หยางหนิงบอกว่าม้าหลิวหลีชิ้นนี้คือมรดกตกทอดของตระกูล ถึงแม้โต้วเหลียนจงจะสงสัย แต่ก็ยกมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ในตอนแรกก็ยังดูระมัดระวังดี แต่ไม่นานนักสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป จากนั้นเขาก็เหลือบไปมองหยางหนิง แล้วพูดว่า “นี่เป็มรดกตกทอดของตระกูลจิ่นอีโหวจริงรึ?”
“จริงแท้แน่นอน” สีหน้าของหยางหนิงดูผยอง “ท่านพี่โต้วดูไม่ออกจริงรึว่ามันพิเศษที่ตรงไหน?”
“ข้าไม่เห็นว่ามันจะมีความพิเศษตรงไหน ข้าว่าเ้าบ้าไปแล้วแน่ๆ” โต้วเหลียนจงพูดอย่างไม่ไว้หน้าว่า “นอกจากรูปแบบที่พอไปวัดไปวาได้แล้ว หยกหลิวหลีนี้ก็เป็ของระดับล่าง เมื่อครู่นี้ที่ข้าบอกไปว่ามันมีค่าแค่ห้าสิบตำลึงนั้น ข้าขอถอนคำพูด ห้าตำลึงยังไม่แน่ว่าจะมีใครเอาหรือไม่”
หยางหนิงถอนหายใจ แล้วพูดว่า “ห้าตำลึงซื้อของอย่างนี้ได้ด้วยหรือ? ท่านพี่โต้วยังคิดว่ามันเป็แค่ม้าหยกหลิวหลี” เขาคิดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ความพิเศษของม้าตัวนี้ มันสามารถส่องแสงออกมาได้เวลากลางคืน แถมยังเปลี่ยนได้หลายสีอีกด้วย ตามที่ท่านย่าบอกข้ามา ม้าหลิวหลีตัวนี้ถึงแม้จะดูจากภายนอกมันจะหยาบและดูคุณภาพต่ำ คนที่ไม่รู้เกี่ยวกับของโบราณ บางทีก็นึกว่าเ้าม้าหลิวหลีชิ้นนี้ต้องมีปัญหาแน่นอน แต่ว่าจริงๆ แล้วมันคือสิ่งวิเศษ มีเพียงผู้รู้เท่านั้นที่มองออกว่ามันวิเศษมากเพียงใด”
“ข้าบอกแล้ว มันไม่มีอะไรพิเศษเลย แต่ว่าเ้ามันโรคบ้ากำเริบต่างหาก” โต้วเหลียนจงแสร้งทำเป็ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าว่านะฉีหนิง เ้าพูดจาเหลวไหลเช่นนี้ เ้าคิดจะเบี้ยวหนี้ข้าใช่หรือไม่?”
หยางหนิงขมวดคิ้ว แล้วพูดด้วยความไม่เกรงใจว่า “โต้วเหลียนจง ท่านน่ะตาไม่ถึง ก็อย่ามาดูถูกมรดกตกทอดของตระกูลข้า เ้าบอกว่าม้าหลิวหลีตัวนี้เป็ของระดับต่ำไร้ราคา เ้าช่างหยามเกียรติของอดีตฮ่องเต้ยิ่งนัก?”
“อดีตฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ?” โต้วเหลียนจงใ “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับอดีตฮ่องเต้อย่างไรเล่า?”
หยางหนิงพูดอย่างได้ใจว่า “ม้าหยกหลิวหลีตัวนี้เป็ของที่อดีตฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้กับท่านปู่ข้า เป็ของสูงส่ง ดังนั้นท่านปู่ข้าถึงได้เห็นมันเป็สมบัติมรดกตกทอดของตระกูล”
“นี่...นี่เป็ของที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานอย่างนั้นหรือ?” โต้วเหลียนจงใยิ่งนัก แล้วมองดูม้าหยกหลิวหลีอีกครั้ง เขารู้ว่าอดีตฮ่องเต้ทรงชื่นชมโปรดปรานท่านเหล่าโหวนัก เมื่อได้รับสถาปนาบรรดาศักดิ์จิ่นอีโหว บวกกับที่ดินศักดินาอีกสามพันไร่ ความรุ่งเรืองของจิ่นอีโหวในอดีต เพียงแค่นึกก็เห็นภาพ คนเช่นนี้ สิ่งของที่อดีตฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้จะต้องไม่ใช่ของธรรมดาๆ แน่นอน
หยางหนิงพูดว่า “เ้ารู้จักประโยคที่ว่าเกิดที่ดาวใต้ ตายที่ดาวเหนือหรือไม่?”
โต่วเหลียนจงรู้สึกโง่เขลายิ่งนัก แต่ก็ยังเสแสร้งแล้วพูดว่า “รู้สิ”
“ม้าหยกหลิวหลีตัวนี้ มีสัญลักษณ์ของดาวใต้หกดวงกับดาวเหนือเจ็ดดวง” หยางหนิงชี้ไปที่ม้าหยกหลิวหลีแล้วพูดยกยอมันว่า “ได้ยินมาว่าเพียงแค่ตั้งใจดูดีๆ ก็จะสามารถเห็นดาวใต้กับดาวเหนือ อีกทั้งยังไม่คล้ายกันแม้เพียงชั่วโมงเดียว ดวงดาวจะเคลื่อนย้ายไปเรื่อยๆ คนที่รู้เื่ดวงดาว จะสามารถใช้มันทำนายความเป็ความตายได้”
โต้วเหลียนจงได้ยินเช่นนั้นก็ใยิ่งนัก จ้าวซิ่นเองก็มีสีหน้าตะลึงไม่น้อยไปกว่าโต้วเหลียนจง
“เมื่อครู่ข้าจ้องมันอยู่เป็เวลาครึ่งชั่วยาม กำลังเห็นเส้นของดวงดาว ก็ถูกเ้าเข้ามาขัด” หยางหนิงพูดด้วยความหัวเสีย “ถ้ารู้ว่าม้าหลิวหลีตัวนี้วิเศษเช่นนี้ ข้าคงขอท่านย่ามาดูเล่นเสียตั้งนานแล้ว ในตอนนี้...!” เขาส่ายหัวด้วยความเศร้า
โต้วเหลียนจงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ในใจก็ยังคิดว่า หากเป็ของที่อดีตฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้จริง จะประเมินมูลค่าต่ำมิได้ จึงยกขึ้นมาดูอีกครั้งด้วยความระมัดระวัง แต่ดูนานสักเพียงใดก็ไม่เห็นถึงความวิเศษของเ้าม้าหลิวหลีตัวนี้เลย หยางหนิงเห็นเขาขมวดคิ้ว ก็พูดว่า “ท่านย่าข้าบอกว่าตอนกลางคืนมันจะมีแสงสีมากมาย หรือว่ามันจะมีเส้นดวงดาวปรากฏออกมาในยามกลางคืน กลางวันคง...กลางวันแสกๆ เช่นนี้ก็คงจะไม่มีอะไรปรากฏออกมาหรอกกระมัง”
โต้วเหลียนจงได้ยินดังนั้น จึงพูดขึ้นว่า “จริงด้วย กลางวันเช่นนี้คงจะมองไม่เห็นสิ่งใด”
ตะวันขึ้นเต็มดวงแล้ว บ่าวไพร่ถึงได้พาโต้วเหลียนจงมายังเรือนด้านหลัง ประตูหลังถูกผนังห้องบังแสง แต่แดดนั้นกลับส่องเข้ามาทางด้านนอกของประตู
โต้วเหลียนจงรู้ว่า บนโลกนี้มีของวิเศษอยู่มากมาย เพียงแต่ต้องตรวจดูให้ดีอย่างถี่ถ้วนเท่านั้น ถึงแม้จะเป็ผู้เชี่ยวชาญสักเพียงใด ก็ยังผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น
ถึงแม้ตัวเขาจะชอบของเก่าของโบราณ และอยู่ในสายนี้มานานหลายปี ตัวเขาเองก็ถือได้ว่าพอมีความรู้เกี่ยวกับของเหล่านี้อยู่บ้าง หยางหนิงไม่เหมือนกำลังล้อเล่นหรือโกหกแม้แต่น้อย แถมยังยกเอาอดีตฮ่องเต้ออกมาพูดด้วย ถึงแม้จะไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่นัก แต่ก็ทำให้ลังเลอยู่บ้าง เขามองไปที่ด้านนอกประตู ยกเอาม้าหลิวหลีเดินออกประตูไป
โต้วเหลียนจงยังไม่ทันได้ออกนอกประตู หยางหนิงก็พูดขึ้นมาว่า “ระวัง!”
โต้วเหลียนจงคิดว่าเขาคงเป็ห่วงสมบัติของเขา จึงไม่ได้สนใจ เมื่อเขายกเท้าข้ามประตูไป เขาก็ลื่นล้มทันที ร่างกายของเขาเสียศูนย์ ไม่ทันได้ระวัง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป จากนั้นก็ได้ยินเสียง “เพล้ง” ของชิ้นหนึ่งตกพื้นแตกไม่มีชิ้นดี จ้าวซิ่นเดินตามหลังโต้วเหลียนจงมา เห็นโต้วเหลียนจงสะดุดล้ม จึงรีบเดินรุดหน้าขึ้นไปอย่างรวดเร็ว พยุงเขาเอาไว้ เขากำลังจะก้าวเท้าเดินไปสองข้าง แต่เดินได้แค่ก้าวเดียวเขาก็ลื่นล้ม ก้นกระแทกกับพื้นอย่างแรง
หยางหนิงรีบพูดขึ้นมาว่า “ท่านพี่โต้ว ข้าบอกให้ท่านระวัง ท่าน...!” เมื่อพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาก็ใยิ่งนัก แล้วจ้องเขม็งไปที่พื้น
โต้วเหลียนจงจู่ๆ ก็สะดุดล้ม รู้สึกโกรธยิ่งนัก กำลังจะะเิอารมณ์ออกมา แต่เห็นสีหน้าท่าทางของหยางหนิงแล้ว จึงมองตามสายตาของเขาไป สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
เขาเห็นม้าหยกหลิวหลีตกแตกอยู่ที่พื้น แตกละเอียดเป็จุณ หยกหลิวหลีมันเป็ของแตกง่ายอยู่เป็ทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนที่เขาล้มลงมานั้น ม้าหลิวหลีตกลงมากระแทกกับพื้นที่ปูด้วยหินอ่อน ตอนนี้หยกหลิวหลีตกลงไปกองกับพื้น คิดว่าจะมีชิ้นดีอีกหรือ ตอนนี้มันแตกไม่เหลือชิ้นดีแล้ว
โต้วเหลียนจงกำลังจะะเิอารมณ์ แต่แค่พริบตาเดียวความโกรธนั้นก็สลายไป ตอนนี้เหงื่อออกด้านหลังเต็มไปหมด กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาสั่นไปหมด พูดด้วยน้ำเสียงที่สั่น “ซื่อจื่อ นี่...พื้นนี่มันลื่นยิ่งนัก” เขารู้สึกเหมือนที่พื้นมีน้ำมัน ยื่นมือไปจับ แล้วเอามาดม กลิ่นฉุนมาก เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “นี่มันอะไรกัน?”
หยางหนิงิญญาหลุดจากร่างไปแล้ว นั่งลงไปกับพื้น แล้วพูดพึมพำว่า “มรดกของตระกูลข้า มรดกของตระกูลข้า...!”
โต้วเหลียนจงนิ่งไป รู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว
ในตอนนี้เองก็ได้ยินเสียงของคนจำนวนมากวิ่งมา คนแรกที่เดินมานั้นคือจ้าวอู๋ซาง ส่วนด้านหลังที่ตามมานั้นคือทหารในจวนกับบ่าวไพร่ จ้าวอู๋ซางเดินเข้ามา เห็นโต้วเหลียนจงนั่งอยู่ที่พื้น สีหน้านิ่ง เห็นม้าหยกหลิวหลีแตก สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ซื่อจือ นี่มันมรดกตกทอดที่ไท่ฮูหยินให้คนส่งมาใช่หรือไม่?”
หยางหนิงพูดอย่างไม่มีสติว่า “มรดกตกทอดของตระกูล แล้วจะทำอย่างไรเล่า? นี่เป็ของที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานให้ ทำนายความเป็ความตายได้ แล้ว...แล้วจะไปบอกท่านย่าของข้างอย่างไรดีเล่า?”
โต้วเหลียนจงกับจ้าวซิ่นมองหน้ากัน จ้าวซิ่นหน้าเริ่มซีดเซียวเป็ไก่ต้ม โต้วเหลียนจงนั่งอยู่กับพื้น แล้วยื่นมือออกไปแล้วพูดว่า “พยุงข้าขึ้นไปที”
สีหน้าของจ้าวอู๋ซางนิ่ง คนอื่นๆ เองก็ไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว โต้วเหลียนจงรู้สึกโกรธยิ่งนัก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้เขาเห็นชัดแล้วว่าตรงนอกประตูมีของเหลวสีเหลืองอยู่ที่พื้น เมื่อครู่เขาแค่้าดูม้าหยกหลิวหลีว่ามันวิเศษอย่างไรเท่านั้น ในตอนที่เดินออกมาแทบจะไม่ได้ก้มหน้าเลย จึงเหยียบโดนมันเข้า
เขาลุกขึ้นมาอย่างระวัง เสื้อของเขาเปื้อนของเหลวสีเหลือง ก็รู้สึกขยะแขยง แต่ว่าในตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาะเิอารมณ์ จากนั้นก็ยิ้ม มองไปที่หยางหนิงแล้วพูดว่า “ซื่อจือ ม้าหยกหลิวหลีตัวนี้มัน...มันไม่ได้มีราคาอะไรเลยแม้แต่น้อย แล้วมันก็ไม่ได้มีความวิเศษอะไรด้วย ท่านอย่าเสียใจไปเลย”
หยางหนิงเงยหน้าขึ้นมา สีหน้าโกรธยิ่งนัก เขาลุกขึ้นมาแล้วชี้ไปที่โต้วเหลียนจง จากนั้นก็ตะคอกว่า “โต้วเหลียนจง เ้ากล้าทำลายมรดกตกทอดของจวนจิ่นอีโหวอย่างนั้นหรือ?”
“นี่...นี่มันสมบัติมรดกตกทอดบ้าบออะไรกัน?” โต้วเหลียนจงเสียงสั่น แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ ทำได้แค่ยืนหยัดเข้าไว้เท่านั้น “ซื่อจื่อ หากท่านชอบของโบราณแบบนี้ ไว้ข้ากลับไปเลือกของดีๆ ส่งมา...มาให้ท่านดีหรือไม่”
“ของดีอย่างนั้นหรือ?” หยางหนิงพูดด้วยความโกรธ “ม้าหยกหลิวหลีเป็ของสูงส่ง เป็ของที่ได้รับพระราชทานมาจากอดีตฮ่องเต้ เป็ของที่ประเมินค่าไม่ได้ เ้าคิดว่าจะเอาสมบัติเอาของดีที่ไหนมาแลก?”
โต้วเหลียนจงไอแห้งๆ สองที แล้วแถต่อไปว่า “เมื่อครู่นี้ท่านเองก็เห็นข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำมันแตก จริงๆ แล้ว...!” สีหน้าของเขานิ่งไป แล้วชี้ไปที่ของเหลวสีเหลืองที่พื้นแล้วพูดว่า “แล้วสิ่งนี้มันอะไร? แล้วมันมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร?” แล้วหันไปจ้องหยางหนิง ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ฉีหนิง เ้าคงไม่ได้ตั้งใจวางหลุมพรางหลอกข้าใช่หรือไม่?”
หยางหนิงเดินเข้าไป เดินข้ามประตูไป จากนั้นก็ะโไปตรงหน้าโต้วเหลียนจง สีหน้าดุดัน สายตาราวกับคมดาบ แล้วชี้ไปที่จมูกของโต้วเหลียนจงแล้วพูดว่า “ท่านพูดใหม่อีกทีซิ? ท่านบอกว่าข้าวางแผนอย่างนั้นหรือ? ข้าเป็คนเสนอให้ท่านเอามรดกของข้าไปดูอย่างนั้นหรือ? ข้าเป็คนบอกให้ท่านเอามรดกตกทอดออกไปจากที่นี่อย่างนั้นหรือ? ตอนที่ท่านกำลังจะออกไป ข้าก็เตือนท่านแล้ว ให้ท่านระวัง ท่านอย่าบอกนะว่าท่านไม่ได้ยิน”
ท่าทางของเขาดูโกรธมาก สีหน้าท่าทางดูลนลาน ดวงตากลมโตราวกับจะกินคน โต้วเหลียนจงไม่เคยเห็นจิ่นอีโหวซื่อจื่อเป็เช่นนี้มาก่อน จึงถอยหลังออกไป จากนั้นก็ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อท่านมีสิ่งใดก็ค่อยพูดค่อยจากันนะ อย่าวู่วาม เราเป็พี่น้องกันมิใช่หรือ มีอะไรค่อยๆ คุยหาทางออกกันเถอะนะ” แล้วพูดอีกว่า “เมื่อครู่ที่ท่านบอกให้ข้าระวัง ข้าคิดว่าท่านให้ข้าระวังมรดกตกทอดของตระกูลท่าน ไม่รู้ว่าท่านจะหมายถึงสิ่งที่อยู่นอกประตูนั้นที่มันจะทำให้ข้าลื่น คือ...คือข้าเองที่ประมาท”
“พี่น้องแท้ๆ ยังต้องใช้หนี้ ไม่มีคำว่าพี่น้องอะไรทั้งนั้น” หยางหนิงพูดด้วยสีหน้านิ่งว่า “คุณชายโต้ว ม้าหยกหลิวหลีท่านเป็คนทำแตกกับมือ ท่านคิดว่าข้าควรจะทำอย่างไร?”
โต้วเหลียนจงแอบคิดว่าเมื่อก่อนทำไมถึงดูไม่ออกเลยว่าเ้าหนุ่มคนนี้จะพูดจาฉะฉานได้ถึงเพียงนี้ราวกับว่าเปลี่ยนไปเป็คนละคน เมื่อครู่คำพูดที่ตนพูดออกไป ตอนนี้หยางหนิงก็ย้อนคำพูดของเขากลับมา ใครๆ ก็ว่าจวนจิ่นอีโหวมีหนี้ต้องชดใช้ คำพูดนี้เป็จริง กรรมกำลังย้อนมาทันแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นเ้าคิดว่าควรจะทำเช่นไรเล่า?” โต้วเหลียนจงก็ใช่ว่าจะเป็คุณชายที่ไม่เอาไหน พ่อของเขาดูแลกรมพระคลังมาหลายปี ก่อนหน้านี้เขาก็ทำงานอยู่ในกรมพระคลัง ทำงานด้านบัญชีมาโดยตลอด ถนัดการคิดคำนวณวางแผนมากที่สุด แต่วันนี้กำลังจะถูกเด็กตรงหน้าคนนี้ย้อนเอาเื่ เขาไม่เคยถูกใครตลบหลังมาก่อน แต่วันนี้กลับถูกคนปัญญาอ่อนซื่อจื่อย้อนศรเอาได้
แต่ก็เป็ไปตามที่หยางหนิงบอก ตัวเขาเป็คนที่เอาม้าหยกหลิวหลีมาดู ถึงแม้หลุมพรางนี้อีกฝ่ายจะเป็คนวางไว้ แต่ว่าตัวเองกลับเดินเข้าไปตกหลุมพรางนั้นเอง มันเป็เหตุผลที่ฟังขึ้น โต้เถียงกลับไปไม่ได้จริงๆ ในใจก็คิดว่าจะพลิกสถานการณ์นี้อย่างไรดี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้