จิ่งเคอได้ยินก็รีบเงยหน้า มองจิ่งเหวินซานอย่างตกตะลึง “ท่านพ่อหมายความว่า?”
จิ่งเหวินซานหัวเราะเย็นเยียบออกมาครั้งหนึ่ง “หากไม่ใช่เพราะตอนนั้นข้าดื้อดึงงมงายอยู่กับความผูกพันจอมปลอม มีหรือที่จิ่งเหวินเหอที่ไร้ความทะเยอทะยานและอ่อนแอนั่นจะได้รับตำแหน่งผู้นำตระกูล!”
“ลูกเอ๋ย! บางครั้งเราก็ไม่อาจถูกคุณธรรมและกฎต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผลในโลกใบนี้หยุดยั้งได้ อยากทำการใหญ่ก็ต้องสลัดเื่หยุมหยิมพวกนี้ไปให้ได้ แบบนี้ถึงจะก้าวหน้า เข้าใจหรือไม่?”
จิ่งเคอนิ่งไปนานแล้วจึงพูดว่า “ขอรับ ลูกพร้อมน้อมนำคำสอนของท่านพ่อ”
จิ่งเหวินซานพูดอย่างทอดถอนใจ “หวังว่าหลายปีมานี้ พ่อคงจะไม่ได้สอนเ้าเสียเปล่า”
จิ่งเคอดวงตานิ่งขรึมลง รับคำว่า “ขอรับ”
จากนั้นจิ่งเคอก็สงสัยอีกว่า “ท่านพ่อ ผู้าุโในตระกูลหลายท่านไม่อยากให้ตระกูลจิ่งออกสู่โลกภายนอก เหตุใดวันนี้ถึงตอบรับอย่างรวดเร็ว?”
จิ่งเหวินซานหัวเราะ ในเสียงหัวเราะแฝงไว้ด้วยความถือดี “ทุกคนบนโลกนี้ล้วนมีจุดอ่อนให้โจมตี บางคนอาจจะเป็ความรักความสัมพันธ์ บ้างก็เป็เงินหรืออำนาจ บ้างก็เป็ตัวเขาเอง เช่น ลักษณะนิสัย”
จิ่งเหวินซานเห็นจิ่งเคอฟังอย่างตั้งใจก็พูดต่อว่า “ในตระกูลของเราตอนนี้ ผู้าุโที่สุดที่ยังอยู่ในตระกูลจิ่งและชอบจัดการเื่ราวต่างๆ ก็คือจิ่งเฟิงกั๋ว ขนาดจิ่งเฟิงกั๋วอายุปูนนี้แล้วก็ยังชอบวางท่า ดื้อดึง มั่นใจในตัวเอง โอหัง ไม่เห็นอะไรอยู่ในสายตา ทำอะไรก็มุทะลุ เรียกได้ว่าไร้สมอง เขาคิดว่าเมื่ออายุมากแล้วและมีตำแหน่งาุโ ในตระกูลไม่ว่าใครก็ต้องเคารพเขา ยกย่องเขา ตามใจเขา แค่ไม่ถูกใจนิดหน่อยก็ะเิอารมณ์ อีกทั้งยังเกลียดคนชอบถ่อมตัว ชอบบอกปัด”
เื่ที่บิดาเรียกชื่อปู่ทวดตรงๆ และยังท่าทางราวกับเยาะเย้ยข้อเสียของเขานั้น จิ่งเคอจึงทำได้เพียงลูบจมูกไปมา
“ส่วนจิ่งฝานผู้นี้กลับชอบทำตัวเป็คนดี มักทำท่าทางเป็สุภาพชนจอมปลอมอยู่ตลอดเวลา จิ่งฝานที่ได้เป็หนึ่งในตัวเลือกดำรงตำแหน่งนายน้อยของตระกูล จิ่งเฟิงกั๋วจึงไม่ค่อยพอใจ คนทั้งสองมีนิสัยยากที่จะเข้ากันได้ ข้าจึงพูดขึ้นมาก่อนว่าวรยุทธ์ของจิ่งฝานเหนือกว่าข้า จิ่งเฟิงกั๋วแน่นอนว่าต้องไม่เชื่อ ส่วนจิ่งฝานก็ต้องถ่อมตัวแน่ๆ จึงเป็เหตุให้จิ่งเฟิงกั๋วโกรธขึ้นมา”
จิ่งเคอพอจะเข้าใจนิสัยของจิ่งเฟิงกั๋วอยู่บ้าง สิ่งที่บิดาพูดนั้นเป็จริงอย่างมาก
“ส่วนเื่การประลองยุทธ์ ถ้าตามความเข้าใจที่ข้ามีต่อจิ่งฝาน เขาต้องไม่ตกลงแน่ แต่เขาก็ไม่กล้าปฏิเสธตรงๆ คาดว่าคงจะขัดนู่นขัดนี่ คอยเตือนอย่างอ้อมค้อมมากกว่า จิ่งเฟิงกั๋วที่ไม่ชอบความอ้อมค้อม แน่นอนว่าต้องอดรนทนไม่ไหว ข้าก็ยิ่งเติมเชื้อไฟเข้าไปด้วยการพูดถึงสถานการณ์ในหลายปีมานี้ของตระกูลจิ่ง เพียงเท่านี้จิ่งเฟิงกั๋วพอโกรธก็ยอมแล้ว”
จิ่งเคอพยักหน้า “แต่เื่ตำแหน่งนายน้อยนี่...”
จิ่งเหวินซานรับ่ต่อจากคำพูดของเขา กุมขมับอย่างสงสัยใคร่รู้ “เื่นี้ข้าเองก็คิดไม่ถึง ไม่รู้จิ่งฝานไปกินยาอะไรผิดมา ไม่เพียงยอมรับเื่การประลองยุทธ์เท่านั้น ยังยินดียกตำแหน่งนายน้อยให้คนอื่น แล้วไหนยังจะเสนอชื่อเ้าอีก”
จิ่งเคอมีสีหน้าตกตะลึงราวกับว่าไม่อาจเชื่อได้
จิ่งเหวินซาน “ตอนนั้นข้าก็ใว่าเขากำลังถอยเพื่อรุกหรือแค่ประชดประชันกันแน่? แต่นั่นก็ทำให้จิ่งเฟิงกั๋วโกรธจนถึงที่สุด ไม่เพียงยอมให้จัดการประลองยุทธ์ขึ้น ยังเพิ่มมาอีกข้อว่าใครได้ที่หนึ่ง คนนั้นก็จะได้เป็นายน้อยของตระกูล เหนือความคาดหมายของข้าจริงๆ”
จิ่งเคอรู้สึกเป็ทุกข์ “จิ่งฝานมีแผนการอะไรหรือเปล่า? แล้วเื่การประลองยุทธ์ชิงตำแหน่งนายน้อยนี่ ท่านปู่ทวดตัดสินใจได้หรือ? ตระกูลจิ่งรุ่นเดียวกับเขายังมีอีกหลายคน าุโกว่าเขาก็ยังมี”
จิ่งเหวินซานส่งเสียงดังหึออกมาหนึ่งครั้ง “หากบอกว่าจิ่งฝานไม่มีแผนการอะไร ให้ตายข้าก็ไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด หลายปีมานี้คนที่อยู่ฝ่ายเราก็มีไม่น้อย เขาคงจะทนไม่ไหวแล้วกระมัง ส่วนเื่เปลี่ยนนายน้อยนั้น หึ! ผู้าุโในตระกูลมีหลายคนแล้วอย่างไร? คนที่สนใจเื่ต่างๆ จริงๆ จะมีสักกี่คน? ทุกคนก็เอาแต่ปัดภาระแล้วมองดูอยู่อย่างเดียว ในเมื่อพวกเขาไม่อยากตัดสินใจ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องตัดสินใจแล้ว!”
จิ่งเหวินซานยังกำชับจิ่งเคออีกว่า “่นี้เ้าต้องคอยสอดส่องพวกคนในตระกูลที่กำลังทำงานหน่อย อย่าให้ก่อเื่ขึ้น ส่วนทางจิ่งฝานก็จับตาดูไว้ ดูว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่ ข้าเองก็ต้องตั้งใจวางแผนการประลองนี้ให้ดี ตระกูลจิ่งควรเปลี่ยนจ่าฝูงได้แล้ว”
จิ่งเคอรีบตอบรับว่า “ขอรับ”
——
หลายวันติดต่อกันนี้ เทียบกับจิ่งเหวินซานที่กำลังจัดแจงเตรียมสนามประลอง ส่งเทียบเชิญ เตรียมเรือนรับรองแขกและอาหารเครื่องดื่ม แอบสอดส่องเื่ต่างๆ เป็ต้น ยุ่งวุ่นวายจนแทบปลีกตัวไม่ได้แล้ว พวกจิ่งฝานกลับว่างงานและสุขสบายเป็อย่างยิ่ง
ตื่นเช้ามา ชิงโย้วก็ตักน้ำเข้ามาให้ อ๋าวหรานยืดแขนบิดี้เี แล้วก็บ่นอีกว่า “เฮ้อ บอกเ้าไปกี่ครั้งแล้ว เื่ตักน้ำนี้ข้าทำเองได้ บ่อน้ำอยู่ไม่ไกล ไม่ลำบากข้านักหรอก”
ชิงโย้วไม่สนคำบ่นของเขา นำน้ำล้างปากส่งให้เขา “คุณชาย ท่านอย่าบ่นอีกเลย หูข้าอื้ออึงไปหมดแล้ว คุณชายเหยียนยังไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว แต่ท่านกลับบ่นทุกวัน อีกทั้งน้ำในบ่อเย็นถึงเพียงนั้น อากาศก็เริ่มเย็นขึ้นแล้ว ท่านจะใช้น้ำในบ่อไปตลอดไม่ได้”
อ๋าวหรานนวดหูเพื่อแสดงออกว่าปลง หากยังเป็เช่นนี้ต่อไป เขาก็ต้องเคยชินกับวิถีชีวิตโบราณอันเลวร้ายที่แค่ยื่นมือก็มีเสื้อใส่ อ้าปากก็มีข้าวกินแล้ว คิดถึงเมื่อก่อน เขายังเคยเรียนทำอาหารเพื่อแฟนสาวอยู่เลย ถิอว่าเป็หนุ่มน้อยห้าดี1 ที่หาได้ยากยิ่ง แต่บัดนี้ตัวเขาที่เคยอบอุ่นอ่อนโยนนั้นได้จากไปไม่กลับมาอีกแล้ว เขาได้ทรยศต่อความเป็ตัวเองไป
“คุณชายท่านนินทาข้าอีกแล้วใช่หรือไม่ นี่ค่ะ เช็ดหน้าเสีย” นางพูดแล้วก็เดินไปหยิบหวี “คุณชาย ข้าจะเกล้าผมให้ท่านเอง”
อ๋าวหราน “ผมข้า ข้าทำเอง”
ชิงโย้วแอบกลอกตา “คุณชายอ๋าว ท่านอย่าปฏิเสธเลย ั้แ่เห็นท่านเกล้าผมเอง ข้าก็อดหัวเราะไปหลายวันไม่ได้ ท่านรู้หรือไม่ว่าท่าทางของท่านช่างน่าขันแค่ไหน? ดีที่คุณชายเหยียนสีหน้าไร้อารมณ์ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นคงได้หัวร่องอหาย”
อ๋าวหราน “...”
ชิงโย้วหาได้สนใจท่าทางไร้คำพูดของอ๋าวหรานไม่ หัวเราะฮาๆ แล้วพูดว่า “อย่างน้อยคุณชายก็มีท่าทางเฉกเช่นหนุ่มน้อยที่อ่อนโยนราวกับหยก เหตุใดปกติถึงได้ชอบทำท่าทางเป๋อเหลอ”
อ๋าวหราน “...” ลาก่อนนะ แม่นางน้อย ข้าไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว
พอคิดว่าหมดคำพูด อ๋าวหรานเห็นเหยียนเฟิงเกอไม่อยู่แล้วก็ถามว่า “ศิษย์พี่ออกไปแล้วหรือ?”
ชิงโย้วพยักหน้า “คุณชายเหยียนออกไปนานแล้วค่ะ”
อ๋าวหราน “เขากินข้าวหรือยัง?”
ชิงโย้วทอดถอนใจ “เขาถือซาลาเปาออกไปด้วย แล้วยังเป็ของเหลือจากเมื่อวาน ไม่แม้แต่จะอุ่นด้วยซ้ำ ดีที่่นี้อากาศเย็น ไม่อย่างนั้นคงเสียไปแล้ว”
เหยียนเฟิงเกอทั้งมีพร์และขยันขันแข็ง ความพยายามของเขามีมากกว่าคนอื่นหลายเท่า หลายวันมานี้ ทุกเช้าอ๋าวหรานไม่แม้แต่ได้เจอเขา อาหารเช้าก็จัดการไปลวกๆ ดีที่อ๋าวหรานกำชับให้ชิงโย้วไปส่งข้าวเที่ยงให้ทุกวัน ไม่อย่างนั้นเกรงว่าทั้งวันคงพึ่งแต่ซาลาเปาและอาหารแห้งพวกนั้น
อ๋าวหรานถูกศิษย์พี่ที่ขยันแทบเป็แทบตายกระตุ้นทุกวัน หากไม่ขยันเสียบ้างก็จะรู้สึกเหมือนตัวเองทำผิดร้ายแรง สูดหายใจแล้วกำชับกับชิงโย้วว่า “ข้าวเช้าเ้ากินไปเถิด ข้าจะไปหานายน้อยของพวกเ้า ข้าวเที่ยงคงต้องลำบากเ้าเอาไปส่งให้ศิษย์พี่แล้ว”
ชิงโย้วพยักหน้า “คุณชาย ข้าทราบแล้ว ท่านวางใจได้”
อ๋าวหรานที่ถูก ‘กระตุ้น’ จากเหยียนเฟิงเกอมาเล็กน้อย รีบร้อนไปที่ห้องของจิ่งฝาน เตรียมไปกินข้าวเช้ากับเขาที่โน่นแล้วต่อด้วยเรียนวิชาแพทย์ เมื่อไปถึงก็พบว่า จิ่งจื่อกับจิ่งเซียงก็อยู่ด้วย พวกเขาถึงแม้จะไม่ได้ยุ่งวุ่นวายกับเื่อื่น แต่วิชาแพทย์และวรยุทธ์ต่างไม่เคยว่างเว้น แต่ละวันมีเวลาเจอกันน้อยมาก
สาวใช้หยิบถ้วยและตะเกียบให้อ๋าวหราน จิ่งจื่อพูดขึ้นว่า “อ๋าวหราน เ้ามาฝากท้องอีกแล้ว”
อ๋าวหรานกินโจ๊กที่หวานละมุนลิ้น พูดตอบว่า “อยู่ที่ไหนก็ถือว่าฝากท้องบ้านเ้าอยู่ดี”
จิ่งเซียง “ศิษย์พี่เ้าล่ะ?”
อ๋าวหราน “ไปฝึกวรยุทธ์ หายไปั้แ่เช้า ทุกวันนี้เวลาที่ข้าได้พบกับเขายังน้อยกว่าจิ่งจื่อเสียอีก”
จิ่งจื่อ่นี้ก็ราวกับคนบ้า เอาแต่ไล่ตามเหยียนเฟิงเกอ ทุกวันร้องเรียกแต่จะสู้กับเขานับครั้งไม่ถ้วน หากไม่ได้เจ็บตัวเสียบ้างก็ทำราวกับจะไม่สบาย
อ๋าวหรานถามว่า “เ้าแพ้ไปกี่ครั้งแล้ว? แต่ละครั้งยืนหยัดได้กี่วิ?”
ตอนแรกที่จิ่งจื่อแพ้ยังรู้สึกอับอายจนโมโหโกรธาอยู่ แต่ตอนนี้สงบนิ่งมากแล้ว แล้วยังดูภูมิใจขึ้นหน่อยด้วย “ถ้ารวมรอบตีห้าวันนี้เข้าไปด้วย จนถึงวันนี้ก็แพ้ไปแปดสิบสามรอบแล้ว พัฒนาขึ้นเยอะ ตอนนี้ยืนหยัดได้กว่าสิบห้านาทีแล้ว”
อ๋าวหรานใ “เช้าถึงเพียงนั้น พวกเ้านี่สดชื่นแข็งแรงกันดีจริงๆ”
จิ่งจื่อท่าทางได้ใจ “ตามที่ข้าสำรวจดู ศิษย์พี่เ้าจะออกจากเรือนตอนตีห้าสิบห้าทุกวัน ดังนั้นเวลานี้ทุกวันข้าจึงต้องไปดักรอเขา สู้กันเสร็จรอบหนึ่งก็ยังกลับไปหลับต่อได้อีกครู่”
อ๋าวหรานถึงกับประสานมือคารวะให้เขา ถึงไม่ต้องพูดอะไร แค่การแสดงออกทั้งหมดก็ชัดเจนมากแล้ว
แม้แต่จิ่งเซียงก็ยังอดยกนิ้วให้ไม่ได้ ความพยายามของเขาช่างน่านับถือจริงๆ
จิ่งจื่อมองอ๋าวหรานด้วยสีหน้าที่ราวกับจะบอกว่า ‘เ้ามีของดีอยู่กับตัวแล้วยังไม่รู้ตัวอีก’ จากนั้นถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าต้องลำบากขนาดไหนคิดดู ไม่เหมือนเ้าที่อยู่กับศิษย์พี่เ้าทุกวัน สามารถต่อสู้กันได้ทุกที่ทุกเวลา แล้วยังสามารถแลกเปลี่ยนเคล็ดวิชากันได้บ่อยๆ อีกด้วย”
อ๋าวหรานอึ้งไป มุมปากถึงกับกระตุก หากพูดถึงเื่แลกเปลี่ยนเคล็ดวิชากับเหยียนเฟิงเกอ อาจฟังดูเหมือนดีก็จริง แต่ความจริงแล้วแค่คิดก็แทบน้ำตาตก เหยียนเฟิงเกอฝึกเองยังพอได้ แต่ให้ไปสอนคนอื่นคงจะไม่ไหวจริงๆ หลายวันก่อนอ๋าวหรานก็ขอคำชี้แนะจากเขาเื่ที่รู้สึกเหมือนวรยุทธ์ตัวเองจะมาถึงทางตันแล้ว คนผู้นี้ก็พูดด้วยท่าทางจริงจังว่า “ปกติข้าขบคิดเพียงครู่เดียวก็ก้าวข้ามไปได้แล้ว เ้าลองดูบ้างก็ได้”
อ๋าวหราน “...” เขาจริงจังใช่หรือไม่?
จิ่งเซียงเท้าคางอย่างอึ้งๆ “ศิษย์พี่เ้าพูดเช่นนี้จริงหรือ?”
อ๋าวหรานพยักหน้า วางถ้วยโจ๊กที่กินหมดแล้วลง แล้วจึงหยิบซาลาเปาขึ้นมากิน
“...” จิ่งเซียงถึงกับหมดคำพูดไปนานแล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าศิษย์พี่เ้าเป็เช่นนี้จะโดนต่อยเอาได้ง่ายๆ นะ”
เทียบกับความปลงของพวกเขาสองคน จิ่งจื่อกลับคิดว่าเหยียนเฟิงเกอพูดเช่นนี้ไม่เป็ปัญหาเลยสักนิด “เื่วรยุทธ์ถึงไม่ต้องพูดก็สามารถรับรู้ได้ จะให้พูดออกมาเป็คำพูดก็ลำบาก”
จิ่งเซียงพูดเรียบๆ ว่า “เ้ารับรู้ไปถึงขั้นไหนแล้ว? แต่ละวันถูกซ้อมไปกี่รอบ?”
จิ่งจื่อกัดฟัน ยัดซาลาเปาใส่ปากจิ่งเซียง
พูดตามจริงแล้ว นิสัยของจิ่งจื่อก็ค่อนข้างคล้ายกับเหยียนเฟิงเกอ ทั้งสองเป็พวกหัวรั้น ทั้งดื้อดึงและแข็งกร้าว ไม่ชอบเดินทางลัด อาศัยแค่ความพยายามของตัวเอง ใช้วิธีต่อสู้เพื่อเรียนรู้มาตลอด ดังนั้นจิ่งจื่อจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับการอธิบายไม่ชัดเจนของเหยียนเฟิงเกอ พวกเขาคิดว่าเคล็ดลับอะไรพวกนี้ช่างไร้ประโยชน์ มีเพียงความพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าเท่านั้นถึงจะทำให้ตัวเองพัฒนาได้
จิ่งฝานที่เมื่อนั่งลงรับประทานอาหารก็จะปฏิบัติตามมารยาทดั้งเดิมอันดี ไม่พูดไม่คุย จู่ๆ ก็มองอ๋าวหรานแล้วพูดว่า “ตอนเช้าเรียนวิชาแพทย์ ส่วนตอนบ่ายไม่ต้องไปสวนสมุนไพรแล้ว เราจะไปประมือกันที่ลานประลองยุทธ์แทน”
อ๋าวหรานได้ยินดังนั้นก็รู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง รีบพยักหน้ารับ
จิ่งจื่อโกรธที่จิ่งฝานดีกับอ๋าวหรานมากกว่า “พี่ ท่านยังไม่เคยสอนข้ามาก่อนเลยนะ”
จิ่งฝาน “ไม่เคยสอนมาก่อนหรือ?”
จิ่งจื่อลูบหูไปมาแล้วหัวเราะออกมา “เมื่อก่อนเคย แต่่นี้ไม่แล้ว”
ไม่รอให้จิ่งฝานตอบ จิ่งเซียงก็พูดว่า “เ้าเหมาะกับการถูกซ้อมมากกว่า ถูกซ้อมไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็พัฒนาได้เอง วิธีการของพี่ข้าอ่อนโยนเกินไป ช่วยเ้าไม่ได้หรอก”
จิ่งจื่อ “...”
และแน่นอน ตอนบ่ายอ๋าวหรานก็จะได้ัักับความ ‘อ่อนโยน’ นี้แล้ว
เชิงอรรถ
เป็หนุ่มน้อยห้าดี1 (五好青年)เรียนดี ความคิดดี ทำงานดี วินัยดี ท่าทางดี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้