เมื่อเห็นว่าหลินลั่วหรานยังคงเงียบสงบไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมา ในใจของนักปราชญ์วัยกลางคนก็เริ่มกังวลขึ้นเขาใช้มือทั้งสองยกหนังสือกระดาษเก่าๆ เล่มหนึ่งขึ้นมา
หลินลั่วหรานรับมันมา ก่อนจะเปิดออกดูมันมีหน้ากระดาษอยู่เพียงบางๆ เท่านั้น ด้านในได้ระบุเกี่ยวกับศาสตร์ลับ “เวทควบคุมลมหายใจ” เอาไว้ แม้ว่านักปราชญ์คนนี้จะมีระดับไม่สูงนักแต่หลินลั่วหรานก็ไม่ได้ละทิ้งการเตรียมการต่อสู้แม้แต่น้อย เธอผิดพลาดไปแล้วครั้งหนึ่งอีกทั้งเื่การติดกับดักจากความประมาทเลินเล่อก็เคยได้ยินมาไม่น้อยดังนั้นแม้ว่าจะมองดูเหมือนว่าจับหนังสือเปิดออกแต่ความจริงแล้วระหว่างนิ้วมือของเธอนั้นกลับถูกปกคลุมไปด้วยมวลพลังบางๆและไม่ได้ัักับตัวหนังสือโดยตรงแต่อย่างใด
“ท่านผู้าุโ” นักปราชญ์วัยกลางคนเอ่ยปากออกมา
หลินลั่วหรานปิดหนังสือลง ก่อนจะถามออกมาว่า “เ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับคุณโจว?”
นักปราชญ์วัยกลางคนเล่าเื่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคุณปู่ตระกูลโจวออกมาที่แท้ความสัมพันธ์ที่เขามีกับนายทหารโจวก็เป็เพียงผลพลอยได้มาจากคุณปู่ตระกูลโจวนี่เองและด้วยตระกูลโจวนั้นมีข้อดีมากมาย เขาถึงได้มาอยู่ที่นี่และบอกว่าจะช่วยรับมือกับ “นักปราชญ์กระจอก” ที่นายทหารโจวพูดถึง
หลินลั่วหรานไม่ได้ตอบรับอะไร นักปราชญ์วัยกลางคนอธิบายที่มาที่ไปของเขาอย่างชัดเจนและยังกล่าวคำสัตย์สาบานออกมา เพื่อแสดงให้เห็นว่าทุกสิ่งที่เขาพูดนั้นคือความจริง
หนทางที่นักปราชญ์เฝ้าตามหาคือหนทางแท่งเทพหากเขากล่าวคำสัตย์สาบานออกมาแล้ว ไม่ทำตามสัญญา นอกจากชีวิตนี้อย่าได้คิดถึงเื่จะพัฒนาขึ้นไปเลยเขาอาจจะต้องจบชีวิตลงได้ด้วยซ้ำคำสาบานนี้ไม่ได้มีความใกล้เคียงกับคำสาบานที่คนธรรมดาทั่วไปมักชอบพูดกันอย่าง “ขอให้ฟ้าผ่าตาย” แม้แต่น้อย คนในยุคนี้ต่างก็มองว่าคำสาบานนั้นเป็เหมือนกับการดื่มน้ำหรือกินข้าว ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับมัน เพื่อที่จะหลอกให้ได้รับความเชื่อใจจึงพูดคำแบบนี้ออกมาแต่การที่นักปราชญ์คนหนึ่งพูดคำสัตย์สาบานออกมาแล้ว มันคือการรับประกันว่าจะทำตามดังคำพูดนั้นจริงๆ
ดังนั้นความสงสัยในใจของหลินลั่วหรานจึงลดลงไปเธอโบกมือปัดไปมาเพื่อแสดงให้เห็นว่านักปราชญ์วัยกลางคนนั้นสามารถออกไปได้แล้ว
นักปราชญ์วัยกลางคนได้ยินดังนั้นก็เดินตัวแข็งออกไป แต่เขายังไม่ทันได้เดินออกไปไกลเสียเท่าไหร่ก็ได้ยินเสียงของหลินลั่วหรานดังขึ้นมาจากด้านหลัง “หยุดก่อน!”
นักปราชญ์วัยกลางคนนิ่งชะงักไป หรือว่าจะต้องตาย?
ในขณะที่เขากำลังคิดอยู่ว่าจะต้องต่อสู้กับหญิงสาวแววตาเป็ประกายคนนี้หรือเปล่าก็รู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดมาจากทางด้านหลัง ก่อนที่จะหยุดลงที่อ้อมแขนของเขา เอ๋กล่องหยกเหรอ?
“ยาพวกนี้ถือว่าแลกเปลี่ยนกับหนังสือเล่มนี้ของเ้า ดังนั้นถือว่ามันจบลงตรงนี้แล้วนะ”
เขาไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม? ตอนนี้ไม่ใช่เพียงแค่เด็กสาวสามารถฝึกได้ถึงระดับพื้นฐานเพียงอย่างเดียวแล้วแต่ยังพูดจามีเหตุผลขนาดนี้ด้วย? สิ่งที่อยู่ในนี้เป็ยาประเภทไหนนั้นนักปราชญ์วัยกลางคนไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย เขาแสดงความขอบคุณกับหลินลั่วหรานก่อนที่จะรีบวิ่งออกไปด้วยความเร็วราวกับมีน้ำมันหล่อลื่นติดอยู่ที่ใต้เท้าพร้อมกับะโออกมาจากกำแพงของคฤหาสน์ตระกูลโจวทันที
วิชาตัวเบาไม่แย่เลยนี่!
หลินลั่วหรานมองไปยังเขาที่วิ่งราวกับกระต่ายตัวน้อยพร้อมกับเผยรอยยิ้มบางๆ ขึ้นมา เธอเก็บหนังสือ “เวทควบคุมลมหายใจ” เล่มบางลงไป “เวทควบคุมลมหายใจ” ที่สามารถทำให้นักปราชญ์ระดับพื้นฐานอย่างเธอไม่สามารถรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของนักปราชญ์ระดับฝึกลมปราณขั้นกลางแบบนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป ถือว่าเป็ผลพลอยได้อีกอย่างก็แล้วกัน
เมื่อเห็นเหล่าผู้รักษาความปลอดภัยที่นอนร้องครวญครางอยู่ที่พื้นหลินลั่วหรานก็ยิ้มขึ้นมา “อะไรกัน จะอยู่รอตายเพื่อตระกูลโจวหรือไง?”
ผู้รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งรวบรวมความกล้าขึ้นถาม “คุณ...ไม่ฆ่าพวกเราเหรอ?”
หลินลั่วหรานพูดออกมาอย่างไม่ได้สนใจอะไรนัก “คุณมีความแค้นอะไรกับฉัน?”
ผู้รักษาความปลอดภัยรีบส่ายหน้าอย่างเร็วพลัน
“คุณจะไปแจ้งตำรวจไหม?”
ผู้รักษาความปลอดภัยคิดอยู่สักพักก่อนที่จะส่ายหน้าอย่างหนักแน่น
“ถ้าอย่างนั้นคุณจะเอาเื่ที่เกิดขึ้นในคืนนี้ไปบอกคนอื่นหรือเปล่า?”
ครั้งนี้เหล่าผู้รักษาความปลอดภัยที่นอนอยู่บนพื้นต่างก็พากันส่ายหน้า
บอกคนอื่นเหรอ...ตลกน่าสิ่งที่เห็นในค่ำคืนนี้ดูเหมือนว่าจะต้องเก็บเป็ความลับอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง? หลังจากนี้พวกเขาคงจะต้องคอยหลบซ่อนปิดบังตัวเองเอาไว้เกรงว่าจะมีใครตามมาหาตัวพวกเขาด้วยซ้ำ แล้วจะให้เอาไปบอกกับคนอื่นโง่ๆ ได้อย่างไร?
“ถ้าอย่างนั้น ก็ไปกันได้แล้ว”
สามคำถามที่ใช้ถามผู้รักษาความปลอดภัยพวกนั้นมันก็ถูกใช้ถามตัวหลินลั่วหรานเองด้วย พวกเขาไม่ได้ทำร้ายอะไรฉันฉันก็จะไม่ทำร้ายอะไรเขา เธอหวังว่าตัวเองจะสามารถยืนหยัดในความเชื่อและความคิดนี้ต่อไปได้จนถึงตอนสุดท้าย จะไม่กลายเป็คนที่รังแกคนไม่มีทางสู้และฆ่าคนตามความ้าของตัวเองเด็ดขาด
เมื่อเห็นว่าเหล่าผู้รักษาความปลอดภัยต่างก็ช่วยกันพยุงกันและกันเดินออกจากประตูบ้านตระกูลโจวไป พวกคนใช้เองก็รีบหนีออกไปเช่นกันหลินลั่วหรานมองพิจารณาคฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลโจวที่สว่างไปด้วยแสงไฟในค่ำคืนอันมืดมิด ก่อนที่จะผ่อนลมหายใจออกมา
เธอนึกไปถึงคุณปู่ตระกูลโจวที่ไม่เคยพบเห็นหน้าคนนั้น
นี่อาจจะเป็ความรู้สึกว่างเปล่าหลังจากการแก้แค้นก็ได้และมันก็มีความรู้สึกให้ความเคารพกับคนอื่นผสมอยู่ด้วย เมื่อคิดดูแล้วเื่ที่เธอได้ยินเกี่ยวกับคุณปู่คนนี้ ก็เป็เพียงคำพูดบอกเล่ามาเท่านั้นในครั้งแรกก็คือตอนที่คุณนายโจวพูดถึงเขาขึ้นมาที่โถงทางเดินของโรงพยาบาลก่อนที่มันจะทำให้ผู้บังคับบัญชาฉินที่กำลังโมโหสงบลงได้ในตอนนั้นเธอเองยังรู้สึกประหลาดใจอยู่เลย แต่ในวันนี้เมื่อคิดกลับไปแล้วพูดเหมือนว่าการช่วยชีวิตจากความตายที่ว่า “แบกออกมาจากกองศพ” จะสร้างปัญหาขึ้นมาแล้ว
หลังจากนั้นก็เป็คนคนนี้ที่มีความสัมพันธ์กับผู้ฝึกศาสตร์วัยกลางคนคนนั้นแม้ว่าการเชิญเขามาในครั้งนี้จะต้องแลกด้วยข้อเสนออื่นแต่ว่าหากไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับคุณปู่ตระกูลโจวแล้วก็คงไม่มีทางที่จะติดต่อไปที่เขาได้...ไม่ว่าจะเป็บุญคุณที่มีต่อผู้บังคับบัญชาฉินหรือว่าความสัมพันธ์เก่าแก่ที่มีกับนักปราชญ์ต่างก็ถูกลูกหลานของเขาทำลายมันลงแล้ว ทำไมลูกหลานของเขาถึงจะทำตัวแย่ได้ขนาดนี้อย่างแรกก็คงเป็ความไม่รู้จักพอของคุณนายโจวที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองตระกูลห่างไกลกันออกไปจนผู้บังคับบัญชาฉินปฏิเสธการแต่งงานของตระกูลโจวก่อนที่มันจะกลายมาเป็สาเหตุอื่นต่อมาจนกระทั่งวันนี้
เมื่อตัวคนได้จากไปแล้วมันก็อยู่ไม่ถึงสามรุ่นด้วยซ้ำ...หากว่าคุณปู่ตระกูลโจวที่อยู่ยังปรโลกได้รับรู้ จะมีความรู้สึกอย่างไรนะ?
หลินลั่วหรานหันกลับไปมองคฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลโจวที่สว่างจ้าอีกครั้งปลายนิ้วของเธอขยับส่งเปลวไฟเข้าไป ก่อนที่มันจะเริ่มลุกไหม้ที่ห้องหนังสือชั้นสองแล้วลุกลามไปทั่วทั้งตัวบ้าน
ในที่สุดก็มีผู้ที่พักอาศัยอยู่แถวนั้นแจ้งไปยังสถานีดับเพลิง เมื่อได้ยินเสียงของรถดับเพลิงจากสถานที่ไม่ไกลมากและมั่นใจว่าเปลวไฟเหล่านี้จะไม่ลุกลามไปยังพื้นที่อื่น หลินลั่วหรานก็ร่าย “เวทบังคับลม” ขึ้นเหมือนกับตอนที่มาก่อนจะหายไปในท้องฟ้ายามค่ำคืนของเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยแสงไฟระยิบระยับ
*****
ตระกูลโจวจบลงแล้ว
จากข้อตกลงสัญญาในทุกๆ ด้านเมืองหลวงก็จัดการใหม่อีกครั้ง ตระกูลโจวสูญหายไปทั้งตระกูลและเบื้องบนก็ไม่ได้มีคำสั่งพิเศษอะไรลงมาเหล่าสกุลย่อยของตระกูลโจวดีดดิ้นกันสักพัก เพื่อที่จะขอร้องให้ตามหาความจริงแต่ไม่นานก็ถูกเหล่าศัตรูที่คอยรอโอกาสจัดการไป ตำแหน่งมีมากมายขนาดนี้หากคนที่รับตำแหน่งอยู่น้อยลงไป คนจากตระกูลอื่นก็จะได้มีโอกาสเข้าไปมากขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้นเหล่าคนที่มีอำนาจไร้การควบคุมในวันวานหลังจากได้รู้สาเหตุของการล่มสลายของตระกูลโจวไปแล้ว ไม่ว่าจะยินดีหรือไม่ยินดีพวกเขาต่างก็เริ่มที่จะควบคุมสั่งสอนลูกหลานของเขาในเื่การทำอะไรให้ระมัดระวังและอย่าเบ่งอำนาจมากจนเกินไป
เพราะว่าเื้ัของโลกอัน “สงบและเต็มไปด้วยความสุข” นี้ พวกเขาคิดว่าตัวเองมีอิทธิพลมากมายแต่ว่ามันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะสามารถทำเื่ชั่วๆ แบบนี้ต่อไปโดยไม่มีใครสามารถทำอะไรคุณได้ เพราะว่ามีคนบางกลุ่มที่ไม่ได้ใส่ใจกับอะไรเหล่านี้และเมื่อต้องใช้ความสามารถที่มีอยู่จริงๆ ในการเผชิญหน้ากันทุกอย่างก็จะเป็เพียงแค่สายลม
ไม่นานนักชื่อเสียงของเมืองหลวงก็ดีขึ้นมาไม่น้อยและคนที่เป็ผู้ริเริ่มอย่างหลินลั่วหรานนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรกับสิ่งเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย
วันนี้อากาศเย็นสบายและก็เป็่เวลาที่ดีสำหรับการท่องเที่ยวหลินลั่วหรานหลบอยู่ที่เงาต้นไม้ข้างกำแพง ก่อนจะเปิดหนังสือ “เวทควบคุมลมหายใจ” ขึ้นมา ในขณะที่ลั่วตงกำลังะโปีนป่ายไปตามกำแพงก่อนที่จะเดินข้ามผ่านไปมาเขานั้นหลงใหลในกำแพงเมืองจีนอันยาวเหยียดนี้เสียเหลือเกิน
ที่นี่คือ ปาต้าหลิงและมันคือสถานที่แรกที่หลินลั่วหรานพาหลินลั่วตงไปเที่ยว
หลินลั่วหรานปิดหนังสือ “เวทควบคุมลมหายใจ” ลง ก่อนที่จะทดลองผ่อนคลายลมหายใจของตัวเอง และทำตามวิธีการในหนังสือตัวของเธอนั้นค่อยๆ กลืนเข้าไปเป็หนึ่งเดียวกับกำแพงสีดินเ่าั้...
“พี่สาว?!” แม้ว่าลั่วตงจะยังไม่ได้เริ่มต้นฝึกศาสตร์อะไรแต่ว่าเขาก็มีพื้นฐานพลังธาตุดินเดี่ยวที่หาได้ยากดังนั้นเขาจึงสามารถััได้ถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ของกำแพงเ่าั้
เมื่อหลินลั่วหรานยิ้มขึ้นมากลิ่นอายบนตัวของเธอ ก็ไม่อาจจะหลบซ่อนได้อีกต่อไป เธอเก็บหนังสือเล่มนั้นลงก่อนจะมองไปยังรอบๆ และพบว่าไร้ซึ่งผู้คน เธอจึงใช้แรงะโขึ้นไปยังตัวกำแพง
“ว่าไงอยากจะลองดูกำแพงเมืองจีนที่ยาวกว่าหมื่นลี้ จากบนอากาศดูบ้างไหม”
บนอากาศ? นี่มันตอนกลางวันนะ พี่สาวไม่กลัวว่าจะถูกคนรอบข้างเห็นบ้างหรืออย่างไร? ลั่วตงค่อยๆ อ้าปากกว้างขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะแสดงสีหน้าใออกมา