แต่พวกเ้ากลับปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้หรือ”
หลินเสี่ยวฉีโยนข้าวของและด่าทอออกมาจากในห้องเสียงดัง แต่ละคำที่เอ่ยเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
นี่เป็ครั้งแรกั้แ่มารดาของนางเสียชีวิตที่นางได้แสดงอารมณ์อย่างตรงไปตรงมา อย่างน้อยการที่ได้อภิเษกเพื่อเป็พระสนมขององค์ชายก็คงจะมากพอแล้วที่จะทำให้นางได้ผันตัวได้
นางซ่งที่ยืนอยู่นอกประตูได้ยินทั้งหมด หลังจากหลินเสี่ยวฉีถูกองค์ชายสี่เลือกเป็สนมก็คิดว่าตนเองนั้นสูงส่ง ใช้ฐานะราชวงศ์กดขี่ผู้คนด้วยความหยิ่งผยอง
“เกิดอะไรขึ้น?” หลินฮวาเหนียนเดินเข้ามาจึงได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาถึงภายนอก
นางซ่งรีบตรงเข้าไปต้อนรับทันที “นายท่าน คุณหนูใหญ่คิดว่าเสื้อผ้าและเครื่องประดับไม่เหมาะสมกับตำแหน่งของนาง เวลานี้จึงกำลังโวยวายใหญ่เลยเ้าค่ะ” นางซ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสแสร้ง แลดูประหลาดยิ่งนัก
หลินฮวาเหนียนได้ยินเสียงที่ดังออกมาก็ได้แต่ขมวดคิ้วแล้วเดินตรงเข้าไป
สาวใช้ที่อยู่ในห้องต่างไม่กล้าขยับตัว มีเพียงนางเฉินที่ถือชุดเอาไว้ในมือแล้วเอ่ยขึ้นเท่านั้น “คุณหนูใหญ่ ชุดนี้ทำออกมาตามข้อกำหนด ถึงจะไม่ใช่เนื้อผ้าที่ดีที่สุด แต่ก็มิใช่การทำออกมาแบบหยาบๆ เลยนะเ้าคะ”
หลินเสี่ยวฉีสวมชุดสำหรับสวมใส่ชั้นในเรียบร้อย นางนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งพลางมองนางเฉินที่กำลังเอ่ย แสดงท่าทีไม่ค่อยพอใจนัก
“เหตุใดตอนที่หลินหร่านแต่งงานออกไปถึงได้แต่ของที่ดีที่สุด แต่พอมาถึงข้าจึงได้แต่ของที่ไม่ดีกัน”
หลินเสี่ยวฉียิ่งคิดก็ยิ่งโมโห นางหยิบปิ่นปักผมมุกที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งขึ้นมา
นางเฉินมองไปยังปิ่นมุกที่ฉับพลันกลับลอยมาตรงหน้าตนเอง นางรีบหลับตาลงด้วยความรวดเร็ว
“เอะอะอะไรกัน” กระทั่งได้ยินเสียงของหลินฮวาเหนียนดังออกมา นางเฉินลืมตาขึ้นมาก็พบกับนายท่านที่ยืนอยู่ข้างกาย ใช้ฝ่ามือบังปิ่นมุกที่ลอยละลิ่วเข้ามาให้
ทักษะของหลินฮวาเหนียนยังคงว่องไวเฉียบคม ถึงตอนนี้เขาจะอายุมากแล้ว แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังคงน่าดึงดูดราวกับเมื่อสิบปีก่อน ่เวลาที่เขาเข้ามาช่วยเหลือนางจากโจรร้าย
ณ ตอนนั้น นางเฉินยังเป็เพียงเด็กสาวอายุสิบกว่าปี ทว่านางกลับมอบหัวใจให้เขาไปเสียแล้ว
นางไม่สนใจคำห้ามปรามจากครอบครัว ออกมาจากหมู่บ้านทางใต้ซึ่งมีแม่น้ำไหลผ่าน จากนั้นแต่งงานแล้วมาอยู่ยังที่ราบทางตอนเหนือที่มีสายลมพัดค่อนข้างรุนแรง
นางอยู่กับหลินฮวาเหนียนมานานหลายปีโดยไม่เคยมีปากมีเสียง
“เ้าไม่เป็อะไรใช่ไหม” นางเฉินรู้สึกตะลึงไม่น้อยที่หลินฮวาเหนียนเอ่ยถามนางด้วยความใส่ใจ
เวลานี้ นางเฉินรีบเรียกสติกลับคืนมาก่อนจะก้มหน้าแล้วเอ่ยตอบ “ไม่เป็ไรเ้าค่ะ”
นางซ่งก็ตามมาด้านหลังเช่นกัน ถ้อยคำของหลินเสี่ยวฉีเมื่อครู่ ทั้งคู่ได้ยินได้อย่างชัดเจน
“ไอหยา กำลังฝันอยู่หรือเ้าคะคุณหนูใหญ่ คุณชายน้อยเป็ถึงพระชายาของจ้านหวัง แต่เ้าเป็แค่พระสนมขององค์ชาย เสื้อผ้ากับเครื่องประดับของคุณชายน้อยจัดทำผ่านห้องเสื้อในพระราชวัง จึงทำออกมาตามลำดับชั้นของราชวงศ์ ของเ้าจะต้องให้ทางตระกูลเป็คนจัดเตรียมสิ่งเหล่านี้ให้ ทำออกมาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าดีเพียงไหนแล้ว เ้าควรจะพึงพอใจนะ”
คำพูดแต่ละคำของนางซ่งเสียดแทงในใจทั้งหมด หลินเสี่ยวฉีไม่อาจโต้แย้งได้ นางจึงทำได้เพียงหันไปออดอ้อนหลินฮวาเหนียน “ท่านพ่อ~”
“หยุดสร้างปัญหาได้แล้ว” หลินฮวาเหนียนตำหนิบุตรสาว “การแต่งงานครั้งนี้เ้าสู้มาเพื่อตัวเ้าเอง ข้าจะตามใจเ้า และวันงานเช่นนี้ก็จงอย่าสร้างปัญหา”
การที่บุตรสาวได้รับเลือกให้เป็พระสนมขององค์ชายสี่ ในตอนแรกหลินฮวาเหนียนมิได้เห็นด้วยนัก ในตระกูลก็มีหลินหร่านที่อภิเษกสมรสกับท่านอ๋องไปแล้ว ซึ่งความสัมพันธ์ของท่านอ๋องผู้นี้กับองค์ชายสองก็ไม่ชัดเจนว่าเป็อย่างไร
เดิมที หลินฮวาเหนียนอยากจะหลีกหนีปัญหาในราชวงศ์และไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีก แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะยินยอมให้บุตรสาวที่เคยมาคุกเข่าขอร้องสมปรารถนา
ถ้อยคำตำหนิของหลินฮวาเหนียนทำให้หลินเสี่ยวฉียอมสงบลง และเตรียมแต่งตัวแปรงผมเพื่อรอขบวนขันหมากมารับนาง
แต่ทว่า…
เมื่อถึง่เวลาฤกษ์งามยามดีแล้ว กลับยังไม่มีวี่แววว่าเกี้ยวเ้าสาวจะมารับ
หลินเสี่ยวฉีรู้สึกเสียหน้ายิ่งนัก ตอนแรกคิดว่าองค์ชายสี่เลือกนางด้วยตนเอง อย่างน้อยนางก็คงจะได้เข้าตำหนักอย่างงามสง่า ทว่า ั้แ่เช้าจนถึงเที่ยงวันกลับยังไม่มีขบวนเกี้ยวมารับนางเลย
คนในจวนรวมไปถึงผู้คนที่อยู่ด้านนอกต่างก็พากันกล่าวว่าองค์ชายสี่คงจะยกเลิกพิธีอภิเษกครั้งนี้แล้วเป็แน่ เพราะคงไม่ได้ต้องตาต้องใจคุณหนูตระกูลหลินจริงๆ กระมัง
หลินเสี่ยวฉีที่รู้สึกเสียหน้า นางจึงขังตนเองร้องไห้ราวกับดอกสาลี่ต้องหยาดฝนอยู่ในห้อง
หลินฮวาเหนียนเองก็รู้สึกกระวนกระวายใจไม่น้อย
“นายท่าน ดื่มชาก่อนเถิดเ้าค่ะ จะได้ใจเย็นลง” นางเฉินนำชามาวางไว้ให้บนโต๊ะ นาง้าเอาใจหลินฮวาเหนียนที่กำลังรู้สึกกลัดกลุ้ม
“เฮ้อ” หลินฮวาเหนียนทอดถอนหายใจอย่างหนัก
“นายท่านส่งคนไปสอบถามแล้ว ได้ความว่าอย่างไรบ้างเ้าคะ” นางเฉินเดินไปทางด้านหลังของหลินฮวาเหนียนก่อนนวดไหล่ให้กับเขา
“ถามแล้ว คนในตำหนักบอกว่าองค์ชายสี่มีเื่ด่วน เสด็จออกจากตำหนักไปกับองค์ชายสอง ไม่ได้อยู่ที่ตำหนัก”
“มีเื่ด่วน?” นางเฉินตกตะลึงไม่น้อย
วันนี้คือวันที่องค์ชายสี่เป็ผู้กำหนด หากมีเื่ด่วน แล้วเหตุใดจึงไม่แจ้งเื่มาทางจวนตระกูลหลินกัน
“ใช่ กล่าวอีกว่าหากองค์ชายสี่เสด็จกลับมาจะทรงส่งคนมารับ”
“แต่การให้คนมารับก็ยังถือว่าดีนะเ้าคะ”
“พูดก็พูดเถิด ข้ากลัวว่าเสี่ยวฉีเข้าไปอยู่ในนั้นแล้วจะไม่ได้มีชีวิตที่ดีนัก เป็แค่สนม ใครกันจะมาสนใจ”
นางเฉินมองหลินฮวาเหนียนที่กำลังมีท่าทีสิ้นหวัง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ “แต่มันอาจไม่ได้เป็เช่นนั้นก็ได้นะเ้าคะ ข้าก็เป็อนุภรรยาของนายท่านมิใช่หรือ? แต่ข้าก็ไม่เคยรู้สึกว่านายท่านปฏิบัติไม่ดีต่อข้า ข้าก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนี่เ้าคะ”
คำพูดของนางเฉินทำให้หลินฮวาเหนียนตะลึงงัน
อนุภรรยาคนนี้กลับกลายเป็คนที่เข้าใจเขามากที่สุด
หลินฮวาเหนียนกุมมือของนางเฉินที่กำลังนวดไหล่ให้เขาไว้ แล้วเอ่ยขึ้นมา “หลายปีมานี้คงลำบากเ้าไม่น้อย ข้าไม่ค่อยได้สนใจเ้าเลย”
“ไม่นะเ้าคะ”
“ั้แ่มารดาของหร่านเอ๋อร์สิ้นชีวิต ข้าก็ไม่เคยสนใจดูแลเื่ในจวน ไม่อย่างนั้นข้าก็คงไม่ส่งหร่านเอ๋อร์ให้กับนางงูพิษผู้นั้น รวมถึงยังทำให้นางคิดกดขี่ข่มเหงพวกเ้า ถึงแม้วันนี้หร่านเอ๋อร์จะออกเรือนไปแล้ว แต่ก็ยังเหลือบุตรชายและบุตรสาวอย่างเหลียงเอ๋อร์และเสี่ยวฉีที่เป็ลูกของข้า แต่ข้าก็ไม่สามารถดูแลพวกเขาให้ดีได้ การที่เสี่ยวฉีมีมารดาเช่นนั้นก็นับว่าเป็เื่น่าสงสาร ข้าจึงทำได้เพียงตอบสนองความ้าของนาง ส่วนเหลียงเอ๋อร์ หากร่างกายของเขาฟื้นฟูกลับมาได้ จวนหลังนี้ก็คงต้องให้เขาเป็ผู้ดูแล แต่ถ้าหากเขาฟื้นฟูกลับมาไม่ได้...ก็คงต้องหวังพึ่งซู่จื่อ1 แล้วล่ะ”
หลินฮวาเหนียนถอนหายใจอีกครา
โดยทั่วไปแล้วในครอบครัวใหญ่ ผู้เป็บุตรชายคนโตจะต้องทำหน้าที่เป็ผู้สืบสกุล
ทว่าหากเป็ซู่จื่อ นั่นเท่ากับว่าคงฝากฝังอะไรกับบุตรชายคนโตไม่ได้ เป็เื่ที่น่าผิดหวัง ในสายตาคนนอกยิ่งถูกมองเป็เื่ตลก
หลังจากหลินฮวาเหนียนกลับมาจากการปกป้องชายแดน ยังไม่มี่เวลาไหนเลยที่เขาสามารถผ่อนคลายและวางใจได้
เริ่มต้นจากนางงูพิษอย่างนางเว่ยที่ทำให้เขารู้สึกผิดต่อหลินหร่าน ต้องเหนื่อยล้าทั้งกายใจ ต่อมาก็เป็เื่ที่หลินหร่านอภิเษกสมรสกับท่านอ๋อง ซึ่งก็มีคนเอ่ยว่าเขานั้นเป็คนของท่านอ๋องผู้นี้ หลังจากนี้หากทำงานในราชสำนัก ความภักดีของเขาก็คงจะถูกมองว่าเป็สิ่งที่ไม่บริสุทธิ์และทำให้ผู้คนไม่ค่อยอยากเชื่อถือ
อีกทั้งหลินเหลียง บุตรชายที่เหลืออยู่ก็ถูกเขาตีจนพิการ
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขากลับรู้สึกเหนื่อยใจขึ้นไปอีก
-------------------------------------------------
1 ซู่จื่อ ใช้เรียกบุตรชายที่เกิดจากอนุภรรยา
2 ร้องไห้ราวกับดอกสาลี่ต้องหยาดฝน เป็สำนวน หมายถึง ใบหน้าเปื้อนน้ำตาของหญิงงาม
